สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 841 รวมพลังป้องกันเมือง
บทที่ 841 รวมพลังป้องกันเมือง
ระหว่างทางกลับ ฉังเวยแทบไม่ได้เอ่ยอะไร
พอเห็นสถานการณ์ไม่สู้ดี เหวินเหรินชงและจ้าวเติงเฟิงจึงส่งสายตาไปถามหลี่เซิน
ด้วยความที่ไม่สะดวกเล่าเพราะอยู่ต่อหน้าฉังเวย หลี่เซินจึงทำได้เพียงเมินสายตาของสหายทั้งสอง
และแล้วพวกเขาก็กลับมายังจุดที่ลงจากม้า และเห็นว่าม้าของพวกเขายังอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน
กลับกัน กลายเป็นว่าเชือกของม้าของฉังเวยดันขาดออก แต่ยังดีที่ได้ม้าตัวอื่นๆ ช่วยคุ้มกันไว้ มันจึงไม่ได้หนีไปไหน
“มีสัตว์ป่าตัวอื่นมาที่นี่” กู้เจียวสังเกตรอยเท้าที่พื้น
นี่คงเป็นอีกหนึ่งข้อดีของการไม่ผูกม้า อย่างน้อยพวกมันยังสามารถรวมตัวกันเพื่อขับไล่สัตว์ป่าตัวอื่นที่เข้ามาบุกรุกพื้นที่ หากพวกมันถูกมัด ป่านนี้คงกลายเป็นอาหารของสัตว์อื่นไปแล้ว
“บาดเจ็บตรงไหนรึเปล่า” กู้เจียวถามเจ้าเฮยเฟิง
เจ้าเฮยเฟิงเงยหน้าขึ้นและส่งเสียงคำรามด้วยความมั่นใจ
แสดงว่าไม่เป็นไรสินะ
ม้าศึกสิบเอ็ดตัวมีพลังทำลายล้างสูงมาก ต่อให้มีฝูงหมาป่าบุก พวกมันก็เก่งพอที่จะไล่ไปได้
จะมีแค่ม้าของฉังเวยที่ยังอยู่อาการตกใจ แต่เจ้าเฮยเฟิงก็เข้าไปปลอบมันให้แล้ว
หากเป็นเมื่อก่อน พวกเขาอาจรู้จักเจ้าเฮยเฟิงแค่ในแง่ของม้าศึกที่เป็นผู้นำ แต่หลังจากเหตุการณ์วันนี้ พวกเขาได้เห็นด้านใหม่ของเจ้าเฮยเฟิงที่ไม่เคยเห็นมาก่อน และเป็นด้านที่ไม่มีวันเกิดขึ้นหากเจ้าเฮยเฟิงยังอยู่กับหันเย่
ทุกคนกระโดดขึ้นหลังม้า
กู้เจียวถอนหายใจพร้อมกับเอ่ยปลอบ “อย่าคิดมากเลย เขาอาจพูดแบบนั้นเพราะกำลังโกรธอยู่ก็ได้ คงไม่ได้คิดจริงจังหรอก”
ต้องปลอบแบบนี้แหละ ยิ่งปลอบไฟมันยิ่งสุม
ฉังเวยได้แต่พ่นลมออกด้วยความโกรธ จากนั้นควบม้าออกไป
ในที่สุด ต่อมอยากรู้ของจ้าวเติงเฟิงก็เริ่มทนไม่ไหว “เกิดอะไรขึ้นรึ เขาถูกใครต่อยมาอย่างนั้นหรือ”
เขาไม่สนใจจ้าวเติงเฟิง
มู่ชิงเฉินเองก็ไม่ตอบอะไร เพราะเขาไม่สนิทกับจ้าวเติงเฟิง
จ้าวเติงเฟิงจึงหันไปหาแม่ทัพหนุ่มน้อย
“เฮ้อ เขาถูกหักหลังมาน่ะสิ ก็เลยอกหัก” กู้เจียวเอ่ยพร้อมกับทำท่าถอนหายใจอย่างรุนแรง
จ้าวเติงเฟิง“…”
คนอื่นๆ “…”
จ้าวเติงเฟิงและคนอื่นๆ จึงรีบตามฉังเวยไป เพราะกลัวว่าเขาจะหนี
มู่ชิงเฉินเปิดคำถามกับกู้เจียว “ข้าไม่แน่ใจว่าแม่ทัพฝ่ายแคว้นเหลียงคือใคร แต่ฝั่งหนานกง…เดาว่าน่าจะเป็นท่านชายสี่ หนานกงเจวี๋ย”
กู้เจียวตอบ “อื้อ ข้าก็คิดว่าใช่”
กู้เจียวจำประโยคที่เขาเอ่ยว่า ‘บิดาของข้าไปเจอเขา’ ซึ่งคนคนนั้นน่าจะเป็นหัวหน้าตระกูลหนานกง
หัวหน้าตระกูลหนานกงมีลูกชายด้วยกันสี่คน คนโตสุดชื่อหนานกงเฉิง แต่เพราะเขาไม่เก่งการต่อสู้ จึงไม่น่าถูกส่งมาเจรจาได้
รองลงมาก็คือหนานกงลี่ ซึ่งตายไปแล้ว คนที่สาม หนานกงเจ๋อ แต่เสียงของเขาไม่ได้เป็นแบบนั้น
คนที่เป็นไปได้มากที่สุดก็เหลือแค่หนานกงเจวี๋ย
“เราควรกำจัดเขาไหม” มู่ชิงเฉินถาม
กู้เจียวหันไปมองเขาหนึ่งที “เจ้าชินกับการฆ่าคนแล้วรึ”
“สักวันก็ต้องทำใจให้ชินอยู่ดี” มู่ชิงเฉินเอ่ยพร้อมกับหลบตาลง
กู้เจียวพอใจกับคำตอบของเขามาก สมกับเป็นคุณชายชิงเฉิน
“คืนนี้เขาคงยังไม่ออกมาหรอก ไว้ดวลกันอีกที” กู้เจียวเอ่ย
เมื่อทุกคนกลับมาถึงค่าย ฉังเวยรีบพุ่งตรงไปยังเตียงผู้ป่วยของเขาทันที
นายหมอที่อยู่ในนั้นถึงกับตกใจตื่นทันทีเพราะคิดว่ามีพายุพัดเข้ามาด้านใน
หลังจากสะดุ้งอยู่ครู่หนึ่ง ก็หันไปมองฉังเวยที่เพิ่งล้มตัวลงบนเตียง แล้วหันไปมองแม่ทัพที่ยืนอยู่ด้านนอก
เขารีบเดินเข้าไปหากู้เจียว “ท่านแม่ทัพ เขาไม่เป็นอะไร… มากใช่ไหม”
“ไม่เป็นไร ไม่ต้องเป็นห่วงเขา ไม่ต้องถามคำถามใดๆ แค่ให้ยาตามอาการก็พอ” กู้เจียวตอบ
“ขอรับ” นายหมอขานรับ
คนอื่นๆ แยกย้ายกันไปพักผ่อน ส่วนนายหมอก็ออกไปดูคนไข้คนอื่น
ฉังเวยนอนอยู่คนเดียวในห้อง ร่างกายของเขารู้สึกหนาวแม้จะได้ผ้าหนาๆ มาห่มแล้ว
‘เขามาจากครอบครัวยากจน บิดาของข้าเจอกับเขาตอนเขาเป็นขอทานอยู่ตามถนน’
‘เป็นคนเอาแต่ใจ เป็นคนอวดรู้ ไม่รู้จักปรับตัว’
‘…เรียกได้ว่าเป็นสุนัขที่ซื่อสัตย์ที่สุดที่ตระกูลหนานกงเลี้ยงมา!’
‘ตราบใดที่ฉังเวยให้ความร่วมมือกับพวกเจ้า รับรองว่าพวกเจ้าจะสามารถบุกโจมตีเมืองได้อย่างง่ายดาย!’
‘ที่พวกเจ้าแพ้เพราะพวกเจ้าไม่มีความสามารถเองต่างหาก คิดหรือว่ากองทัพแคว้นเหลียงของเราเหมือนกับซากกองทัพของตระกูลหนานกงน่ะ ไร้สาระ! แล้วแม่ทัพที่ชื่อฉังเวยอะไรนั่น ถ้าเป็นแคว้นเหลียง เขาจะไม่มีสิทธิ์ได้นำพลอะไรทั้งนั้น!’
ฉังเวยกำมือแน่น ร่างกายของเขาสั่นอย่างรุนแรงจนบาดแผลแตก มีเลือดซึมไหลออกมาจากผ้าพันแผลจนเสื้อของเขากลายเป็นสีแดง!
…
กองทัพแคว้นเหลียงค้นพบสิ่งผิดปกติเกี่ยวกับอาวุธยุทโธปกรณ์ของตนในเช้าของวันรุ่งขึ้น มีฝนตกปรอยๆ ที่ชายแดนในตอนเช้า ขณะที่เหล่าทหารหลายนายออกไปเช็ดน้ำฝน ทันทีที่พวกเขาสัมผัสกับรถม้า มันก็พังต่อหน้าพวกเขาทันที!
ทหารทุกคนได้แต่ยืนนิ่งอึ้ง
จากนั้นพวกเขาก็สำรวจรถคันอื่นๆ และพบว่าทุกคันล้วนพังหมด!
และไม่ใช่แค่รถม้า รถบันไดของพวกเขาแทบจะกลายเป็นเศษไม้ไปเลย
นี่เป็นอุบัติเหตุใหญ่ในค่ายทหาร
และแล้วข่าวก็ไปถึงแม่ทัพระดับสูงๆ
เมื่อฉู่เฟยเผิงมาดูที่เกิดเหตุ เขาใช้ปลายนิ้วหยิบชิ้นส่วนที่หักของรถม้าขึ้นมาดู แววตาของเขาวูบไหวทันที “ใยไหมฟ้าแดนหิมะ!”
“ท่านแม่ทัพ นี่มัน…” แม่ทัพอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆ เอ่ยขึ้น
“ดูเหมือนว่าเมื่อคืนเรามีแขกมาเยือนน่ะ” ฉู่เฟยเผิงเอ่ย
แม่ทัพคนนั้นรีบคุกเข่าลงทันที “ข้าน้อยบกพร่องในหน้าที่ขอรับ!”
ฉู่เฟยเฟิงหันหน้าไปทางทิศเมืองฉวี่หยางพร้อมเอ่ยขึ้น “หนานกงเจวี๋ยพูดถูก พวกทหารม้าเฮยเฟิงไม่ได้มาเล่นๆ สินะ ดูเหมือนว่าแผนการโจมตีเมืองจะต้องถูกเลื่อนออกไป ไปบอกตระกูลหนานกงว่าข้ายอมรับเงื่อนไขของพวกเขา”
…
หลังจากกองทัพแคว้นเหลียงสูญเสียอาวุธยุทโธปกรณ์ กว่าจะได้รถบันไดและรถม้าใหม่จากเมืองอื่นๆ ต้องใช้เวลาถึงแปดวัน ซึ่งต้องใช้กำลังคนและทรัพยากรวัสดุจำนวนมาก อีกทั้งยังทำให้ขวัญกำลังใจของกองทัพสั่นคลอนเล็กน้อย
แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร แคว้นเยี่ยนไม่ได้มีศัตรูเพียงแคว้นเดียว ยังมีอีกสี่แคว้นที่รอเขมือบแคว้นเยี่ยนในเวลานี้
แคว้นเยี่ยนกำลังจะสูญเสียการควบคุมไม่ช้าก็เร็ว
ช่วงเย็นของวันที่สิบแปดเดือนเก้า ลมตะวันตกมีกำลังแรง
แม่ทัพซ่งข่ายของแคว้นเหลียงนำกองกำลังแนวหน้าสองหมื่นนายเปิดการโจมตีระลอกแรกไปยังประตูทิศตะวันตกของเมืองฉวี่หยาง
ซึ่งในคืนก่อนหน้านั้น ฉังเวยได้รับสารจากตระกูลหนานกง
ด้วยความที่ตระกูลหนานกงฝังรากอยู่ในเมืองฉวี่หยางมาเป็นเวลานาน ยังคงมีสายลับของพวกเขาอยู่ในเมือง หนึ่งในนั้นแต่งตัวเป็นพ่อค้าหาบเร่และแอบเข้าไปในค่ายทหารเพื่อส่งข่าวให้ฉังเวย
เขาแสดงตราอาญาสิทธิ์ที่ซ่อนในแขนเสื้อของเขาแล้วพูดกับฉังเวย “หัวหน้าตระกูลมีคำสั่ง หากแคว้นเหลียงเข้าโจมตีเมือง จงสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาของเจ้าทำลายค่ายทหารม้าเฮยเฟิงทันที!”
ปฏิกิริยาของฉังเวยสงบมาก เขาถามไป “หัวหน้าตระกูลต้องการให้ข้าช่วยเหลือพวกเผด็จการและก่อกบฏอย่างนั้นหรือ”
พ่อค้าหาบเร่อธิบายต่อ “ฮ่องเต้แคว้นเยี่ยนเป็นผู้ไร้คุณธรรม นี่เป็นแผนการที่จะขับไล่เสือเพื่อจับหมาป่า แน่นอนว่าท่านเจ้าของตระกูลไม่มีทางทรยศต่อแคว้น เมื่อทหารม้าเฮยเฟิงถูกกำจัด ท่านเจ้าของตระกูลจะให้ท่านนำทัพไปขับไล่กองทัพแคว้นเหลียงออกจากชายแดน!”
“เป็นเช่นนั้นรึ” ฉังเวยย้อนถาม
พ่อค้าหาบเร่ยิ้มเอ่ย “เป็นเช่นนั้นแน่นอน ทุกคนต่างรู้ดีว่าท่านหัวหน้าตระกูลอุทิศตนให้กับแคว้นเยียนมากเพียงใด ที่ท่านหัวหน้าตระกูลมอบหมายงานสำคัญให้ท่าน ไม่ใช่แค่ความไว้วางใจเท่านั้น แต่เป็นการเห็นความสำคัญของท่าน ขอท่านอย่าทำให้ท่านหัวหน้าตระกูลผิดหวัง เพราะท่านคือผู้ที่ตระกูลหนานกงไว้ใจที่สุด”
ฉังเวยหันไปเอ่ยกับพ่อค้าหาบเร่ด้วยสีหน้าจริงจัง “นายใหญ่… คิดกับข้าแบบนี้จริงหรือ ไม่คิดว่าข้าเป็นแค่สุนัขรับใช้ของตระกูลหนานกงหรือ”
พ่อค้าหาบเร่ถอนหายใจ “เหตุใดท่านถึงคิดอย่างนั้น ไปได้ยินข่าวลือจากไหนมา ท่านรับใช้ให้ตระกูลหนานกงมาก็หลายปีแล้ว พวกเขาเคยทำอะไรให้ท่านเจ็บช้ำน้ำใจบ้างไหม จริงอยู่ที่การที่พวกเขาหนีออกมาแบบนั้นมันก็ไม่ถูก แต่อย่าลืมสิว่าใครช่วยชีวิตท่านในตอนนั้น ท่านไม่ควรคิดเนรคุณพวกเขานะ”
หลังจากที่พ่อค้าหาบเร่จากไป ฉังเวยก็ไปยังสถานที่ซึ่งเชลยศึกถูกคุมขัง
แม้พวกเขาถูกถอดชุดเกราะและอาวุธออกไป แต่ไม่มีใครถูกทารุณกรรมแต่อย่างใด
พวกเขาได้กินทุกอย่างที่ทหารม้าเฮยเฟิงกิน ไม่มีขาดแม้แต่มื้อเดียว
ส่วนทหารที่ได้รับบาดเจ็บทั้งหมดได้รับการรักษาพยาบาลอย่างทันท่วงที ศพของทหารที่เสียชีวิตไม่ได้รับความเสียหาย พวกเขาทั้งหมดถูกเย็บและฝังอย่างมีศักดิ์ศรี
ตราเหล็กของพวกเขาถูกรวบรวมและเก็บไว้โดยปรมาจารย์หู
ฉังเวยไปหาที่ปรึกษาหูเพื่อขอตราเหล็กคืน
ตอนที่พวกเขาได้เจอกันอีกครั้ง ก็ตรงกับช่วงที่กองทัพแคว้นเหลียงมาถึงเมืองพอดี
ฉางเวยยืนอยู่บนหอคอยท่ามกลางลมตะวันตกที่พัดแรง สวมชุดเกราะแวววาวและถือธนูอันใหญ่อยู่ในมือ
ซ่งข่ายขี่ม้านำหน้ากองทัพอย่างช้าๆ ก่อนจะหยุดยืนในพื้นที่ว่างเปล่า เขาเงยหน้าขึ้นมองฉังเวยที่อยู่บนหอคอย ฉีกยิ้มแล้วพูดด้วยสำเนียงแคว้นเยี่ยนที่ไม่ค่อยจะเหมือนเท่าใดนัก “เจ้าคือฉังเวยสินะ ดูท่าวันนี้พวกเราคงไม่จำเป็นต้องทำศึกแล้วล่ะ ตระกูลหนานกงยึดเมืองฉวี่หยางคืนได้แล้ว…”
ทันใดนั้น ฉังเวยง้างคันธนูขึ้นและยิงเข้าที่ไหล่ของซ่งข่าย!
ด้วยแรงอันมหาศาล ทำให้ซ่งข่ายตกจากหลังม้าทันที!
เสียงร้อยโหยหวยของเขาดังขึ้นพร้อมกับเสียงร่างที่กระแทกพื้น
เขาเอามือกุมหัวไหล่พร้อมกับจ้องเขม็งไปบนหอคอย “เจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรือ!”
ทันทีที่ฉังเวยยกมือขึ้น นักธนูหลายร้อยคนก็ปรากฏตัวบนหอคอยเมือง พวกเขาทั้งหมดชักคันธนูขนาดใหญ่แล้วเล็งไปทางของกองทัพแคว้นเหลียง
ทหารพวกนี้… ไม่ใช่ทหารม้าเฮยเฟิงนี่นา!
แต่เป็นทหารของตระกูลหนานกง!
“ไหนเจ้าเคยบอกว่าทหารของฉวี่หยางเป็นแค่เศษซากทหารไม่ใช่หรือ รู้สึกอย่างไรที่ถูกเศษซากอย่างพวกข้ายิงใส่น่ะ” ฉังเวยเอ่ยกับซ่งข่ายด้วยน้ำเสียงคับแค้น
“ข้าเคยพูดตอนไหน…” จากนั้นแววตาของซ่งข่ายก็วูบไหว จริงสิ ข้าเคยพูดนี่นา!
แต่ตอนนั้นเขาจำได้ว่าเคยพูดประโยคนี้กับหนานกงเจวี๋ย เขาเยาะเย้ยกองทัพหนานกงที่พ่ายแพ้ให้กับทหารม้าเฮยเฟิง!
แล้วฉังเวยรู้ได้อย่างไร
หนานกงเจวี๋ยเอาไปพูดอย่างนั้นรึ
ไม่ เป็นไปไม่ได้ หนานกงเจวี๋ยไม่มีทางทำแบบนั้น
หรือว่า
“เจ้าใช่ไหมที่แอบมาทำลายยุทโธปกรณ์ของข้า!” แววตาและน้ำเสียงของซ่งข่ายแข็งกระด้างขึ้นทันที
ฉังเวยไม่ได้อธิบายอะไร และเห็นได้ชัดว่าไม่มีประโยชน์เลยที่จะพูดเรื่องไร้สาระกับคนแบบนี้
ฉังเวยแสยะยิ้มพลางเอ่ย “ข้ารู้ตัวดีว่าข้าบกพร่อง แต่ก็ไม่บกพร่องเกินกว่าจะจัดการกับเจ้าและพวกโจรจากแคว้นเหลียง! แหกตาดูดีๆ แล้วกันว่าเศษซากอย่างพวกเราจะขับไล่กลุ่มโจรแคว้นเหลียงออกจากแคว้นเยี่ยนด้วยวิธีใด!”
“เจ้าบ้านี่คิดจะทำอะไรของมัน” ซ่งข่ายเริ่มสังหรณ์ไม่ดีนัก
ฉังเวยมองลงไปที่กองทัพแคว้นเหลียง แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงอันทรงพลัง “ฟังคำสั่ง ยิง!”