สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 844.2 เซวียนผิงโหวออกโรง! (2)
บทที่ 844.2 เซวียนผิงโหวออกโรง! (2)
กู้เจียวกำลังถูกมือกระบี่สามคนล้อมวงไว้
“อย่าแตะต้องม้าตัวนั้นนะ” เป็นเสียงที่ดังมาจากข้างในรถม้า
“วางใจได้เลยขอรับ พวกเราจะจัดการแค่พ่อหนุ่มคนนี้เท่านั้น!” มือกระบี่ใบหน้าซีดไร้หนวดอายุราววัยกลางคนเอ่ยขึ้น “เจ้าหนู ข้าจะบอกบุญก่อนเจ้าตายก็แล้วกัน นามของข้าคือเจิ้งซาน ส่วนอีกสองคนเป็นฝาแฝด หลี่ฉีกับหลี่เฉวียน”
พวกเขาใช้ภาษาแคว้นเยี่ยนที่ติดสำเนียงเล็กน้อย
กู้เจียวมองดูพวกเขาทั้งสามด้วยสีหน้าไร้ความกลัว “ข้าไม่สนใจชื่อพวกเจ้าสักนิด ไหนลองเล่าประวัติพวกเจ้าให้ข้าฟังที”
เจิ้งซานรับปฏิกิริยาของกู้เจียวและชื่นชมออกปาก “เจ้าหนู กล้าหาญดีนี่ อยากเป็นลูกศิษย์ข้าไหมล่ะ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า แต่เจ้าเตรียมบอกลาค่ายทหารม้าเฮยเฟิงไปได้เลย”
กู้เจียวตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เอาอย่างนี้ดีกว่า เจ้าคุกเข่าแล้วเรียกข้าว่าใต้เท้าสิ บางทีข้าอาจจะพิจารณาไว้ชีวิตเจ้าก็ได้”
เจิ้งซานหุบยิ้มลงทันที “จะตายอยู่ทนโท่แล้วยังปากดีอีก! หลี่ฉี หลี่เฉวียน จัดการมัน!”
มือกระบี่ฝาแฝดพุ่งกระบี่เข้ามาทางกู้เจียวทันที
ด้วยความที่ฝาแฝดมีความสามัคคีกันมากกว่าคนทั่วไป อีกทั้งท่วงท่าและฝีเท้าที่ไวสุดขีด ทำเอากู้เจียวเริ่มกระอักกระอ่วนที่จะใช้กระบวนท่าทวนของเซวียนหยวน
เจ้าเฮยเฟิงอยากเข้ามาช่วยกู้เจียวด้วย แต่กลับถูกเจิ้งซานขวางทาง
และไม่รอช้า เจ้าเฮยเฟิงกระโดดถีบขาคู่ใส่เจิ้งซานทันที
ชายที่อยู่ในรถม้านั่งจิบชาพร้อมกับมองสถานการณ์ด้านนอก “จำไว้นะ อย่าทำร้ายมันโดยเด็ดขาด”
“น่ารำคาญจริงๆ !” เจิ้งซานเก็บท่าไม้ตายลง ก่อนจะหลบออกไป
จัดการเจ้าม้าตัวนี้นั้นยากกว่าที่เขาคิด
แม้มันจะเป็นม้าแก่ แต่เขาไม่เข้าใจว่าทำไมมันถึงยังระเบิดพลังการต่อสู้อันทรงพลังออกมาได้
เจิ้งซานเริ่มเบื่อที่จะซ่อนตัว เขาจึงเรียกทหารคนอื่นเข้ามาช่วย
กู้เจียวตะโกนบอกเจ้าเฮยเฟิง “ลูกพี่ อยู่นิ่งๆ ก่อน”
เจ้าเฮยเฟิงเชื่อฟังคำสั่งของกู้เจียว หยุดฝีเท้าลง แล้วหันไปมองกู้เจียว
คราวนี้เจิ้งซานเข้ามาผสมโรงด้วย กู้เจียวที่เพิ่งฟื้นฟูพลังได้เพียงแค่ครึ่งหนึ่งของพลังทั้งหมดแทบไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่ายด้วยซ้ำ
เช่นนั้น คงจะเหลือแค่วิธีเดียว
คราวก่อนที่หลังจากกู้เจียวสูญเสียการควบคุม กู้เจียวจำได้ว่าสติสัมปชัญญะของนางไม่ได้หายไปทั้งหมดเสียทีเดียว อาจเป็นเพราะตอนนั้นรีบแก้ไขได้ทันท่วงที หรือไม่ก็เพราะกลิ่นคาวเลือดในตอนนั้นยังไม่เข้มข้นพอ
แต่ตอนนี้ นางอยู่ในสนามรบ กลิ่นคาวเลือดลอดคลุ้งทั่วอากาศเรียกได้ว่าทุกอณูบนเนื้อหนังสามารถสัมผัสได้
บางทีการเสียการควบคุมครั้งนี้ อาจทำให้กู้เจียวกู่ไม่กลับก็เป็นได้
นางจะสู้จนถึงที่สุด
ถอยหลังไม่ได้แล้ว ทหารม้าเฮยเฟิงเริ่มล้มตายกันมากขึ้น พวกเขาเสียสละมามากเกินควรแล้ว
กู้เจียวจะกำจัดพวกมันให้หมด!
ฆ่าฉู่เฟยเผิง และหยุดสงครามนี้ให้จงได้!
เจิ้งซานขมวดคิ้วมองกู้เจียว “เจ้าหนูนี่คิดจะทำอะไรของมัน”
“ยังไหวอยู่ไหมนั่น” หลี่ฉีถาม
หลี่เฉวียนแสยะยิ้ม “ข้าจัดการมันเอง!”
“แย่ละ! หลบออกมาก่อน!”
สิ้นเสียงคำเตือนของเจิ้งซาน หลี่เฉวียนถึงได้ถอยออกมาสิบก้าว
แต่ก็ช้าเกินเสียแล้ว
ทันใดนั้น รังสีอำมหิตของเด็กหนุ่มแผ่ซ่านรอบทิศอย่างรวดเร็ว หลี่เฉวียนเหวี่ยงกระบี่ลงไปบนหัวไหล่ของเด็กหนุ่ม แต่กลับไม่มีท่าหลบหลีกอย่างใด ที่น่าตกใจคือเขาใช้มือเปล่ารับกระบี่ของหลี่เฉวียนอย่างเต็มเหนี่ยว
สายตาเด็กหนุ่มเต็มไปด้วยความอาฆาต และแค่ปลายนิ้วเดียวของเขา กระบี่ของหลี่เฉวียนก็หักลงต่อหน้าต่อตาทันที
วินาทีที่หลี่เฉวียนกำลังจะชักกระบี่กลับเพื่อหลบหนี แต่กลับถูกเด็กหนุ่มใช้ทวนแทงเข้าที่หัวใจ!
“รังสีอำมหิตนี่มัน…”
สีหน้าเจิ้งซานพลันนิ่งเรียบ
“น้องข้า!” หลี่ฉีเห็นน้องชายฝาแฝดของตัวเองถูกศัตรูแทงต่อหน้าต่อตา จึงรีบพุ่งตัวเข้าไปโจมตีกู้เจียวด้วยความโกรธและความแค้นที่พุ่งพล่าน
ทั้งเจิ้งซานและหลี่ฉีโบกกระบี่และเข้าประชิดกู้เจียวทั้งด้านหน้าและด้านหลังราวกับไม่ยอมให้อีกฝ่ายหลบหนี
ถึงแม้จะหายไปหนึ่งคน แต่พลังของพวกเขายังคงมีเยอะกว่าวิญญาณทมิฬอยู่ดี
ถึงแม้กู้เจียวจะสูญเสียการควบคุม แต่พลังของนางก็ยังมีกำจัด อาจเป็นเรื่องยากที่จะเอาชนะอีกฝ่าย
หลังจากสู้กันไปมา ทั้งสามคนต่างก็ได้รับบาดเจ็บ แต่คนที่สาหัสที่สุดคือหลี่ฉี และเขาได้สูญเสียพละกำลังในการต่อสู้ไปแล้ว
เจิ้งซานหันไปมองสหายด้วยความฉงนสงสัย ขนาดระดับวิญญาณทมิฬยังไม่สามารถทำพวกเขาเจ็บได้ถึงขั้นนี้เลย…
ที่จริงกู้เจียวเองก็ไม่ได้แย่ไปกว่าพวกเขา เพราะก่อนหน้านี้นางทั้งสู้กับพวกทหารหน่วยกล้าตาย ต่อมาก็สู้กับจ้าวอัน แล้วก็มาเจอมือกระบี่สามคนนี้อีก แทบไม่เหลือแรงสู้ต่อแล้วด้วยซ้ำ
เจิ้งซานยกมือกุมแผลชุ่มเลือดที่หน้าอกของตัวเอง กัดฟันและหันไปทางรถม้า “ฉู่เฟยเผิง! แบบนี้มีหวังเราทุกคนตายกันหมดนะ!”
ฉู่เฟยเผิงถอนหายใจเบาๆ “พวกเจ้าเป็นถึงมือกระบี่แห่งเจี้ยนหลู แต่กลับพ่ายแพ้ให้เด็กอายุสิบหก มีน้ำยาแค่นี้เองหรือ”
“ฉู่เฟยเผิง!” เจิ้งซานตะโกนพร้อมทั้งกำหมัดแน่น
ฉู่เผิงเฟยสะบัดแขนเสื้อตัวเองหนึ่งทีก่อนลงจากรถม้า การเคลื่อนไหวของเขารวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ และมาอยู่ตรงหน้ากู้เจียวในพริบตา
กู้เจียวแทงทวนไปทางเขาทันที
ทว่าแม้จะเล็งมั่นแล้ว
แต่…
กลับไม่โดนแม้แต่นิด
พลังของเขาน่ากลัวยิ่งนัก…
ฉู่เฟยเผิงมองเด็กหนุ่มที่แผ่ซ่านไปด้วยรังสีอำมหิต พร้อมกับคิดในใจ หึ แล้วยังไงล่ะ
มีหรือจะสู้ข้า ฉู่เฟยเผิง เทพเจ้าแห่งสงครามได้!
ฉู่เฟยเผิงเอื้อมมือไปบีบคอกู้เจียว!
เขาสามารถทำให้ศีรษะของคนตรงหน้าหลุดออกจากคอได้เพียงแค่บิดเล็กน้อย!
ฟิ้ว!
ลูกธนูที่ถูกยิงไปในอากาศราวกับสายฟ้า ก่อนจะพุ่งตรงเข้ามาที่ข้อมือของฉู่เฟยเผิง!
เขาปล่อยมือและสะบัดแขนเสื้อเพื่อหันเหลูกธนู แต่จู่ๆ ลูกธนูก็เฉือนเข้าที่แขนเสื้อของเขาจนขาด
ดวงตาของเขาวูบไหวทันที
ในขณะนั้นเอง ชายหนุ่มในชุดดำปรากฏกายขึ้นจากท้องฟ้า และอาศัยจังหวะที่ฉู่เฟยเผิงเผลอเข้ามาคว้าร่างของกู้เจียวไปต่อหน้าต่อตา!
ฉู่เฟยเผิงสัมผัสได้ถึงรังสีทรงพลังที่มาจากด้านหลัง เขาหันหลังกลับอย่างรวดเร็ว แล้วก็ได้เห็นรถม้าศึกคันใหญ่เคลื่อนตัวมาทางด้านหลังกองทัพ
บุรุษในชุดเกราะสีเงินถือกระบี่ยาวพร้อมกับใช้เท้าข้างเดียวเหยียบลงไปบนขอบรถม้าด้วยท่าทีไม่สนโลก
ท่วงท่าของเขาแม้จะดูน้อยนิดแต่กลับดูทรงพลังอย่างเหลือเชื่อ!
ฉู่เฟยเผิงขมวดคิ้ว
บุรุษในชุดเกราะสีเงินชูกระบี่ยาวขึ้นแล้วชี้ไปทางฉู่เฟยเผิง “ฉู่เฟยเผิง บังอาจแต่ต้องลูกสะ… ลูกชายข้ารึ จะทำอะไรช่วยเกรงใจกระบี่ของข้าด้วย”
“เจ้าเป็นใครกัน” ฉู่เฟยเผิงถาม
บุรุษในชุดเกราะสีเงินโบกกระบี่ของเขาด้วยท่าทางสง่างาม “ข้าคือเซียวจี่คนดีคนเดิมไม่เคยเปลี่ยนชื่อ หรือที่รู้จักกันในนาม เซวียนผิงโหวแห่งแคว้นเจา!”