สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 836 เซวียนผิงโหวมาแล้ว
บทที่ 836 เซวียนผิงโหวมาแล้ว
Ink Stone_Romance
กู้เจียวเหนื่อยล้าเหลือเกิน คิดไปคิดมาหนังตาก็หนักอึ้ง ฟุบลงกับโต๊ะเล็กตรงหน้าผล็อยหลับไป
เพื่อระบายอากาศ ม่านกระโจมของนางจึงเปิดอ้าไว้ ทางเข้ามีทหารม้าสองนายเฝ้าอยู่
ทหารแนวทัพหน้านายหนึ่งเดินมาทางนี้ เหลือบตามองมาโดยไม่ได้ตั้งใจ ก่อนจะชะงักงันไป
จากนั้นก็มีทหารคนที่สอง คนที่สาม คนที่สี่…
หน้ากระโจมเต็มไปด้วยศีรษะผู้สนใจใคร่รู้เป็นโขยง โดยที่กู้เจียวไม่รู้เรื่องรู้ราว
“ผู้บัญชาการน้อยน้ำลายไหลแหน่ะ…”
“ผู้บัญชาการน้อยขมวดคิ้วแหน่ะ…”
“เขาย่นจมูกด้วย…”
“เบาเสียงหน่อย…”
กู้เจียวฟุบอยู่บนโต๊ะ แก้มน้อยๆ อันอ่อนนุ่มกดทับยู่ยี่ ปากน้อยๆ เผยอเล็กน้อย น้ำลายไหลแวววาวเต็มโต๊ะ
เอาอย่างหวังหม่านมาตั้งหลายวัน อุตส่าห์กลายเป็นกู้เจียวผู้มีแก่นแท้แล้ว ไม่รู้เรื่องรู้ราวเลยสักนิดว่าภาพลักษณ์ท่านขุนนางใหญ่ของตัวเองพังทลายลงภายในวันเดียวแล้ว
“เฮ้ยๆๆ อย่าเบียดข้า ข้ามองไม่เห็น…” ทหารม้านายหนึ่งพึมพำขึ้น เขาเกือบจะโดนเบียดออกไปแล้ว
ผู้คนที่มารายล้อมมีมากมายขึ้นเรื่อยๆ
ทุกคนต่างอยากมองผู้บัญชาการน้อยหลับ
จะว่าไปก็น่าแปลก ชายชาตรีอย่างพวกเขา ไยจึงชอบดูชายชาตรีด้วยกันเองเล่า
หากว่าด้วยเรื่องรูปลักษณ์ มู่ชิงเฉินค่อนข้างรูปงามหล่อเหลากว่า อย่างไรเสียก็เป็นท่านชายอันดับหนึ่งแห่งเซิ่งตู มีชื่อเสียงสมจริงดังคำเล่าลือ
แต่พวกเขาไม่ชอบมองมู่ชิงเฉินนะ
“ทำอะไรน่ะ ทำอะไรน่ะ เกิดอะไรขึ้น”
ที่ปรึกษาหูที่เพิ่งมาจากห้องครัวเห็นหน้ากระโจมโดนมุงอย่างเนืองแน่น ก็ตกใจยกใหญ่ นึกว่าเกิดอะไรขึ้นในกระโจมของท่านผู้บัญชาการ
เขาถามออกไป
จนด้วยเกล้าที่ไม่มีใครสนใจเขา
เขาดึงทหารม้าที่อยู่แถวหลังสุดออกมา “เฮ้ย ทำอะไรน่ะ”
ทหารม้าไม่หันกลับมา พลิกมือดึงมือเขาออก “อย่าเสียงดัง! ไปมุมโน้น!”
ที่ปรึกษาหูถลึงตาโต สูดหายใจลึก
เจ้าเด็กหน้าเหม็นมันพูดจาประสาอะไร ให้ใครไปมุมโน้น ข้าเป็นที่ปรึกษาหูของเจ้านะ!
ข้าไม่ใช่ที่ปรึกษานิรนามที่ไม่ได้รับความสำคัญอยู่ว่างๆ ไม่มีงานทำเสียหน่อย ข้าเป็นคนสนิทที่สำคัญของผู้บัญชาการเซียว! ข้าติดตามใต้เท้าบุกทะลวงเหนือจรดใต้ กรำศึกมาทั่วทุกสารทิศอีก!
ตำแหน่งข้าสูงนะโว้ย!
ที่ปรึกษาหูโมโหควันออกหู ยกมือขึ้น กระโดดเหยงๆ ตบท้ายทอยทหารม้านายนั้น “บังอาจ!”
ทหารม้าหันกลับมามอง เห็นผู้มาเยือนเป็นที่ปรึกษาหูอย่างคาดไม่ถึง เขาหดคอหนี หยิกก้นสหายยิกๆ
สหายปัดมือเขาออก “ทำอะไรน่ะ! ข้าดูท่านผู้บัญชาการน้อยอยู่นะ!”
“อะแฮ่ม!” เขากระแอมหนักๆ
ทหารม้าทั้งหมดพากันหันกลับมามองอย่างฉุนๆ เอ่ยขึ้นพร้อมกันเสียงเบา “หุบปาก!”
เดี๋ยวท่านผู้บัญชาการน้อยตื่น!
จากนั้นพวกเขาก็เห็นที่ปรึกษาหูที่มีสีหน้าทะมึนมืด
ทุกคนพากันกระอักกระอ่วนอยู่กับที่สามวินาที ก่อนจะกลายเป็นผึ้งแตกรัง!
ที่ปรึกษาหูก็ไม่ได้จับไว้ กัดฟันกรอดๆ อย่างโมโห “ไอ้พวกลูกกระต่าย!”
เขาเข้าไปในกระโจมอย่างโมโหโกรธา
เพิ่งจะเห็นกู้เจียวหมอบอยู่กับโต๊ะเขาก็กุมใจเอาไว้อย่างอดไม่ได้
นี่มันผู้บัญชาการน้อยเทพเซียนอะไรกันนี่…
ช่างน่ารักน่าเอ็นดูเกินไปแล้ว!
กู้เจียวนอนครานี้ลากยาวถึงยามบ่าย
ที่ปรึกษาหูปล่อยม่านกระโจมลง ไม่แน่ว่าเจ้าพวกลูกกระต่ายกลุ่มนั้นอาจมามองใบหน้านุ่มนิ่มน้อยๆ ของผู้บัญชาการน้อยอีก
หลังกู้เจียวตื่นมา ก็เช็ดมุมปากอย่างไม่กระโตกกระตาก ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ข้าไม่กระอักกระอ่วน คนที่กระอักกระอ่วนคือคนอื่น
ที่ปรึกษาหูยิ้มแหยเอ่ย “ใต้เท้า บ่ายแล้ว ท่านจะไปพักต่ออีกหรือไม่”
“ไม่แล้ว” กู้เจียวนวดคอที่เมื่อยขบ “สถานการณ์ในเมืองเป็นอย่างไรบ้าง”
ที่ปรึกษาหูเอ่ย “สงบดีขอรับ ใต้เท้าวางใจได้”
นึกบางอย่างขึ้นมาได้ กู้เจียวก็ถาม “เมืองฉวี่หยางมีเจ้าเมืองกระมัง”
ที่ปรึกษาหูสืบสถานการณ์พวกนี้มาชัดเจนแต่แรกแล้ว เขาจึงเล่า “เจ้าเมืองคนเก่าคือคนของตระกูลหนานกง หลังจากประมุขตระกูลหนานกงมาแล้ว ก็มาเป็นเจ้าเมืองเอง ตอนเขาไปก็พาเจ้าเมืองคนเก่าไปด้วย”
กู้เจียวส่งเสียงอืม “ต้องหาเจ้าเมืองคนใหม่ เพื่อฟื้นฟูเมืองให้เป็นระเบียบเรียบร้อย”
ที่ปรึกษาหูรีบเอ่ย “ข้าน้อยจะจับตาดูไว้ขอรับ อ๊ะ จริงสิ ใต้เท้า เมื่อครู่ตอนที่ท่านหลับ หมอจากกระโจมทหารบาดเจ็บมาหา บอกว่าฉังเวยฟื้นแล้วขอรับ”
กู้เจียวแปลกใจมาก “อ้อ ไวปานนี้เชียว ตายยากดีแท้ ข้าไปดูหน่อย”
ที่ปรึกษาหูมองร่างแน่งน้อยผ่ายผอมของนาง ก็อดโพล่งออกไปไม่ได้ “กินข้าวก่อนค่อยไป!”
เป็นน้ำเสียงที่ผู้ปกครองตวาดลูกหลานตัวเอง!
กู้เจียวที่ลุกขึ้นยืนแล้วมองที่ปรึกษาหูอย่างแปลกใจ
ที่ปรึกษาหูจึงได้รู้ตัวว่าอารามร้อนใจตัวเองหลุดพูดอะไรออกไป เขาตกใจจนตัวสั่น ก้มหน้าลงเอ่ย “ข้าน้อย ข้าน้อยหมายถึง….ท่านไม่ได้กินอะไรมาทั้งวัน ไม่ต้องรีบร้อนไปดูฉังเวยหรอก อย่างไรเสียก็ไม่ตายตอนนี้เดี๋ยวนี้หรอก ใต้เท้าไม่สู้กินข้าวก่อนค่อยไปดีกว่าขอรับ…”
อย่าลงโทษข้า อย่าลงโทษข้า ข้าอุตส่าห์มานะก้าวหน้าแล้ว จะลงโทษให้ข้าไปนั่งตบยุงอยู่ว่างๆ ไม่ได้นะ…
“อ้อ ได้”
กู้เจียวนั่งกลับลงไปบนเบาะคืน
ที่ปรึกษาหูกุมใจอย่างยังไม่หายหวาดผวา เกือบนึกว่าตัวเองได้ตายแน่แล้ว…
อาหารของกู้เจียวเรียบง่ายมาก หมั่นโถวสองลูกและผักดองหนึ่งจาน วันนี้กองหนุนเชือดหมู เอามาทำผักกาดขาวตุ๋นน้ำแดงให้พวกทหาร ที่ปรึกษาหูจึงตักไว้ให้กู้เจียวหนึ่งชาม
ทำสงครามใช้พลังมาก ปริมาณของอาหารเพิ่มพูนขึ้น กู้เจียวสวาปามอาหารบนโต๊ะราวกับพายุหมุนจนหมดเกลี้ยง ที่ปรึกษาหูเห็นจนปากอ้าตาค้าง
กู้เจียวไปยังกระโจมทหารบาดเจ็บ
สถานการณ์ของฉังเวยเป็นกรณีพิเศษ มีความเป็นไปได้ที่จะแว้งกัดคืน เขาจึงถูกจัดให้อยู่ในกระโจมทหารบาดเจ็บแยกเดี่ยว โดยมีทหารม้าวายุทมิฬสองนายเฝ้าไว้
เมื่อกู้เจียวเข้ามา ผู้ติดตามของแพทย์คนหนึ่งกำลังป้อนโจ๊กให้เขาอยู่
เขาหันหน้าหนีปฏิเสธ ผู้ติดตามลำบากใจยิ่ง
“เจ้าออกไปก่อนเถิด” กู้เจียวบอกกับผู้ติดตาม
“ขอรับ” ผู้ติดตามวางชามโจ๊กลงแล้วออกไป
กู้เจียวมาหยุดข้างเตียง มองฉังเวยนิ่งๆ “ฟื้นไวทีเดียว”
ฉังเวยหันหน้ามามองกู้เจียวอย่างเย็นชา ริมฝีปากไร้สีเลือดเปล่งเสียงอ่อนระโหยทว่าแข็งกร้าวออกมา “จะฆ่าจะแกงก็แล้วแต่เจ้า อย่างอื่นเจ้าอย่าได้คิดฝัน”
กู้เจียวเอาสองมือไพล่หลัง ยักคิ้วเอ่ย “ข้าอยากรู้นัก เหตุใดเจ้าจึงได้จงรักภักดีต่อตระกูลหนานกงเพียงนี้ พวกเขาเป็นพวกกบฏของราชสำนัก เจ้าก็ไม่ใส่ใจรึ”
ฉังเวยเอ่ยเสียงเย็น “อย่ามาพูดจามั่วซั่วไม่คำนึงถึงความจริง อยู่ตรงนี้ ใครเป็นกบฏยังไม่แน่เลย ฮ่องเต้ไร้คุณธรรม พวกข้าย่อมไม่จำเป็นต้องรับใช้พระองค์อีกต่อไป”
ฮ่องเต้หนอฮ่องเต้ ดูกรรมเวรที่ท่านสร้างขึ้นมาสิ
กู้เจียวเอ่ย “ฮ่องเต้ไม่มีคุณธรรม แล้วตระกูลหนานกงมีหรือไร ตอนนั้นที่ทำร้ายตระกูลเซวียนหยวนเจ้ารู้เรื่องมากน้อยเพียงใด จริงอยู่ที่ฮ่องเต้ทรงคิดจะสังหารตระกูลเซวียนหยวน ฮ่องเต้เสร็จศึกข้าขุนพล ไม่ควรค่าให้เจ้ารับใช้พระองค์ แต่เจ้าคิดว่าตระกูลหนานกงเป็นของพรรค์ดีอะไรรึ หากมิใช่ตระกูลหนานกงร่วมมือกับตระกูลหันขายตระกูลเซวียนหยวน อาศัยแค่กำลังทหารอันน้อยนิดนั่นของราชสำนัก จะทำลายตระกูลเซวียนหยวนได้อย่างไร”
ฉังเวยเหน็บแนม “เจ้าคิดว่าวาจาเพ้อเจ้อของเจ้า ข้าจะเชื่อรึ”
กู้เจียวเอ่ยอีก “ข้าขอถามแค่คำเดียว หากตระกูลหนานกงสมคบคิดกับศัตรูก่อกบฏ เจ้ายังจะยินดีจงรักภักดีต่อพวกเขาอีกหรือไม่”
ฉังเวยหันหน้าหนี “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า!”
นี่เป็นท่าทีที่หลีกเลี่ยงอย่างหนึ่ง
ดูท่าแล้วที่ฉังเวยผู้นี้จงรักภักดีต่อตระกูลหนานกง นอกจากตระกูลหนานกงมีบุญคุณต่อเขาแล้ว ยังไม่พอใจต่อความทรราชไร้คุณธรรมของฮ่องเต้อีกด้วย
ทว่าเหมือนเขาไม่คิดจะสมคบคิดกับศัตรูก่อกบฏ และเขาไม่รู้แผนการที่ตระกูลหนานกงสมคบคิดกับแคว้นเหลียงด้วย
มันสายเกินไปที่จะหาหลักฐานแสดงความผิดแล้ว
นางมีเวลาแค่สามวันทำให้ฉังเวยเชื่อนาง
หากสามวันหลังจากนี้ ฉังเวยยังปักใจไม่ยอมร่วมต้านศัตรูกับนางอีก เช่นนั้นเมืองฉวี่หยางก็อาจจะเป็นไปได้มากที่จะเสียการป้องกัน
…
ณ ตอนใต้ของแคว้นเยี่ยน
พวกอันกั๋วกงกับท่านย่ามาถึงด่านชื่อสุ่ยให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ หลังออกจากเมืองหูแล้วก็เลือกใช้ทางน้ำ
หวังซวี่กับบรรดาผู้ติดตามขึ้นเรือรบของทหารเรือที่ท่าเรือศาลาว่าการ
หากการเดินทางราบรื่น พวกเขาจะไปถึงด่านชื่อสุ่ยภายในห้าวัน
ท่านย่าไม่พอใจกับความเร็วนี้เลย
นางเป็นห่วงเจียวเจียวจะตายแล้ว
“มีทางลัดหรือไม่” นางถาม
จี้จิ่วอาวุโสใช้ภาษาแคว้นเยี่ยนถาม
หวังซวี่รู้แล้วว่าพวกเขาเป็นแขกกิตติมศักดิ์ของจวนกั๋วกง เขาประสานมืออย่างสุภาพ เอ่ย “มีน่ะมีอยู่ขอรับ แต่ค่อนข้างอันตราย ที่นั่นไม่ใช่เขตน่านน้ำแคว้นเยี่ยน พวกเราแทบไม่เคยใช้เส้นทางนั้นเลย”
ท่านย่ากวาดสายตามองมา จี้จิ่วอาวุโสพลันกระจ่าง ใช้ภาษาแคว้นเยี่ยนถามหวังซวี่ต่ออีก “หากใช้เส้นทางนั้นจะเร็วได้เท่าใด”
“สองวันก็ถึง” หวังซวี่เอ่ย
“เช่นนั้นก็ใช้เส้นนั้น!” ท่านย่าตัดสินใจในยามวิกฤต
หวังซวี่หันมามองอันกั๋วกงที่อยู่ตรงข้าม
อันกั๋วกงเขียนว่า ‘เห็นด้วย’
เขาเป็นห่วงกู้เจียวเช่นเดียวกับท่านย่า ระยะเวลาสามวันอยู่ในเขตปลอดภัยไม่นับเป็นอะไรได้ ทว่าชายแดนที่เพลิงสงครามกำลังลุกลามกลับอันตรายนับไม่ถ้วน
อันกั๋วกงเป็นข้าหลวงใหญ่ผู้แทนพระองค์ หวังซวี่จึงไม่ได้ว่าอะไร เรื่องใหญ่ต้องฟังเขา
เขาเอ่ยอย่างไม่ยินยอม “แต่ระหว่างทางหากเกิดอะไรขึ้น พวกท่านอย่านึกเสียใจทีหลังแล้วกัน”
ปากอัปมงคลของหวังซวี่ศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาในตอนบ่ายวันเดียวกันที่กำลังใช้ทางลัด เรือรบสามลำของพวกเขาถูกโจรสลัดล้อมเอาไว้
พวกโจรสลัดแต่ละคนตัวสูงใหญ่ ห้าวหาญสุดจะเปรียบ กำลังทหารบนเรือรบแทบจะไร้กำลังต่อต้านเมื่ออยู่ในมือโจรสลัดแข็งแกร่งกลุ่มนี้
ในที่สุด โจรสลัดก็บุกฝ่าการปิดล้อมของเรือรบได้ เหยียบขึ้นมาบนเรือที่พวกอันกั๋วกงอยู่
หัวหน้าโจรสลัดชูดาบโค้งในมือขึ้น “พี่น้องทั้งหลาย! บุก! สังหารผู้ชายของพวกมันให้หมด! ชิงสตรีของพวกมันมาให้เกลี้ยง! จับลูกๆ ของพวกมันมาด้วยอย่าให้เหลือ!”
คนผู้นี้สูงเจ็ดฉื่อ รูปร่างกำยำล่ำสัน มาดแข็งแกร่ง จาขวามีผ้าคาดไว้ ทุกคนนึกถึงฉายานามโจรสลัดมังกรตาเดียวขึ้นมาโดยมิได้นัดหมาย
เขาไม่ได้ลงมือเอง กลับเป็นลูกน้องโจรสลัดคนหนึ่งของเขาที่ฝีมือว่องไว วรยุทธ์สูงส่ง ซัดหมัดเดียวร่วงไปสองสามคน เพียงไม่นานองครักษ์บนดาดฟ้าเรือก็โดนโจรสลัดน้อยโยนลงทะเลไปแล้ว
หวังซวี่ชักกระบี่ยาวออกมา ฟันใส่แผ่นหลังของโจรสลัดน้อย
ไหนเลยจะรู้ว่ายังไม่ทันได้แตะต้องแม้แต่เส้นขนของโจรสลัดน้อย ก็โดนโจรสลัดน้อยหันหลังใช้เท้าถีบล้ม เหยียบอยู่ใต้ตีนแล้ว!
หวังซวี่ฟุบอยู่บนดาดฟ้าเรือ กระอักเลือดออกมา “…ยามนี้แม้แต่วรยุทธ์ของโจรสลัดก็สูงส่งเพียงนี้แล้วรึ”
โจรสลัดน้อยจัดการองครักษ์ทั้งหมดได้แล้ว
หัวหน้าโจรสลัดหยักยกมุมปากน่ามองขึ้น มาหยุดตรงหน้าหวังซวี่อย่างลำพอง ใช้ภาษาแคว้นเยี่ยนที่ไม่ค่อยถนัดเอ่ย “ปล้น! ทองคำ! เอาออกมา!”
โจรสลัดน้อยเหยียบใบหน้าหวังซวี่ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
หวังซวี่กัดฟันกรอดเอ่ย “ข้า…ตายก็…ไม่มีทางให้…”
“ปากแข็งเสียด้วย” หัวหน้าโจรสลัดชี้ไปในห้องที่พวกท่านย่าอยู่ เอ่ยอย่างอวดดี “เช่นนั้นข้าคงต้อง เอาพวกมันไปฆ่าให้เกลี้ยงแล้วล่ะ”
เพิ่งจะเอ่ยจบ
ศีรษะน้อยๆ กลมเกลี้ยงดวงหนึ่งก็ยื่นออกมาจากในห้อง
เจ้าของศีรษะดวงน้อยทอดมองหัวหน้าโจรสลัด ดวงตากลมโตกะพริบปริบๆ “เสี่ยวจีโหวโหว! (เซวียนผิงโหว)”
เมื่อเข้าสู่หน้านิยายที่ถูกล็อกด้วยเหรียญระบบจะใช้เหรียญปลดล็อกตอนต่อไปโดยอัตโนมัติ
• เมื่อเหรียญทองหมด สามารถเติมเงินแล้วอ่านต่อได้เลย ไม่สะดุด
•