สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 847 สามผู้ยิ่งใหญ่ (1)
บทที่ 847 สามผู้ยิ่งใหญ่ (1)
ทัพราชสำนักตั้งค่าย ณ เขาหมั่ง
ฝนเทกระหน่ำสามวันสามคืน เส้นทางข้างหน้าถูกตัดขาด เหล่าทหารจึงต้องตากฝนซ่อมถนนอยู่สองวัน แต่เส้นทางก็ยังไม่สามารถสัญจรได้อย่างสะดวก
แสงเทียนหนึ่งสว่างอยู่กลางกระโจมค่าย นางกำนัลหวนเอ๋อร์ที่แต่งกายเป็นบ่าวชายยกถาดผลไม้สดเดินเข้ามา “องค์หญิง นี่เป็นผลไม้ที่ข้าเก็บมา พระองค์ลองชิมดูเพคะ”
ซ่างกวานเยี่ยนเอ่ยเสียงเรียบ “ข้าไม่ค่อยอยากอาหารนัก เจ้าเอาไปกินเองเถิด”
“แต่ของพวกนี้เตรียมไว้ให้พระองค์โดยเฉพาะเลยนะเพคะ จนมือข้าถลอกหมดแล้ว” หวนเอ๋อร์เอ่ยพลางชูแผลบนมือของตน
หลังจากที่ได้ปรนนิบัติรับใช้ตลอดช่วงที่ผ่านมา หวนเอ๋อร์จับทางนิสัยใจคอขององค์หญิงได้แล้ว องค์หญิงมิใช่คนใจอ่อน แต่หากนาเล่นบทโศกแล้วละก็ ย่อมไม่มีทางพลาดแน่นอน
ซ่างกวานเยี่ยนเห็นมือของนางบวมแดง ก่อนจะทอดถอนใจ “เช่นนั้นก็วางไว้บนโต๊ะ”
หวนเอ๋อร์วางผลไม้บนโต๊ะด้วยความดีใจ
ซ่างกวานเยี่ยนหยิบผลไม้สีแดงสดขึ้นมา นึกถึงเด็กๆ สามคนที่แยกย้ายกันไปคนละทิศละทาง ไม่รู้ว่าตอนนี้พวกเขาแต่ละคนเป็นอย่างไรบ้าง
“องค์หญิง แม่ทัพหวังขอเข้าเฝ้าพะย่ะค่ะ”
เสียงขององครักษ์ดังลอยเข้ามาจากนอกกระโจม
“เข้ามา” ซ่างกวานเยี่ยนเอ่ย
หวนเอ๋อร์ถอยเข้าหลังฉากกั้นอย่างรู้งาน ลงมือจัดแจงเสื้อผ้าให้ซ่างกวานเยี่ยน
“องค์หญิง เย่ชิงขอเข้าเฝ้าพะย่ะค่ะ”
เสียงของเย่ชิงดังลอยมาจากนอกกระโจม
“เข้ามาให้หมด” ซ่างกวานเยี่ยนเอ่ย
หวังหม่านและเย่ชิงเข้ากระโจมมาพร้อมกัน
เย่ชิงมิได้ออกมาพร้อมกับแม่ทัพใหญ่ เขามาส่งมอบยาให้กับทัพหน้าตามคำสั่งของกั๋วซือ เขาออกเดินทางที่หลังสองสามวัน เป็นเพราะฝนเขาหมั่งทำให้ทัพราชสำนักล่าช้า เขาถึงได้ไล่ตามได้ทัน
หวังหม่านไม่ถูกชะตากับตำหนักกั๋วซือมาแต่ไหนแต่ไร จึงไม่แม้แต่เหลือบตามองเย่ชิง
เย่ชิงนั้นไม่ได้ใส่ใจ คำนับซ่างกวานเยี่ยนด้วยความเคารพ “ถวายบังคมองค์หญิง”
ซ่างกวานเยี่ยนมองทั้งสองคน “พวกเจ้ามาพบข้ามีธุระอันใดหรือ”
เย่เชิงเป็นผู้น้อย ต่อให้หวังหม่านจะปฏิบัติต่อเขาเช่นไร เขาก็ยังรู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่ แสดงให้เห็นถึงธรรมเนียมของตำหนักกั๋วซือ
เขาส่งสัญญาณให้หวังหม่านเอ่ยก่อน
หวังหม่านไม่เกรงใจเขา ยืดอกผายตั้งตรงเอ่ย “กระหม่อมมาเพื่อรายงานองค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ ถนนซ่อมเสร็จเรียบร้อยแล้ว เช้าวันรุ่งขึ้นสามารถออกเดินทางได้พ่ะย่ะค่ะ”
ซ่างกวานเยี่ยนถอนหายใจด้วยความโล่งอก “ในที่สุดก็ออกเดินทางได้เสียที ทหารทั้งหลายต่างเหนื่อยยาก พวกเราหยุดพักอยู่ที่นี่มาหลายวัน การเดินทางไปยังฉวี่หยางล่าช้า ไม่รู้ว่ากองทหารม้าเฮยเฟิงคุ้มกันเมืองเป็นอย่างไรบ้าง”
ฝนกระหน่ำทำถนนหนทางเสียหาย สายลับส่งข่าวกลับมาว่าทหารม้าเฮยเฟยยึดเมืองฉวี่หยางกลับมาได้แล้ว แต่หลังจากนั้นก็มีข่าวว่าทัพใหญ่แคว้นเหลียงกำลังบุกโจมตีเมืองฉวี่หยาง
หวังหม่านเอ่ยเสียงฮึดฮัด “ทหารม้าเฮยเฟิงไม่ถนัดด้านคุ้มกันเมือง ยิ่งไปกว่านั้นยังต้องสู้กับทหารแปรพักตร์ในเมืองอีกนับหมื่น กระหม่อมคิดว่าคงไม่อาจคุ้มกันเมืองฉวี่หยางไว้ได้! เหอะ เด็กก็คือเด็กอยู่วันอย่างค่ำ ไร้ซึ้งความเด็ดขาด! เดิมทีพวกเขาควรจะฆ่าทหารแปรพักตร์พวกนั้นเสียให้สิ้น ถอนรากถอนโคน! เก็บไว้มีแล้วมีประโยชน์อันใด พอตระกูลหนานกงส่งข่าว พวกทหารแปรพักตร์ในเมืองย่อมร่วมมือกับทัพแคว้นเหลียงแน่นอน เปลืองแรงทหารม้าเฮยเฟิงเสียเปล่าจริงๆ ! ทุกสิ่งพังพินาศเพราะฝีมือเจ้าเด็กนั่น!”
เย่เชิงชำเลืองมองหวังหม่านอย่างเย็นชา “แม่ทัพหวังเห็นกับตาตัวเองที่เมืองฉวี่หยางหรือขอรับ หรือว่าเข้าร่วมศึก พูดเป็นจริงเป็นจังเสียขนาดนั้น หากปกป้องเมืองฉวี่หยางไว้ได้ ท่านคงต้องคุกเข่าเรียกผู้บัญชากองทหารม้าเฮยว่าพี่ใหญ่แล้วกระมัง”
ภาพลักษณ์ของเย่ชิงคือศิษย์พี่ผู้แสนสุขุมมาโดยตลอด สุภาพอ่อนโยนกับทุกคน น้อยนักที่เผยด้านประชดประชันเช่นนี้
หากเป็นซ่างกวานชิ่งคงเอ่ยว่า… ข้าไว้หน้าเจ้าได้ แต่อย่างน้อยเจ้าก็ควรสำเหนียกตัวเองบ้าง
หวังหม่านอ้าสองแขนยักไหล่ “เหอะ! หากเขาคุ้มกันเมืองไว้ได้ ข้าจะสละตำแหน่งแม่ทัพพิชิตบูรพาให้เขาเลย!”
ปกติแล้วในสถานการณ์เช่นนี้ หากองค์หญิงได้ยินย่อมต้องออกหน้าเอ่ยปรามประมาณว่า ‘แม่ทัพหวังเอ่ยเช่นนั้นได้อย่างไร เจ้าเป็นถึงนักรบยอดฝีมือ ประสบการณ์นำทัพปราบศัตรูไม่มีผู้ใดเทียบได้ ตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ย่อมต้องเป็นของเจ้าแต่เพียงผู้เดียว จะยกให้เด็กเพิ่งโตเช่นนั้นได้อย่างไร’
ทว่าในความเป็นจริง…
องค์หญิงเหลือบมองหวังหม่านด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ พลางเอ่ยอย่างเหนื่อยหน่าย “ในเมื่อแม่ทัพใหญ่ออกปากเอง เช่นนั้นข้าก็จะเป็นพยานให้”
หวังหม่าน “…!!”
ซ่างกวานเยี่ยนเหลียวไปมองเย่ชิง “เย่ชิง เจ้ามาพบข้ามีธุระอันใดหรือ”
เย่ชิงยกมือขึ้นคำนับพลางเอ่ย “เดิมทีกระหม่อมตั้งใจจะมาแจ้งว่าหากวันพรุ่งนี้ถนนยังซ่อมเสร็จ กระหม่อมจะขออ้อมไปอีกเส้นทางหนึ่ง แต่ยามนี้คงไม่ต้องแล้ว”
“อืม” ซ่างกวานเยี่ยนพยักหน้า มองฝนยามราตรีที่เทลงมานอกกระโจม “อยากจะไปถึงเมืองฉวี่หยางเร็วๆ เสียจริง”
…
เมืองฉวี่หยาง
นอกประตูเมืองทิศเหนือที่กรำศึกสงครามครั้งใหญ่เต็มไปด้วยคนบาดเจ็บ เหล่าทหารประจำป้อมในเมืองกำลังเก็บกวาดซากปรักหักพังในที่เกิดเหตุ เหล่าหมอและทหารร่วมกันเคลื่อนย้ายทหารบาดเจ็บออกจากที่นั่น
หน้าประตูเมือง หมอคนหนึ่งกับทหารประจำป้อมใช้เปลหามนายทหารเลือดอาบร่าง จู่ๆ เท้าของหมอก็พลันเหยียบโดนศพบนพื้นจึงเสียจังหวะ เปลหามเอียงกระเท่เร่
“เฮ้ย…” หมอตื่นตกใจจนหน้าถอดสี
นั่นเป็นคนเจ็บที่กระดูกหักสาหัส จะล้มอีกครั้งไม่ได้เด็ดขาด ไม่เช่นนั้นคงไม่รอดแน่!
ฝ่ามือทรงพลังข้างหนึ่งประครองเปลเอาไว้ได้อย่างมั่นคง
ทหารประจำป้อมเงยหน้าขึ้นมอง ก่อนจะเอ่ยแสดงความเคารพ “แม่ทัพจี้!”
จี้ผิงชวน แม่ทัพประจำป้อมทิศเหนือ
“ขะ… ขอบคุณแม่ทัพจี้ขอรับ” หมอจากเซิ่งตูได้ยินทหารประจำป้อมเรียกเขาเช่นนั้น ตัวเองจึงเรียกเขาว่าแม่ทัพจี้ตาม
แม่ทัพจี้พยักหน้าให้เล็กน้อย “ไม่เป็นไรใช่หรือไม่”
“ไม่เป็นไรขอรับ” หมอประครองเปลให้เข้าที่ ก่อนจะเข้าประตูเมืองทิศเหนือไปพร้อมกับทหาร
ไม่นาน ก็มีคนและม้ากลุ่มหนึ่งมาเยือน
จี้ผิงชวนหันหลังกลับ ยกมือคำนำผู้นำทัพ “ใต้เท้าฉัง”
แม้จะเป็นแม่ทัพเหมือนกัน แต่ระดับของทั้งสองนั้นต่างกัน
ฉังเวยคือหัวหน้าของแม่ทัพทั้งหมด เป็นผู้บัญชาการค่ายชายแดน
ฉังเวยพลิกตัวลงหลังจากหลังม้า มองดูจุดเกิดเหตุนองเลือด ก่อนจะขมวดคิ้วเอ่ย “เกิดอะไรขึ้นกันแน่ เหตุใดแคว้นเหลียงถึงได้ถอยทัพ”
จี้ผิงชวนเอ่ย “ราชสำนักส่งทหารกองหนุนมาสี่นายขอรับ”
“สี่นายอย่างนั้นรึ”
ฉังเวยตกตะลึง ไม่ได้ตกใจที่คนน้อย แต่ตกใจที่คนเพียงไม่กี่คนนี้กลับทำให้กำลังพลแปดหมื่นนายของทัพใหญ่แคว้นเหลียงถึงกับล่าถอย
จี้ผิงชวนอธิบาย “พวกเขาช่วยผู้บัญชาการเซียวตีรวนทัพหลังของแคว้นเหลียง แสร้งว่าตัดหัวฉู่เฟยเผิงได้ ทั้งยังเป่าสัญญาณให้ทหารถอยทัพ ยามนั้นทหารแคว้นเหลียงกำลังแตกตื่นที่แม่ทัพของถูกสังหาร พากันเสียขวัญ คิดว่าแคว้นเหลียงถอยทัพเพื่อรักษากำลังพลจริงๆ จึงได้พากันถอนทัพออกไป ทหารม้าเฮยเฟิงจึงฉวยโอกาสเอาคืน ฆ่าทหารพวกเขาไปไม่น้อย”
ทำเช่นนี้ได้ด้วยหรือ
นี่มันกลศึกแบบใด
ฉังเวยไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกไปดี
ขี้ขลาดก็แพ้ไป ใจใหญ่เท่านั้นถึงได้เปรียบ นี่สินะที่เรียกว่าทำศึกอย่าทำให้เป็นเรื่องยาก
แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่กลศึกนี้จะสำเร็จ หากเป็นฉังเวยละก็ ไม่มีทางทำได้แน่นอน
ประการแรกคือเขาฆ่าฉู่เฟยเผิงไม่ได้ ประการที่สองคือ… เขาคิดได้อย่างไรว่าต้องเป่าสัญญาณถอยทัพจากทัพท้าย!
“ผู้บัญชาการเซียวเป็นอย่างไรบ้าง” ฉังเวยถาม
จี้ผิงชวนเอ่ย “เขาบาดเจ็บ กลับไปรักษาที่ค่ายแล้วขอรับ”
…
ภายในกระโจมของผู้บัญชาการ กู้เจียวหลับใหลไม่ได้สติอยู่บนฟูกแข็งเย็นเฉียบ
ในกระโจมยังมีท่านเหล่าโหวและหมออีกหนึ่งคน
หมอผู้นั้นไม่รู้จักท่านเหล่าโหว ได้ยินจากเหล่าทหารเพียงแค่ว่าเขาคือทหารกองเสริมที่ราชสำนักส่งมา
หมอกำลังถอดชุดเกราะบนตัวของกู้เจียว
ท่านเหล่าโหวขมวดคิ้ว “ช้าก่อน!”
หมอตกใจสะดุ้งตัวโยนเพราะเสียงดุดันนั้น รีบชักมือกลับก่อนจะถามด้วยความตื่นตระหนก “ใต้เท้า มีอะไรหรือขอรับ”
ท่านเหล่าโหวมองกู้เจียวบนเตียงด้วยสีหน้าเรียบเฉย เอ่ยถามเสียงทุ้มต่ำ “มีหมอหญิงหรือไม่”
หมอ “มีขอรับ”
ท่านเหล่าโหวเอ่ยคำขาด “เรียกหมอหญิงมาทำแผลให้เขา”
“ห้ะ” หมองุนงง ชายอกสามศอก เหตุใดถึงต้องให้หมอหญิงมารักษา
สีหน้าของท่านเหล่าโหวถมึงทึงจนน่ากลัว หมอเองก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นขุนนางระดับใดในราชสำนัก นึกว่าเป็นคนสนิทขององค์หญิง ไม่กล้าล่วงเกิน จึงรีบตามหมอให้เข้ามา
หมอหญิงเองก็สงสัยว่าเหตุใดนางถึงต้องมารักษาท่านผู้บัญชาการน้อย ฝีมือการแพทย์ของนางนั้นมิได้แย่ แต่เพราะไม่มีเส้นสาย ทั้งยังเป็นสตรี น้อยนักที่จะถูกเรียกใช้ในงานสำคัญ
หลังจากที่นางเข้ามาในกระโจม ท่านเหล่าโหวก็เดินออกไป
ในใจของหมอหญิงคาดการณ์ถึงสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด แต่พอนางเห็นท่านผู้บัญชาการน้อยที่สลบไสลไม่ได้สติ ไม่มีทางทำมิดีมิร้ายกับหญิงสาวได้ นางจึงสงสัยยิ่งกว่าเดิม
“แล้วเหตุใดถึงต้องเรียกข้ามาด้วย”
หมอหญิงงุนงงแต่ก็ยังปลดเสื้อเกราะของผู้บัญชาการน้อยไปพลาง เมื่อนางใช้กรรไกรแหวกเสื้อที่อาบชุ่มไปด้วยเลือดของอีกฝ่าย ร่างทั้งร่างของนางก็พลันแข็งทื่อ