สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 840 มิตรแท้เพื่อนทหาร!
บทที่ 840 มิตรแท้เพื่อนทหาร!
ยังไม่หมดแค่นั้น
กู้เจียวแบมือทั้งสองข้างออก แล้วอธิบายต่อ “ที่จริง เจ้าไม่ต้องผูกม้าก็ได้ เพราะม้าเฮยเฟิงพวกนี้จะคอยเฝ้าม้าของเจ้าไม่ให้วิ่งหนีไปไหนเอง”
ฉังเวยรู้สึกรับไม่ได้ที่ม้าของตัวเองไม่ได้มีระเบียบวินัยเท่าม้าคนอื่น ซ้ำพวกมันยังสามารถช่วยเฝ้ายามให้คน…เอ้ย ไม่สิ ให้ม้ากันเองได้ด้วย
นั่นยิ่งทำให้เขารู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ และไม่อยากเสวนากับเจ้าเด็กหนุ่มคนนี้อีก!
เขาเดินหน้าเขียวไปข้างหน้า
กู้เจียวเดินตามเขาไป
มู่ชิงเฉินเดินตามไปพร้อมทั้งคอยเฝ้าระวังรอบด้านไปด้วย
ฉังเวยเอ่ยเสียงแข็ง “พ่อหนุ่ม ไม่กลัวข้าหลอกใช้เจ้ารึ”
กู้เจียวเอ่ยกลับอย่างใจเย็น “ถ้าข้ากลับไปไม่ได้ ชะตากรรมนักโทษนับหมื่นทั้งหมดในเมืองฉวี่หยางจะเป็นอย่างไรเจ้าก็คิดเอาเองแล้วกัน”
ฉังเวยกัดฟันกรอด “เป็นเด็กเป็นเล็ก แต่กลับใจไม้ไส้ระกำยิ่งนัก!”
“ขอบคุณที่ชม” กู้เจียวยิ้มอ่อน
ฉังเวยแทบจะสติขาดผึง
นักรบมักมีนิสัยโมโหฉุนเฉียว ซึ่งก็มีทั้งข้อดีข้อเสีย ข้อดีคือสามารถสร้างแรงบันดาลใจและจิตวิญญาณการต่อสู้ในสนามรบได้มากขึ้น แต่ข้อเสียคือ มักจะหงุดหงิดง่ายเวลาอยู่นอกสนามรบ
เมื่อคำนึงถึงอาการบาดเจ็บของตัวเอง ฉังเวยตัดสินใจที่จะไม่เสวนากับเขาอีก
พวกเขาเดินเลาะไปตามไหล่เขาเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงลำห้วยแห่งหนึ่ง ด้านหน้าเป็นหุบเขาตรงทางแยกของทั้งสองแคว้นซึ่งเป็นที่ตั้งค่ายของกองทัพแคว้นเหลียง
ดูแล้วอีกฝ่ายก็คงจะเพิ่งมาถึงที่นี่เช่นกัน
“รอให้พวกเขาหลับสนิทกันก่อนค่อยแอบเข้าไป” ฉังเวยเอ่ย
จากนั้นฉังเวยก็ตระหนักได้ว่าเขาเพิ่งพูดด้วยน้ำเสียงที่ใช้พูดกับลูกน้อง แต่ดูเหมือนพ่อหนุ่มจอมโหดคนนี้จะไม่คิดว่ามีอะไรผิดปกติแต่อย่างใด
พวกเขานอนหลบอยู่บนพื้นหญ้าด้านหลังโขดหิน
นี่ก็เข้าสู่ช่วงเดือนเก้าตามปฏิทินจันทรคติแล้ว เป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง และลมยามค่ำคืนที่ชายแดนก็หนาวมาก พื้นดินก็เย็นเหมือนกัน ทำเอามือเท้าของพวกเขาเริ่มแข็ง
มู่ชิงเฉินแตะหลังมือของกู้เจียวโดยไม่รู้ตัวและกระซิบ “ไยถึงได้เย็นขนาดนี้”
“เย็นรึ” กู้เจียวไม่ยักรู้สึก
มู่ชิงเฉินทำท่าจะถอดเสื้อของตัวเองให้ แต่ลืมไปว่าตอนนี้พวกเขาอยู่ในชุดสายลับกันหมด
“หลับกันแล้ว!” กู้เจียวเอ่ย
มู่ชิงเฉินเดินตามเสียงไป และได้เห็นว่าทหารกลุ่มสุดท้ายกำลังเข้าไปด้านในค่าย โดยมีทหารราวร้อยนายคอยเฝ้าลาดตระเวนอยู่ด้านนอก
หลังจากสังเกตมาระยะหนึ่ง พวกเขาก็เข้าใจเส้นทางการลาดตระเวนอย่างคร่าวๆ และเมื่อสบโอกาส พวกเขาก็แอบย่องเข้าไปในค่ายของกองทัพแคว้นเหลียง
อาวุธยุทโธปกรณ์ของพวกเขาอยู่ในค่ายเก็บสัมภาระด้านหลังค่าย อีกทั้งเสบียงก็อยู่ที่นั่นด้วย
ในคืนเดือนมืดและมีลมพัดแรงแบบนี้ ช่างเป็นเวลาที่เหมาะแก่การเผาเสบียง แต่น่าเสียดายที่ทำแบบนั้นไม่ได้
กู้เจียวส่งสัญญาณมือให้ทหารสิบคน เมื่อมู่ชิงเฉินและคนอื่นๆ ได้สัญญาณแล้ว พวกเขาก็หยิบถุงมือใยไหมขึ้นมาสวม
ฉังเวยกระตุกมุมปากหนึ่งทีหลังจากที่เห็นพวกเขาหยิบถุงมือขึ้นมาใส่
กู้เจียวหยิบถุงผ้าที่ทำจากวัสดุพิเศษออกมาห้าใบ แต่ละถุงบรรจุใยไหมฟ้าแดนหิมะหนึ่งเส้น
เมื่อแจกจ่ายถุงผ้าเสร็จ พวกเขาก็เริ่มปฏิบัติการ
หน่วยสอดแนมและฉังเวยมีหน้าที่จับตาดูความเคลื่อนไหวของอีกฝ่าย
การใช้ไยไหมฟ้าแดนหิมะทำลายรถม้าและบันไดลิงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับพวกเขา แต่สิ่งสำคัญคืออย่าให้ส่วนที่เหลือกระแทกพื้นและส่งเสียงดังโดยเด็ดขาด
“เจ้าต้องตัดแบบนี้ พอตัดตรงนี้ออกได้ รถคันนี้ก็จะใช้งานไม่ได้แล้ว” เขาคอยสอนคนอื่นๆ และชี้ไปแต่ละจุด
กู้เจียวและมู่ชิงเฉินร่วมมือกันอย่างดีในการใช้ไยไหมฟ้าแดนหิมะ โดยต่างคนต่างจับปลายอีกด้านหนึ่ง พอเสร็จมู่ชิงเฉินก็ใช้วิชาตัวเบาเพื่อข้ามไปยังอีกด้านของรถม้า พวกเขาทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ
ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างเงียบสงบและไหลลื่นอย่างดี
กู้เจียวถึงกับอุทาน “โห”
ยิ่งกว่ารักษาโรคย้ำคิดย้ำทำอีกนะเนี่ย!
กู้เจียวรู้สึกสนุกกับการได้เล่น…เอ้ย กับการได้ทำภารกิจครั้งนี้มาก
“มีคนกำลังมา! รีบหนีเร็ว!” ฉังเวยเตือนด้วยเสียงเบา
กู้เจียวเบะปาก “เพิ่งจะทำลายไปไม่กี่อันเองนะ”
ทุกคนต่างพากันตะลึง
พลางคิดในใจ พวกเราทำลายไปได้แค่ไม่กี่อัน บางคนยังไม่ทันได้ทำด้วยซ้ำ ก็เพราะท่านแย่งพวกเราทำหมดแล้วอย่างไรล่ะ!
“ไปเถอะ” มู่ชิงเฉินเอ่ยพร้อมกับยื่นไหมให้กู้เจียวช่วยเก็บ
กู้เจียว “อือ”
กู้เจียวทำท่ากำลังเก็บไหม ก่อนจะแอบตัดรถม้าอีกคันตอนที่ไม่มีใครเห็น!
มู่ชิงเฉิน “…”
เมื่อทหารลาดตระเวนของกองทัพแคว้นเหลียงมาถึง พวกเขาก็ไม่อยู่แล้ว
ในบรรดาทุกคน กู้เจียวเป็นคนเดียวที่ไม่มีวิชาตัวเบา มู่ชิงเฉินจึงต้องโอบเอวของนางแล้วพาตัวออกไป
ส่วนฉังเวยที่ได้รับบาดเจ็บก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้วิชาตัวเบาเช่นกัน เลยต้องให้หลี่เซินและจ้าวเฉิงเฟิงผลัดกันพาเขาไป
ขณะที่กู้เจียวและมู่ชิงเฉินกำลังกระโดดผ่านค่ายที่มีแสงไฟสลัว กู้เจียวตบแขนของมู่ชิงเฉินเพื่อส่งสัญญาณให้เขาหยุด
มู่ชิงเฉินค่อยๆ ลงจอดบนพื้นหญ้า
เขาถามด้วยสายตา
กู้เจียวชี้ไปที่ค่ายๆ หนึ่งซึ่งตั้งอยู่ห่างพวกเขาราวสามจั้ง แล้วตอบด้วยสายตาว่า ข้าเห็นคนเข้าไปในนั้น
ขณะที่คนอื่นๆ ก็หยุดอยู่ข้างๆ พวกเขาเช่นกัน
พวกเขาหลบอยู่ในความมืดและมองไปยังจุดที่กู้เจียวชี้นิ้ว กู้เจียวครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนตัดสินใจส่งสัญญาณมือให้คนบางส่วนออกไปก่อน เว้นแค่มู่ชิงเฉิน หลี่เซิน และฉังเวย
แม้คนอื่นจะไม่ยอมออกไปเท่าไหร่นัก แต่นี่เป็นคำสั่งทหาร
หลังจากที่คนอื่นๆ ออกไปแล้ว กู้เจียวและพรรคพวกก็มุ่งหน้าไปยังค่ายนั้น
พวกเขามาที่ด้านหลังค่าย จากนั้นเอาหูแนบกำแพงเพื่อดักฟังเสียงด้านใน
โดยหลี่เซินรับหน้าที่ดูลาดเลาให้
มีเสียงผู้ชายคุยกันดังขึ้นเล็กน้อย
พวกเขาใช้ภาษาแคว้นเยี่ยน แต่ดูเหมือนมีฝ่ายหนึ่งที่สำเนียงจะแปร่งกว่าอีกฝ่าย
คนที่สำเนียงแปร่งเอ่ยขึ้น “…นี่น่ะหรือสิ่งที่ท่านตอบแทนให้พวกเรา ตอนนี้ฮ่องเต้แคว้นเยี่ยนกำลังตามจับพวกท่านอยู่ หากพวกท่านไม่ได้แคว้นเหลียงของเราช่วยไว้ พวกท่านคงได้เป็นนักโทษแคว้นเยี่ยนในไม่ช้า”
พวกเขาเริ่มเข้าใจสถานการณ์บ้างแล้ว
ฝ่ายหนึ่งต้องเป็นแม่ทัพของแคว้นเหลียง และอีกฝ่ายเป็นกบฏแคว้นเยี่ยน อาจจะเป็นตระกูลหันหรือตระกูลหนานกง แต่น่าจะเป็นอย่างหลังมากกว่า
“ข้าอยากพบแม่ทัพฉู่”
แม้คนอื่นๆ จำเสียงนั้นไม่ได้ แต่ฉังเวยจำได้ทันที เขาคนนั้นคือ หนานกงเจวี๋ย คุณชายสี่ของตระกูลหนานกง
ด้วยความที่ทั้งหนานกงเจวี๋ยและหนานกงเจ๋อเฝ้าชายแดนมาตลอดหลายปี ดังนั้นฉางเวยจึงคุ้นเคยกับพวกเขามาก
“แม่ทัพฉู่กำลังพักผ่อนอยู่” แม่ทัพแคว้นเหลียงตอบกลับ
กู้เจียวตีความในใจว่า คนระดับเจ้าแค่ได้คุยกับข้าก็นับว่าบุญหัวแล้ว
หนานกงเจวี๋ยเริ่มหมดความอดทน “เจ้าคิดหรือว่าจะเอาชนะทหารม้าเฮยเฟิงได้น่ะ ข้าจะบอกเอาบุญไว้เลยนะ ถ้าพวกเจ้าไม่ได้รับความช่วยเหลือจากตระกูลหนานกง พวกเจ้าจะต้องพ่ายแพ้ต่อเซียวลิ่วหลังคนนั้นอย่างแน่นอน!”
กู้เจียวกำหมัดแน่น พร้อมกับพูดในใจว่า ใช่แล้ว! ข้านี่แหละเก่งที่สุด!
แสดงว่าในนั้นเป็นคนของตระกูลหนานกงจริงๆ
กู้เจียวหันไปมองฉังเวยด้วยสายตาเวทนา
ดูสิดู กบฏที่สมคบคิดกับแคว้นอื่น นี่หรือคนที่เจ้าภักดีมาโดยตลอด
จากนั้นแม่ทัพแคว้นเหลียงโต้กลับด้วยน้ำเสียงหยิ่งผยอง “อย่ามาทำตัวตื่นตระหนกต่อหน้าพวกเรา ที่พวกเจ้าแพ้เพราะพวกเจ้าไม่มีความสามารถเองต่างหาก คิดหรือว่ากองทัพแคว้นเหลียงของเราเหมือนกับซากกองทัพของตระกูลหนานกงน่ะ ไร้สาระ! แล้วแม่ทัพที่ชื่อฉังเวยอะไรนั่น ถ้าเป็นแคว้นเหลียง เขาจะไม่มีสิทธิ์ได้นำพลอะไรทั้งนั้น!”
กู้เจียวพยักหน้าเห็นด้วย สุดยอดจริงๆ เอาอีก ว่ามาอีก
“แคว้นเหลียงของพวกเราไม่มีความจำเป็นต้องร่วมมือกับตระกูลหนานกง”
หนานกงเจวี๋ยตะคอกอย่างเย็นชา “นี่เจ้ากำลังล้อเลียนที่พวกเราสูญเสียกองกำลังทหารไปใช่ไหม แม่ทัพฉังเวยของเรายังไม่ตาย เขากำลังเข้ารับการรักษา ในเมืองฉวี่หยางยังมีทหารอีกหกหมื่นนาย ตราบใดที่ฉังเวยให้ความร่วมมือกับพวกเจ้า รับรองว่าพวกเจ้าจะสามารถบุกโจมตีเมืองได้อย่างง่ายดาย!”
เป็นอีกครั้งที่กู้เจียวรู้สึกเห็นใจฉังเวย
แม้ใบหน้าของฉังเวยจะดูสงบนิ่ง แต่เลือดที่ไหลซึมออกมาจากหน้าอกของเขากลับบ่งบอกทุกอย่าง
ดูเหมือนแม่ทัพแคว้นเหลียงจะค่อนข้างสนใจข้อเสนอนี้ แต่เขาก็ยังคงยึดมั่นในการต่อรองและพยายามอย่างเต็มที่ในการเจรจา “ฉังเวยที่ควรจะตายแต่กลับยังไม่ตาย จะแน่ใจได้อย่างไรว่าเขาจะไม่แปรพักตร์”
หนานกงเจวี๋ยตอบด้วยความมั่นใจ “ฉังเวยไม่มีทางหักหลังตระกูลหนานกงอย่างเด็ดขาด!”
“เป็นอย่างนั้นรึ” แม่ทัพแคว้นเหลียงหัวเราะเบาๆ
“เขามาจากครอบครัวยากจน บิดาของข้าเจอกับเขาตอนเขาเป็นขอทานอยู่ตามถนน จากนั้นก็พาเขาไปเข้าร่วมกองทัพ ฉังเวยเป็นคนเอาแต่ใจ เป็นคนอวดรู้ ไม่รู้จักปรับตัว แต่โชคดีที่เจ้านั่นรู้จักภักดีต่อตระกูลหนานกง เรียกได้ว่าเป็นสุนัขที่ซื่อสัตย์ที่สุดที่ตระกูลหนานกงเลี้ยงมา และยอมตัวตายเพื่อตระกูลของเรา!” คำอธิบายของหนานกงเจวี๋ยแฝงไปด้วยความดูถูกเหยียดหยาม
กู้เจียวอยากจะมอบช่อดอกไม้เป็นรางวัลปลอบใจให้ฉังเวยเสียตอนนี้เลย
สุดยอดมาก!
คืนนี้ขอมอบตำแหน่งมิตรแท้เพื่อนทหารให้เขาเลย!
ปกติหนานกงเจวี๋ยไม่ใช่คนที่พูดจาดูถูกใครต่อหน้าคนนอก แต่ตอนนี้เขาโกรธมากกับท่าทีหยิ่งยโสของแม่ทัพเหลียงจนต้องรีบฟื้นศักดิ์ศรีกลับคืนมาด้วยการพูดจาดูถูกคนอื่น
ทว่า คนพูดไม่จำ คนฟังไม่ลืม
เวลานี้ สีหน้าของฉังเวยเรียกได้ว่าเขียวจนแทบจะคล้ำแล้ว!