สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 846 ชัยชนะ
บทที่ 846 ชัยชนะ
ฉู่เฟยเผิงก้มหน้าลงอย่างไม่เชื่อสายตา มองดาบยาวที่แทงทะลุหน้าอกของตัวเอง
เหตุใดเขาถึงไม่รู้มาก่อนเลยว่าเซวียนผิงโหวรวดเร็วปานนี้ ทั้งยังไม่รู้ตัวเลยว่านั่นคือดาบคู่
ถังเย่ว์ซานหัวใจเต้นถี่รัว แม่เจ้า นี่แค่กระบวนท่าเดียวหรือนี่
หากจะเอ่ยว่ากระบวนท่าเดียวก็ไม่ถูกนัก ที่เซวียนผิงโหวอ่อนข้อให้ฉู่เฟยเผิงก่อนสามกระบวนท่านั้นก็นับว่าเป็นกระบวนท่าเช่นกัน ดูเหมือนเขาไม่ได้โจมตี แต่ความจริงนั้นล้วนแต่เป็นการสังเกตการณ์
บนโลกนี้ไม่มีสิ่งใดได้มาโดยเปล่า ทั้งยังไม่มีชัยชนะใดที่ได้มาอย่างง่ายดาย ทั้งหมดล้วนแต่มาจากการฝึกฝนเพียรพยายาม ขุนศึกที่พร้อมรบ
ตั้งแต่วินาทีที่ฉังจิ่งเริ่มประมือกับฉู่เฟยเผิง เซวียนผิงโหวก็เริ่มสังเกตและวิเคราะห์กระบวนท่าของฉู่เฟยเผิง
ทว่านั่นเป็นเพียงการเฝ้ามองอยู่ห่างๆ จึงมีรายละเอียดบางอย่างตกหล่นไปอย่างยากหลีกเลี่ยง ด้วยเหตุนี้เขาจึงยอมถอยให้เขาสามกระบวนท่า จับจ้องแต่ละกระบวนท่าของเขาโดยละเอียด
เขาดูเหมือนจะจู่โจมเพียงกระบวนท่าเดียว ทว่ายามอยู่บนรถศึก เขานั้นได้ต่อสู้กับฉู่เฟยเผิงในหัวไปแล้วนับร้อยกระบวนท่า
ถังเย่ว์ซานยกย่อง “เหล่าเซียว เจ้าไม่เลวเลยนี่!”
เซวียนผิงโหวเอ่ยอย่างมั่นใจ “ฉู่เฟยเผิงนั้นมิได้อ่อนแอ ที่เขาแพ้อย่างรวดเร็วขนาดนี้ล้วนแต่เป็นเพราะประมาทศัตรู”
ถังเย่ว์ซานรู้สึกว่าที่เซวียนผิงโหวพูดนั้นก็มีเหตุผลไม่น้อย แต่พอคำพูดถ่อมตนเช่นนี้ออกจากปากเซวียนผิงโหว เหตุใดถึงรู้สึกไม่น่าเชื่อเอาเสียเลย
เซวียนผิงโหวทอดถอนใจด้วยสีหน้าจริงจัง “หากเขาไม่ประมาทเช่นนั้น บางทีอาจจะสู้กับข้าได้อีก…สักกระบวนท่าหนึ่งกระมัง”
ถังเย่ว์ซาน “…”
จะเอาหน้าหรือจะเอาชีวิตของตัวเองไว้ เจ้าต้องเลือกสักอย่างแล้วกระมัง
“ซี๊ด…”
จู่ๆ เซวียนผิงโหวก็สูดปากขึ้นมา งอตัวลง มือหนึ่งใช้ดาบยาวค้ำไว้กับพื้น อีกมือหนึ่งกุมเอวของตัวเองเอาไว้ “ไอ้หยา เอวข้า…”
ถังเย่ว์ซานมุมปากกระตุก หล่อให้ได้มันได้สักสามวินาทีจะได้ไหม
เซวียนผิงโหวเอ่ยเสียงหงุดหงิด “มัวทำอะไรอยู่ รีบลงมาประครองข้าขึ้นไปสิ!”
ถังเย่ว์ซานเบ้ปาก ขณะที่กำลังจะกระโดดลงจากรถศึก ใครจะคาดคิดว่า เขาเหลือบเห็นฉู่เฟยเผิงที่นอนจมกองเลือดอยู่นั้นคว้ากระบี่ยาวขึ้นมาจากพื้น เล็งกระบี่พุ่งเข้าใส่แผ่นหลังของเซวียนผิงโหว!
เซวียนผิงโหวที่กำลังถูกบาดแผลที่บั้นเอวเล่นงาน จึงไม่ได้ระวังตัวแม้แต่น้อย….
ถังเย่ว์ซานคิดจะช่วยแต่ก็ไม่ทัน กระบี่ด้ามนั้นพุ่งเข้ามาเสียแล้ว!
ใบหน้าของเขาซีดเผือด ร้องตะโกนอย่างตื่นตระหนก “เหล่าเซียว…”
…
ด้านล่างกำแพงเมือง ทัพใหญ่แคว้นเหลียงและทหารม้าเฮยเฟิงยังคงสู้รบห้ำหั่น ทัพซ้ายของทหารม้าเฮยเฟิงบาดเจ็บสาหัส ทั้งทหารม้าและม้าศึกต่างล้มลงอย่างต่อเนื่อง แต่ก็มีทหารม้าและม้าศึกใหม่เข้ามาเสริมทัพอย่างต่อเนื่องเช่นกัน
หลังจากถงเฉินคุ้มกันกู้เจียวไปส่งถึงทัพหลังของแคว้นเหลียงก็ฝ่าฟันย้อนกลับมา แต่ถึงกระนั้นเขาก็มิอาจกู้สถานการณ์ได้
เขาถูกแทงถึงสามแผลบนร่าง ขาซ้ายสองแผล หน้าท้องอีกหนึ่งแผล แม้แต่เกราะก็ถูกแทงจะพรุน
จากสถานการณ์รบของทั้งสองทัพ ทัพใหญ่แคว้นเหลียงนั้นสูญเสียไปมากกว่า เพียงแต่กำลังพลของแคว้นเหลียงนั้นมีจำนวนมาก ต่อให้เสียกำลังไปมากกว่าสามเท่าแต่สุดท้ายแล้วย่อมเป็นแคว้นเหลียงที่ยืนหยัดในศึกนี้
ถงจงฟันทหารแคว้นเหลียงไปอีกหนึ่งนาย
น่าเสียดายที่กำลังของเขานั้นหมดสิ้นแล้ว กระบี่เมื่อครู่แทบไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บแต่อย่างใด
อีกฝ่ายเพียงแค่ชะงักไป แต่จู่โจมถงจงกลับในทันใด
ถงจงไม่มีเรี่ยวแรงจะหลบหลีกกระบี่นั้น เขารู้ดีว่าตัวเองไม่มีแรงแม้แต่จะยกกระบี่ขึ้นสู้
ข้าจะตายแล้ว
ผู้บัญชาการน้อย
ข้าคงต้องจากไปก่อน
ในอดีตเข้าใจเจ้าผิดไปมากมาย ขอเจ้าโปรดอย่าได้ถือโทษข้า
ชาติหน้า… ไว้พวกเรามารบเคียงบ่าเคียงไหล่กันอีกครั้ง
ถงจงล้มลงกับพื้น
ทว่ากระบี่นั้นของทหารแคว้นเหลียงมิได้แทงลงมา มู่ชิงเฉินฆ่าอีกฝ่ายด้วยกระบี่เดียว
มู่ชิงเฉินพยุงถงจงลุงขึ้น คุ้มกันถงจงพร้อมฟาดฟันบนถนนแห่งสายเลือดไปตลอดเส้นทาง!
อดีตท่านชายผู้สูงศักดิ์แห่งเซิ่งตู ยามนี้ร่างทั้งร่างอาบไปด้วยเลือดของศัตรู ทุกกระบวนของเขานั้นล้วนแต่ถึงชีวิต ไม่มีทางไว้ชีวิตคู่ต่อสู้
ภายในเวลาแสนสั้นเพียงไม่กี่วัน สงครามอันโหดร้ายได้สอนให้เขารู้ซึ้งถึงสัจธรรมอย่างหนึ่ง… เมตตาศัตรูคือทารุณสหาย
สภาพการณ์ทางเฉิงฟู่กุ้ยและหลี่จิ้นเองก็ไม่สู้ดีนัก เฉิงฟู่กุ้ยบาดเจ็บเป็นทุนเดิม แม้แผลจะสมานดีแล้ว แต่เพราะเส้นเอ็นและกระดูกที่เสียหายสะสม กำลังแขนซ้ายของเขาจึงถดถอยลงกว่าแต่ก่อนมาก
ทัพเสริมรวมกำลังทัพขวาแล้ว
เฉิงฟู่กุ้ยและหลี่จิ้นคุ้มกันกันและกัน
เฉิงฟู่กุ้ยหอบกระชั้นเอ่ย “ทัพหน้าต้านได้อีกไม่นานแล้ว…”
หลี่จิ้นกลืนน้ำลาย เอ่ยอย่างยากลำบาก “ทัพโจมตีก็จะไม่ไหวแล้วเหมือนกัน…”
หากทัพใหญ่แคว้นเหลียงไม่ยอมถอย ทหารม้าเฮยเฟิงคงเป็นอันจบสิ้น!
หลี่จิ้นเอ่ย “ผู้บัญชาการน้อยบุกเข้าไปฆ่าแม่ทัพแคว้นเหลียงแล้ว… หวังว่า… เขาจะทำสำเร็จ…”
เฉิงฟู่กุ้ยเอ่ย “แต่นี่ก็นานมากแล้วนะ…”
เฉิงฟู่กุ้ยไม่ได้เอ่ยประโยคหลังต่อ ทว่าทั้งสองต่างรู้ดีอยู่แก่ใจ
พวกเขาเห็นถงจงคุ้มกันกู้เจียวไปยังทัพหลังแคว้นเหลียงกับตาของตัวเอง คำนวณดูแล้วยามนี้ก็ผ่านไปแล้วหนึ่งก้านธูปได้ ฆ่าคนคนหนึ่งมิได้ใช้เวลานานปานนั้น
เว้นเสียแต่ว่า…
ผู้บัญชาการน้อยเจอตอเข้าให้
หรือหากจะพูดตามตรงก็คือ ผู้บัญชาการน้อย… ถูกฆ่าแล้ว
นั้นสองคนกำโล่ในมือแน่น นึกภาพว่าผู้บัญชาการน้อยที่ทั้งโหดเหี้ยมและแสนน่าเอ็นดูของพวกอาจต้องตายด้วยน้ำมือของพวกโจรชั่วแคว้นเหลียง ไฟในอกของทั้งสองก็พลันโหมกระพือ!
ฆ่ามัน!
ฆ่าไอ้พวกชาติหมานั่นให้สิ้น!
ขณะที่ทั้งสองเลือดพล่านนั้น ทัพหลังแคว้นเหลียงก็ส่งสัญญาณเขาสัตว์เสียงต่ำดังกังวาน
นั่นมัน…
สัญญาณบุกโจมตีหรือ
หากแคว้นเหลียงบุกโจมตีทั้งทัพขึ้นมาละก็ ผู้บัญชาการน้อยแย่แน่!
หวูด…
เสียงสัญญาณดังขึ้นอีกครั้ง
เดี๋ยวก่อน ไม่สิ นี่ไม่ใช่บุกโจมตี แต่เป็น…ถอยทัพ!
ทัพใหญ่แคว้นเหลียงถอยทัพแล้ว!
“ว่ะฮะฮ่า!” เสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งดังตามมา ชายผู้หนึ่งในชุดเกราะต้าเยียนหิ้วหัวอาบเลือดของแม่ทัพใหญ่แคว้นเหลียงพุ่งตัวเข้ามา “หัวของฉู่เฟยเผิงอยู่ที่นี่! แม่ทัพแคว้นเหลียงของพวกเจ้าถูกสังหารแล้ว! กองหนุนแคว้นเยี่ยนมาถึงแล้ว! พวกโจรชั่วแคว้นเหลียง! อยากตายก็เข้ามา…”
นั่นคือถังเย่ว์ซาน
ทัพใหญ่แคว้นเหลียงพลันตื่นตระหนก แม้แต่ถอยทัพยังโกลาหลวุ่นวาย
ส่วนทหารม้าเฮยเฟิงที่เดิมหมดเรี่ยวแรงก็พลันกลับมามีกำลังวังชาอีกครั้ง
ในที่สุดกองหนุนจากราชสำนักก็มาถึงแล้ว!
ในที่สุดแม่ทัพแคว้นเหลียงก็ตาย!
เมื่อแคว้นเหลียงไร้ผู้นำ หากไม่ฆ่าให้สิ้นเสียตั้งแต่ยามนี้ แล้วจะรอไปถึงยามใด
เฉิงฟู่กุ้ยตะเบ็งสุดเสียง ชูโล่ในมือตะโกนลั่น “โจรชั่วแคว้นเหลียงเข็ญฆ่าทหารม้าเฮยเฟิงของเรามากมาย คิดว่าจะหนีพ้นหรือ ไม่ง่ายดายปานนั้นหรอก! พี่น้องทั้งหลาย! บุก! ฆ่ามัน!”
แม้ทหารกองหนุนจากราชสำนักจะมาถึงแล้ว ดังนั้นทัพสำรองจึงไม่จำเป็นต้องเป็นพลสำรองอีกต่อไป
หลีจิ้นสั่งการเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชา “ไปแจ้งแม่ทัพโจวและแม่ทัพจาง ส่งทัพสำรองลงศึก! ฆ่าพวกโจรชั่วแคว้นเหลียงให้หมด!”
“ขอรับ!”
หลังจากนั้นก็เป็นการแก้แค้นของเหล่าทหารม้าเฮยเฟิง
ทัพแปดหมื่นนายของแคว้นเหลียงที่บุกโจมตีเมือง สุดท้ายเหลือรอดเพียงไม่ถึงสามหมื่นนาย
เพียงแต่ว่าเมื่อทหารเฮยเฟิงบุกฟาดฟันจนถึงทัพหลัง กลับไม่พบแม้แต่เงาของทหารราชสำนัก
มีเพียงรถศึกของทัพใหญ่แคว้นเหลียงที่ถูกละทิ้งจนพัวยับเยิน และชายสามคนที่นั่งขัดสมาธิใบหน้ามอมแมมอยู่ริมทาง… ชายแก่ ชายวัยกลางคน และชายหนุ่ม สามชั่วอายุคน
ข้างชายชรานั้นคือผู้บัญชาการน้อยของพวกเขาที่นอนราบอยู่ ส่วนข้างกายของเด็กหนุ่มคือทหารแคว้นเหลียงที่ไม่มีผู้ใดรู้จัก
ราชาม้าเฮยเฟิงเฝ้าคุ้มกันอยู่ข้างผู้บัญชาการน้อย ใช้จมูกดมลมหายใจของผู้บัญชาการน้อยเป็นระยะ ผู้บัญชาการน้อยยังมีชีวิตอยู่ เพียงแต่หมดสติไปก็เท่านั้น
ผู้บัญชาการน้อยระวังตัวตลอดทุกวินาทีระหว่างศึก แม้แต่ยามนอนหลับก็ไม่เคยได้ผ่อนคลาย
ทว่าไม่รู้ว่าพวกเขาตาฝาดไปหรือไม่ วินาทีนี้ท่ามกลางพวกเขาทั้งหลาย ผู้บัญชาการน้อยราวกับหลับใหลอย่างสงบนิ่งอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
พวกเขาจึงไม่กล้าแม้แต่เข้าไปรบกวน
ผ่านไปครู่หนึ่ง ทหารม้านายหนึ่งก็เอ่ยเสียงแผ่วเบาขึ้น “นี่มัน… เกิดอะไรขึ้นกันแน่ กองหนุนของต้าเยี่ยนเล่า กองหนุนต้าเยียนที่เจ้าบ้านั่นตะโกนเมื่อครู่คงไม่ใช่ไม่กี่คนตรงหน้านี่หรอกกระมัง”
“ฮ่าๆๆ ! สะใจโว้ย! พวกโจรชั่วแคว้นเหลียง! อย่าได้คิดหนี! บุกไปพร้อมกับข้า!”
ทุกคนต่างสีหน้าเหนื่อยหน่าย เอ่อ เจ้าบ้านั่นมาแล้ว!
ถังเย่ว์ซานพลิกตัวลงจากหลังม้า เขาได้ขี่ม้าเฮยเฟิง รู้สึกกระปรี้กระเปร่าเหลือเกิน!
เขามองเซวียนผิงและพวกสามคนด้วยความสงสัย “เอ๊ะ เหล่าเซียว! เหล่ากู้! ฉังจิ่ง! เหตุใดพวกเจ้าถึงสภาพเช่นนี้”
ทั้งสามคนสีหน้าไร้อารมณ์ พากันสำลักฝุ่นออกมา
ทัพใหญ่แคว้นเหลียงถอยทัพ ฝุ่นก็ตลบถนนน่ะสิ
ทหารแคว้นเหลียงที่นอนอยู่บนพื้นคือฉู่เฟยเผิง
หัวคนที่อยู่ในมือของถังเย่ว์ซานนั้นความจริงแล้วมิใช่ซู่เฟยเผิง แต่เป็นทหารแคว้นเหลียงนายหนึ่ง ในเมื่อเลือดอาบเสียขนาดนั้น ใครก็จำไม่ได้อยู่แล้ว
นอกจากนั้นเขาเองคือคนที่เป่าสัญญาณถอยทัพ
เมื่อครู่ฉู่เฟยเผิงแกล้งตาย แล้วฉวยโอกาสลอบสังหารเซวียนผิงโหว ว่ากันตามตรง แม้แต่ถังเย่ว์ซานยังคิดว่าเซวียนผิงโหวไม่รอดแล้ว
ใครก็คิดไม่ถึงว่าเซวียนผิงโหวจะคว้าดาบขึ้นมาได้ทัน ก่อนจะฟันกระบี่ยาวของฉู่เฟิงเผิงอย่างเกรี้ยวกราด
เซวียนผิงโหวเดือดดาล กระทืบแผ่นอกที่เลือดอาบของฉู่เฟยเผิง
เขามองไปทางฉู่เฟยเผิงอย่างเลือดเย็น สายตาเยือกเย็นล้ำลึกดุจดั่งนรกภูมิ “ลอบโจมตีข้า ก็เป็นฝีมือสินะเจ้าฉู่เฟยเผิง แค่นี้ไม่สาสมหรอก”
ถังเย่ว์ซานมั่นใจแล้วว่าอาการบาดเจ็บที่เซวียนผิงโหวกำเริบขึ้นมานั้นมิได้เสแสร้ง ทั้งยังมั่นใจว่าก่อนหน้านี้เขามิได้ระวังตัวจริงๆ เรียกได้ว่าเขานั้นตอบโต้ได้เร็วมาก ยิ่งกว่ายอดฝีมือทั่วไป
สามารถต่อสู้จากโรงประลองใต้ดินแคว้นเจามาจนถึงแคว้นเยี่ยน จากอันดับหนึ่งของแคว้นล่างสู่ผู้พิชิตอันดับหนึ่งแห่งแคว้นบน ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า เขานั้นได้มาด้วยฝีมือมิใช่โชคช่วย
เพียงแต่ว่า ยามที่อยู่ในโรงประลองใต้ดินนั้นเขาปกปิดตัวตนที่แท้จริงและใบหน้า ครั้งเดียวที่หน้ากากหลุดกลางถนนนั้น ก็ถูกช่างวาดที่อยู่ชั้นบนเห็นเข้า
ตั้งแต่นั้นมาชายหนุ่มผู้นั้นก็ติดอันดับคนงามแห่งแคว้นทั้งหก
นั่นทำให้เขานึกสงสัยว่า ผู้ใดเป็นคนชนเหล่าเซียวจนหน้ากากหลุดกันนะ
เหมือนจะเป็นหญิงนางหนึ่ง ชื่อว่า… เยี่ยนอะไรสักอย่างกระมัง