สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 847-2 สามผู้ยิ่งใหญ่ (2)
บทที่ 847-2 สามผู้ยิ่งใหญ่ (2)
กู้เจียวหลับไหลไม่รู้วันรู้คืน จวบจนถึงค่ำของวันที่สามถึงได้ตื่นขึ้นมา
ยามนางตื่นขึ้นมาหมอหญิงกำลังทำแผลที่บนแขนให้นาง
แววตาของนางเผยความระแวดระวังแสนเย็นตาตามสัญชาตญาณ หมอหญิงตกใจจนมือสั่น ยาทาแผลถึงกับหลุดมือ
“ข้าเคยพบเจ้ามาก่อน เจ้าคือหมอหญิงที่ติดตามมา” ความระแวดระวังในแววตาของกู้เจียวจางหายไป หยัดตัวลุกขึ้นนั่งพลางเอ่ย “ข้าหลับไปนานเท่าไหร่”
หมอหญิงหยิบยาทาแผลขึ้นมา ตอบออกไปอย่างตื่นกลัว “สามวันเจ้าค่ะ”
กู้เจียวเอ่ย “นานขนาดนั้นเชียว สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง”
“ทัพใหญ่แคว้นเหลียงถอยทัพแล้วเจ้าค่ะ พวกเขาบาดเจ็บสาหัส ระยะนี้คงไม่บุกโจมตีอีก” หมอหญิงเอ่ย เหลือบมองเสื้อของกู้เจียว “ท่าน… ท่านผู้บัญชาการน้อย… ท่าน…”
กู้เจียวก้มหน้ามองตาม เอ๋อ เสื้อถูกเปิดแล้ว ทำแผลที่อกเรียบร้อยแล้วด้วย พันผ้าพันแผลเสียแน่นเชียว
ดูท่าทางตัวตนที่เป็นผู้หญิงคงถูกเปิดโปงแล้วสินะ
ราวกับเดาออกว่ากู้เจียวคิดอะไรอยู่ หมอหญิงรีบเอ่ย “ข้า… ข้าไม่ได้บอกใครนะเจ้าคะ!”
แม่ทัพอาวุโสผู้นั้นห้ามมิให้นางแพร่งพรายออกไป ทั้งยังบอกว่าหากกล้าเอ่ยออกไปแม้แต่คำเดียว จะเอามีดมาปาดคอนาง
เมื่อนึกได้ดังนั้น แววตาของหมอหญิงก็เป็นประกาย “ใช่แล้วเจ้าค่ะท่านผู้บัญชาการน้อย ระหว่างที่ท่านหมดสติไปหลายวัน แม่ทัพอาวุโสผู้นั้นเอาแต่เฝ้าหน้าประตูกระโจม ไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้ามาสังเกตการณ์ ข้าจะไปบอกเขาว่าท่านฟื้นแล้ว!”
นางเอ่ยพลางเดินอ้อมฉากกั้นลมไปยังหน้าประตูกระโจม แหวกผ้าม่านผืนหนาที่แม่ทัพอาวุโสสั่งให้ติดตั้ง แต่กลับกลายเป็นว่าไม่เห็นแม้แต่เงาของแม่ทัพอาวุโสผู้นั้น
หมอหญิงเกาหัวแกรกๆ “แปลกนัก หลายวันมานี้ก็อยู่ตลอดแท้ๆ ”
…
“เอ๊ะ เหล่ากู้ เจ้าจะไปไหน”
ถังเย่ว์ซานเพิ่งจะขี่ม้าเฮยเฟิงเที่ยวเล่นกลับมา เห็นท่านเหล่าโหวแต่งองค์ทรงเครื่อง เหมือนกำลังเตรียมตัวออกเดินทาง
ท่านเหล่าโหวเอ่ย “ข้าจะไปสืบข่าวที่เมืองผู”
เมืองผูคือดินแดนของต้าเยี่ยนที่ถูกแคว้นจิ้นบุกยืดครอง ห่างจากเมืองฉวี่หยางไม่ถึงร้อยลี้ หากหวดม้าเร่งเดินทางสักหน่อยสองวันก็คงถึง
ถังเย่ว์ซานเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ “เอ๊ะ ในที่สุดเจ้าก็ออกโรงเสียที เจ้าคิดจะเข้าไปตีรวนใช่ไหม ยังมีหน้ามาหาว่าข้ากับเหล่าเซียวบังคับขู่เข็ญเจ้ามา“
ท่านเหล่าโหวเดินหน้าไม่กี่ก้าว ทอดมองแสงจันทร์บนม่านฟ้าสีเทา เอ่ยเสียงหนักแน่น “ขอบอกไว้ก่อน ข้าไม่ได้ทำเพื่อแคว้นเยี่ยน แล้วก็ไม่ได้ทำเพื่อเจ้าเด็กนั่นด้วย แต่พวกเจ้าสองคนต่างหากที่เป็นตัวตั้งตัวตีดึงแคว้นเจาเข้ามาร่วมศึกนี้ ในเมื่อเอาตัวรอดคนเดียวนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว จิ้นเหลียงย่อมต้องเกื้อกูลกัน มีผลประโยชน์ร่วมกัน แคว้นจิ้นไม่มีทางปล่อยแคว้นเจาไปแน่ เพราะเป็นศึกเดียวที่จะกอบกู้สถานการณ์ได้”
เขาว่าจบ ไม่เห็นถังเย่ว์ซานตอบโต้ จึงหันหลังกลับมามอง
ถึงได้เห็นว่าถังเย่ว์ซานเดินจูงม้าออกไปตั้งนานแล้ว!
ท่านเหล่าโหวกำหมัดแน่นจดเสียงดังกรอบแกรบ
แปลว่าที่เขาพูดออกไปมากมายนั้นก็เปล่าประโยชน์หรือ เหตุใดเจ้าพวกนี้ถึงได้ยั่วโมโหคนเก่งนักนะ!
…
กู้เจียวบาดเจ็บสาหัส ทว่านางนั้นฟื้นตัวเร็วจนน่าตกใจ นอนพักไปสามวัน ร่างกายก็กลับมาเป็นปกติแล้ว
เมื่อทุกคนได้ยินว่าท่านผู้บัญชาการน้อยฟื้นแล้วต่างก็ดีอกดีใจ อยากจะเข้าไปเยี่ยมนางในกระโจมเสียบัดเดี๋ยวนั้น แต่กลับถูกบรรดาหมอห้ามเอาไว้
กู้เจียวเรียกที่ปรึกษาหูมาหา ถามไถ่อาการบาดเจ็บของเหล่าทหารค่ายเฮยเฟิง
ที่ปรึกษาหูเอ่ยสะทกสะท้อนใจ “เดิมทีทุกคนเตรียมตัวเตรียมใจพร้อมพลีชีพ ต้องขอบคุณพวกท่านพ่อของท่าน…”
“พะ… พ่อข้าอย่างนั้นหรือ”
กู้เจียวมึนงงอยู่ครู่ถึงจำได้ว่าก่อนที่นางจะหมดสติไปนั้นได้พบกับพวกเซวียนผิงโหวแล้ว
‘ท่านพ่อของนาง’ ที่ปรึกษาหูเอ่ยถึงนั้นคงจะเป็นเซวียนผิงโหว
สงครามนองเลือดครั้งนี้ หากต้องพลีชีพนั้นคงหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่หากเทียบกับจุดจบที่ทุกอย่างพังทลาย อย่างน้อยค่ายเฮยเฟิงก็รักษากำลังทหารได้ครึ่งหนึ่ง
ที่ปรึกษาหูเอ่ยอย่างเศร้าโศก “เฉิงฟู่กุ้ย หลี่จิ้นและถงจงต่างบาดเจ็บสาหัส คงร่วมศึกหลังจากนี้ไม่ได้แล้ว”
“มู่ชิงเฉินเล่า” กู้เจียวถาม
เมื่อเอ่ยถึงเขา สีหน้าของที่ปรึกษาหูก็เคร่งขรึมขึ้นมาเป็นเท่าตัว “ฝีมือของท่านชายมู่ช่างน่าตกตะลึงยิ่งนัก”
เขาเติบโตอย่างก้าวกระโดด มองไม่ออกเลยว่าเขาคือท่านชายสูงศักดิ์ที่เคยกระอักเลือดเพราะต้องฆ่าคน เขานั้นเด็ดเดี่ยวกลางสนามรบ ฆ่าทหารแคว้นเหลียงนับไม่ถ้วน ช่วยชีวิตสหายทหารม้าเฮยเฟิงไว้ไม่น้อย
เฉิงฟู่กุ้ยก็ได้เขาช่วยชีวิตไว้
เขานั้นบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่
กู้เจียวพยักหน้าเงียบๆ
มู่ชิงเฉินเองก็แข็งแกร่งขึ้นแล้ว ดียิ่งนัก
ในความฝันนั้น มู่ชิงเฉินไม่ได้พบกับทหารแคว้นเหลียง เขาฟาดฟันกับทัพใหญ่แคว้นจิ้นเป็นครั้งแรก จึงไม่กล้าฆ่าคน พลาดโอกาสหลบหนี ทำให้ถูกทหารแคว้นจิ้นล้อมเอาไว้ สุดท้ายก็ถูกกงซุนอวี่ยิงตาย
มู่ชิงเฉินในยามนี้คงไม่ไว้ชีวิตศัตรูเพราะความเมตตาแล้วกระมัง
หากต้องเผชิญอันตราย เขาคงฝ่าฟันถนนสายเลือดนั้นเพื่อชีวิตรอดได้ ธนูดอกนั้นของกงซุนอวี่คงไม่มีทางยิงโดนเขาแล้วใช่หรือไม่
จุดจบของเขา คงต้องเขียนใหม่แล้วสินะ
…
กู้เจียวอาบน้ำอาบท่าสวมเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อย จากนั้นจึงออกมาดูราชาม้าเฮยเฟิงเป็นอันดับแรก หลายวันมานี้ราชาม้าเฮยเฟิงเอาแต่เฝ้าอยู่ที่หน้ากระโจมไม่ยอมห่าง
บาดแผลของราชาม้าเฮยเฟิงได้รับการรักษาจากครูฝึกม้าแล้ว บนหัวของเจ้ามามีผ้าพันแผลสีขาวพันรอบ ดูน่าสงสารพิกล
กู้เจียวลูบแผงคอของเจ้าม้า
ราชาม้าเฮยเฟิงได้กลิ่นลมหายใจของกู้เจียว เจ้าม้านั้นไวต่อสัมผัสมาก สามารถแยกแยะได้ว่าบาดแผลนั้นสาหัสหรือไม่จากลมหายใจ
“ข้าไม่เป็นไรแล้ว” กู้เจียวเอ่ย
ราชาม้าเฮยเฟิงเหมือนจะเบาใจลงแล้ว จึงค่อยหมอบลงกับพื้น
มันเองก็เหนื่อยล้าเต็มที
หากกู้เจียวยังไม่ฟื้น มันก็ไม่กล้าจะพักผ่อน
ราวกับสงครามยังไม่จบสิ้น มันจึงไม่กล้าถอย
กู้เจียวคอยเฝ้าอยู่ข้างเจ้าม้า ลูบขนของมันอย่างแผ่วเบา รอให้มันผล็อยหลับไปจึงเดินไปยังกระโจมที่อยู่ข้างกัน
เซวียนผิงโหว ‘พ่อของนาง’ พักอยู่ที่กระโจมหลังนี้
เมื่อนางแหวกม่านเดินเข้าไป เซวียนผิงโหวและถังเย่ว์ซานต่างอยู่กันพร้อมหน้า ถังเย่ว์ซานกำลังเช็ดถูคันธนูของล้ำค่าประจำตระกูลถัง เซวียนผิงโหวนั้นนั่งหน้าเคร่งขรึมอยู่บนเก้าอี้ตัวหนึ่ง ท่าทางโหดเหี้ยม… เอ่อ ไม่ใช่สิ ท่าทางน่าเกรงขาม
ท่อนเสาตรงหน้าเขามีชายสภาพแสนอนาถถูกมัดด้วยโซ่ตรวนเหล็กพันรอบ
ชายผู้นั้นจ้องเซวียนผิงโหวตรงหน้าอย่างเดือดดาล ราวกับอยากจะกระโจนเข้าไปกัดเขาเสียให้รู้แล้วรู้รอด “แน่จริงก็ฆ่าข้าเสียสิ!”
เซวียนผิงโหวยิ้มอย่างไม่แยแสพลางเอ่ย “ฆ่าเจ้าไปทำไมเล่า ข้าเป็นคนป่าเถื่อนเช่นนั้นหรือ ข้านั้นจิตเมตตา แม้แต่มดข้างทางยังไม่กล้าเหยียบ จะทำใจฆ่าเจ้าได้อย่างไร”
แมลงตัวหนึ่งเดินไต่ผ่านมา
เซวียวผิงโหวไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้น ก็ใช้เท้าขยี้มันจนตาย
ชายผู้นั้น “…”
เซวียนผิงโหวยกยิ้ม “คนด้านนอกคิดว่าเจ้าตายไปแล้ว ลูกน้องของเจ้ามันขี้ขลาด ทหารแคว้นเหลียงขวัญหนีดีฝ่อ ไม่มีทางได้ตีกลองศึกอีกครั้งหรอก”
ฉู่เฟยเผิงกัดฟันกรอดเอ่ย “เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่”
เซวียนผิงโหวถูมือไปมา “ช่วงนี้เงินขาดมืออยู่ไม่น้อย ไม่รู้ว่าฮ่องเต้แคว้นเหลียงของพวกเจ้าจะควักเงินมาไถ่ตัวเจ้าเท่าไหร่ หากน้อยกว่าข้าต้องการ ข้าก็จะฆ่าเจ้าเสีย”
ฉู่เฟยเผิง “…”
เซวียนผิงโหวเงยหน้าขึ้น ชำเลืองมองกู้เจียวที่อยู่หน้าประตู เขายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ “ไอ้หยา ลูกชายข้ามาแล้วหรือ”
กู้เจียวก้าวเข้ามา ทักทายเซวียนผิงโหวและถังเย่ว์ซาน
“ฟื้นแล้วรึ” ถังเย่ว์ซานวางของล้ำค่าในมือตนอย่างเบามือ เดินเข้ามาใกล้พลางมองนางหัวจรดเท้า “เหมือนกับเจ้าฉังจิ่งไม่มีผิด ฟื้นตัวเร็วยิ่งนัก”
“ฉังจิ่งก็บาดเจ็บรึ” กู้เจียวถาม
เมื่อยามที่ฉางจิ่งประมือกับฉู่เฟยเผิง นางได้หมดไปก่อนหน้าแล้ว
เซวียนผิงโหวมองฉู่เฟยเผิง พลางเอ่ยเสียงเรียบ “เจ้าหมอนี่ทำเส้นเอ็นเขาขาด เรื่องเล็กน่ะ”
เอ่อ… เส้นเอ็นขาดเป็นเรื่องเล็กอย่างนั้นหรือ
ฉังจิ่งเป็นพวกวิปลาสหรืออย่างไร
สายตาของกู้เจียวหยุดลงบนร่างของฉู่เฟยเผิง จับชีพจรของเขา เจ้าหมอนี่ยังไม่ถูกตัดหัวหรอกหรือ แต่ก็ไม่เป็นไร กำลังภายในของเขาถูกทำลาย ถึงกลับไปก็ใช้การใช้งานอันใดไม่ได้
กู้เจียวถาม “นอกจากเขาแล้ว ยังจับใครได้อีก”
เซวียนผิงโหวเอ่ยเสียงเนิบช้า “เจ้าหมายถึงพวกทหารหรือ ตายหมดแล้ว”
ตายแล้วก็ไม่เป็นไร ถึงอย่างไรนางก็รู้แล้วว่าหลงอีมากจากสำนักเจี้ยนหลู วันหน้าก็สามารถสืบสาวจากเบาะแสนี้ได้
กู้เจียวคลายมือลง ถามเซวียนผิงโหว “ท่านจะใช้เขาต่อรองกับแคว้นเหลียงหรือ”
เซวียนผิงโหว “ใช่”
กู้เจียวออกความเห็นเสียงหนักแน่น “เช่นนั้นทางที่ดีท่านควรซ่อนเขาเอาไว้ก่อน”
เซวียนผิงโหว “เพราะเหตุใด”
กู้เจียวเอ่ย “ทัพใหญ่ราชสำนักใกล้มาถึงแล้ว ฉู่เฟยเผิงก็เป็นเครื่องต่อรองที่พวกเขาใช้กับแคว้นเหลียงได้ ท่านจะยอมให้พวกเขาแย่งตัวฉู่เฟยเผิงไปหรือ”
“เหอะ” เซวียนผิงโหวแค่นหัวเราะ “บนโลกนี้ไม่เคยมีใครแย่งสิ่งใดไปจากมือข้าได้”
นอกประตูเมืองทิศตะวันออก ทัพใหญ่ของราชสำนักเดินทางมาถึงหน้าประตูเมือง
ฉังเวยนำผู้ใต้บังคับบัญชาออกมาต้อนรับ ผู้ติดตามคุกเข่าลงประสานมือถวายบังคม “รับเสด็จองค์หญิง…”
ม่านรถเปื้อนฝุ่นถูกเลิกขึ้น
ซ่างกวานเยี่ยนในชุดองค์หญิงรัชทายาทก้าวลงจากรถม้าอย่างน่าเกรงขาม