สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 834 สงครามที่แท้จริง!
บทที่ 834 สงครามที่แท้จริง!
Ink Stone_Romance
ประตูเมืองฉวี่หยางแข็งแกร่งเกินไป รถศึกธรรมดากระแทกไม่เปิด ยังคงเป็นหลี่เซินกับจ้าวเติงเฟิงที่พาทหารม้าฝ่ายรักษาการณ์กองหนึ่งอ้อมไปยังประตูเมืองฝั่งใต้
ที่นั่นเนื่องจากคนของตระกูลหนานกงเพิ่งจะหนีออกไป ประตูเมืองจึงเปิดอ้าไว้
พวกหลี่เซินกับจ้าวเติงเฟิงเข้าไปจากประตูเมืองฝั่งใต้ ข้ามคูเมืองมายังประตูเมืองฝั่งตะวันออก ยี่สิบกว่าคนร่วมแรงกันจึงได้หมุนกว้านประตูเมืองให้ขยับอย่างช้าๆ
เมื่อพวกเขาเปิดประตูเมืองออก กำลังจะต้อนรับสหายร่วมทัพทั้งหมดเข้าเมือง สิ่งที่เห็นกลับเป็นทหารม้าและม้าศึกนับไม่ถ้วนล้มซ้ายล้มขวาระเนระนาดอยู่บนพื้นที่ว่างนอกประตูเมือง
บ้างหลับไปทั้งอย่างนั้นเลย บ้างก็สลบเหมือดไปทันที
ม้าศึกมีความระแวดระวังตัวสูง โดยปกติแล้วจะยืนหลับ ทว่ายามนี้ก็ล้มระเนระนาดกันถ้วนทั่วหมดแล้ว
ศึกครานี้ ช่างลำบากลำบนจริงๆ
ทหารม้ากองหนุนแนวหลังต่างน้ำตาคลอ พวกเขาในฐานะกองหนุน ไม่ได้เข้าร่วมศึกครานี้ด้วยกันกับแนวทัพหน้าและแนวบุก พวกเขาเสพสุขกับชัยชนะที่สหายร่วมทัพแลกมาด้วยเลือดเนื้อ ในใจต่างรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าใดนัก
หากเป็นไปได้ พวกเขาก็อยากลงสนามรบบุกเข่นฆ่าศัตรูเช่นกัน
พวกเขาไม่อยากให้สหายเหน็ดเหนื่อยกันถึงเพียงนี้
“อย่ามัวแต่เหม่อเลย ไม่เห็นหรือว่าผู้บัญชาการน้อยยังยุ่งอยู่เลย” หลี่เซินทอดมองไปทางกู้เจียวพลางเอ่ย
กู้เจียวไม่ได้พัก นางกำลังช่วยเหลือและรักษาทหารม้าที่บาดเจ็บด้วยกันกับบรรดาขุนนางแพทย์
ระหว่างทางที่พวกเขามาเจอเข้ากับเฉิงฟู่กุ่ย หลี่จิ้นและพวกถงจง ได้ทราบรายละเอียดการศึกบางส่วนจากปากพวกเขาแล้ว ผู้บัญชาการน้อยอายุเยาว์ผู้นี้บุกรุดนำหน้าอยู่ตลอด พุ่งหน้าสุดของขบวนทัพ
ที่ใดอันตราย เขาก็จะพุ่งไปที่นั่น
เขาสังหารศัตรูได้มากที่สุด แต่เขาอายุน้อยที่สุดแท้ๆ
จ้าวเติงเฟิงอ้าปากพะงาบๆ “เขา… ไม่เหนื่อยรึ”
จะไม่เหนื่อยได้อย่างไร
หากนับแม้กระทั่งศึกหน้าประตูเมืองนี้ด้วยละก็ วันนี้นางเข้าร่วมสงครามทั้งสามสนามทีเดียว ไม่เพียงเท่านี้ ทหารม้าคนอื่นๆ กำลังบำรุงกำลังระหว่างทาง มีเพียงนางที่รักษาผู้บาดเจ็บอยู่
หลี่เซินสีหน้าซับซ้อนเอ่ย “เขาเป็นคนที่ออกแรงจนเก่งกาจมากที่สุด”
จ้าวเติงเฟิงเอ่ยอย่างตกตะลึง “…เด็กหนุ่มนี่มันดีจริงๆ ด้วย”
แม่ทัพสองคนของกองหลังไปขอคำชี้แนะจากกู้เจียวว่าจะจัดการเชลยและทหารบาดเจ็บละแวกหุบเขาอย่างไรดี
กู้เจียวนิ่งไป ก่อนเอ่ย “เชลยให้ขังไว้ที่ค่ายทหารในเมือง ทหารบาดเจ็บพามาที่นี่”
อย่างไรเสียเชลยเหล่านี้ก็เคยรับใช้ตระกูลหนานกงมาก่อน จะแว้งกัดหรือไม่ยังบอกไม่ได้ กู้เจียวเคยคิดจะรับพวกเขาเอาไว้ แต่ยังไม่อาจเสี่ยงให้พวกเขาเข้าร่วมทำศึกที่สำคัญเกินไปได้
แน่นอนว่ากู้เจียวก็สามารถฝังพวกเขาทั้งเป็นได้เช่นกัน
เรื่องฝังเชลยทั้งเป็นพรรค์นี้มีมากมายในแต่ละยุคแต่ละสมัย ทว่ากู้เจียวไม่ได้ทำเช่นนั้น
จอมพลฝ่ายขวาแนวทัพหลัง โจวเหรินถามขึ้น “เช่นนั้น… ทหารบาดเจ็บของพวกเขาจะทำเช่นไรดี”
กู้เจียวเอ่ย “มอบให้ขุนนางทหารของพวกเขาไปรักษา”
ได้ยินประโยคนี้ โจวเหรินกับจางสือหย่งจึงได้มั่นใจว่ากู้เจียวไม่คิดจะทำให้เชลยทัพกบฏกลุ่มนี้ลำบากจริงๆ
ยามที่ผู้บัญชาการน้อยเข่นฆ่ากบฏนั้นโหดเหี้ยมปานนั้น พวกเขาก็นึกว่าเขาเป็นคนกระหายการเข่นฆ่า ระหว่างทางมานี้พวกเขาต่างคิดว่ากันว่าเชลยศึกพวกนั้นอาจจะไม่รอดแน่แล้ว
ทั้งสองแลกเปลี่ยนสายตากัน ล้วนแต่ประหลาดใจ
ทว่าทั้งสองก็ยังพากันขานรับอยู่ดี “ขอรับ!”
ทหารกองหนุนไม่ใช่น้อยๆ มีกองกำลังทหารเกือบจะหนึ่งส่วนสามของกำลังทั้งหมด ทว่าเคราะห์ดีเช่นกันที่มีจำนวนมากเพียงนี้ ไม่เช่นนั้นคงจัดการงานต่างๆ หลังสงครามไม่ได้
กองกำลังเหล่านี้ก็ทำสงครามเป็นเช่นกัน เพียงแต่หากไม่จำเป็นจริงๆ ก็จะไม่ใช้กองกำลังนี้สุ่มสี่สุ่มห้า
จางสือหย่งนำกองกำลังทหารกองหนึ่งไปคุมตัวเชลยศึก หลี่เซินกับจ้าวเติงเฟิงตามมาด้วย
โจวเหรินนำกองกำลังทหารอีกกองไปขนย้ายทหารบาดเจ็บจากหุบเขา
นอกจากนี้ โจวเหรินยังจัดการให้เหวินเหรินชงถอนกำลังทหารที่ตั้งค่ายอยู่ใกล้แนวเทือกเขาแล้วพาเข้ามาในเมือง
ยามที่ทั้งกองหนุนจัดการงานเบ็ดเตล็ดหลังสงครามเหล่านี้ มีเรื่องใหญ่ๆ เกิดขึ้นสองเรื่องด้วยกัน
เรื่องแรก หนานกงเจ๋อหลบหนีไปแล้ว
เขาหักกระดูกมือของตัวเองทั้งเป็น จึงได้หลบหนีออกจากโซ่เหล็กคับแคบได้
เรื่องที่สอง ฉังเวยยังไม่ตายอย่างที่คิด เขายังเหลือลมหายใจเฮือกสุดท้ายอยู่!
ทหารม้าเฮยเฟิงสังเกตเจอตอนขนย้ายศพ ลมหายใจของเขาอ่อนระโหยมาก หากมิใช่เพราะทหารม้าคนนั้นหูดีเกินคนมาตั้งแต่เกิด เกรงว่าคงยากที่จะได้ยินเสียงลมหายใจแผ่วเบาของฉังเวยท่ามกลางสถานที่อึกทึกครึกโครมเช่นนี้
ในบรรดาเชลยศึกก็มีผู้บาดเจ็บอยู่ไม่น้อยเช่นกัน โดยปกติแล้วจะมอบให้ขุนนางแพทย์ฝ่ายพวกเขาไปจัดการเอง
ทว่าฉังเวยมีสถานะพิเศษ โจวเหรินไม่ค่อยแน่ใจว่าจะมอบโอกาสรักษานี้ให้เขาดีหรือไม่
โจวเหรินจึงส่งทหารมาสอบถามความเห็นของกู้เจียว
กู้เจียวใคร่ครวญอยู่พักหนึ่งจึงเอ่ย “พาเขามาที่นี่”
ทหารม้าตกตะลึง “ขอรับ!”
เขาเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ก็เกาหัวแกรกๆ สุดท้ายก็เรียกความกล้าเอ่ยกับกู้เจียว “ท่านผู้บัญชาการ คือว่า ฉังเวยเขา… มีชื่อเสียงโด่งดังในกองทัพมาก… ท่าน… ทางที่ดี… เอ่อ… เอ่อ… คือข้า… ”
กู้เจียวเข้าใจเจตนาของเขา เขากังวลว่าเกิดฉังเวยรอดชีวิตมาอาจจะทำร้ายนาง
กู้เจียวพยักหน้า “ข้ารู้ เจ้าไปเถิด”
ก็เป็นเจตนาที่ดีเช่นกัน
นางจดจำฉังเวยได้เพราะฝันเรื่องสงครามภายในสามปีนั่น ตระกูลหันต้องการกลายเป็นตระกูลเซวียนหยวนที่สอง มีการวางแผนที่จะกำจัดตระกูลขุนนางอื่นๆ เข่นฆ่ากันระหว่างตระกูลขุนนางด้วยกันเอง โดยที่ตระกูลหนานกงกับตระกูลหันเข่นฆ่าได้โหดเหี้ยมที่สุด
ในบรรดาพวกเขา ฉังเวยก็คือแม่ทัพที่จัดการกับตระกูลหันได้กล้าหาญที่สุด
ตอนที่เขาทำศึกกับทหารม้าเกราะเหล็กตระกูลหัน ก็ใช้ใยไหมฟ้าแดนหิมะเช่นกัน ทหารม้าเกราะเหล็กตระกูลหันแทบจะถูกเขาสังหารเกลี้ยง!
ในสงครามภายในครานั้น นางไม่ได้ปะทะกับฉังเวย เพราะฉังเวยน่ารำคาญที่สุด ทำให้ตระกูลหันทนทุกข์ทรมานสุดแสน สุดท้ายก็ถูกวิญญาณทมิฬลอบฆ่า
ใยไหมฟ้าแดนหิมะของเขาจึงตกอยู่ในกรุของตระกูลหัน
ครานี้ เดิมทีคิดจะใช้หุบเขาเป็นสมรภูมิหลักจริงๆ แต่เมื่อได้ยินว่าหลี่จิ้นกับถงจงบอกว่าแม่ทัพที่ยกทัพมาอาจจะเป็นฉังเวย นางก็พลันเปลี่ยนแผนการรบทันที
ซ้ำยังกำชับเฉิงฟู่กุ้ยว่าหากอีกฝ่ายแสร้งพ่ายแพ้ล่าถอย ต้องห้ามไล่ตามผ่านเนินเขานั้นไปเด็ดขาด และห้ามไปใกล้ถนนหลวงเส้นนั้นที่สองฟากฝั่งเป็นทะเลสาบเด็ดขาด
เพราะว่าหากนางเป็นฉังเวยที่คิดจะใช้ใยไหมฟ้าแดนหิมะมาจัดการทหารม้าเฮยเฟิงละก็ ตรงนั้นเป็นสถานที่ที่ซุ่มโจมตีเหมาะที่สุด
…
ผลงานของทหารม้าเฮยเฟิงกองกำลังเฝ้ารักษาการณ์นั้นยอดเยี่ยม เมื่อฉังเวยถูกลากมาด้วยเกวียน กระโจมที่ใช้สำหรับรักษาทหารบาดเจ็บก็สร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว
กู้เจียวเพิ่งจะผ่าตัดเสร็จไปยกหนึ่ง เอ่ยกับทหารม้าหน้าประตู “หามคนเข้ามา”
ทหารม้ากองหนุนสองนายหามฉังเวยที่โลหิตอาบทั่วทั้งร่างเข้ามาในกระโจม ก่อนจะวางลงบนเปลไม้ไผ่สานพิเศษ
ภายในกระโจมมีไข่มุกราตรีแขวนไว้เต็มไปหมด เพื่อแสงส่องสว่าง
นอกจากนี้ยังจุดเทียนกับตะเกียงน้ำมันไว้ไม่น้อย กู้เจียวยิ่งใช้ไฟฉายพกพากระบอกน้อยจากกล่องยา
ก่อนที่ฉังเวยจะมาก็ถูกโจวเหรินถอดชุดเกราะทิ้งไปแล้ว
กู้เจียวใช้กรรไกรตัดอาภรณ์ท่อนบนของเขาออก เผยให้แผลบนทรวงอกซ้ายของเขาออกมาทั้งหมด
กู้เจียวชูมือที่สวมถุงมือปลอดเชื้อขึ้น มองฉังเวยที่หมดสติพลางเอ่ย “ข้าฆ่าคนพลาดน้อยมาก ไม่รู้ว่านี่เป็นลิขิตสวรรค์หรือไม่”
…
กู้เจียวผ่าตัดเสร็จออกมา ได้ยินที่ปรึกษาหูที่รออยู่หน้าประตูรายงานว่า มู่ชิงเฉินกลับมาแล้ว
“เหมือนว่าจ้าวเหลยจะตายในสนามรบ”
ที่ปรึกษาหูพึมพำ “รายละเอียดเป็นอย่างไร ท่านชายมู่ไม่ได้บอก ไม่เช่นนั้นใต้เท้าลองไปถามเขาดูเองดีหรือไม่”
เขาเอ่ยพลันนึกบางอย่างขึ้นมาได้ ใจกระตุกวูบหนึ่ง “ไม่ใช่ ไม่ใช่! ใต้เท้า! ท่านเหนื่อยเพียงนี้! นอนพักก่อนดีกว่า ตื่นมาค่อยไปถามก็ไม่สาย…”
กู้เจียวเดินไปไกลแล้ว
ที่ปรึกษาหูทอดมองเงาร่างน้อยผอมบางสายนั้น กุมใจพลางถอนหายใจเฮือก
ตอนแรกที่ติดตามผู้บัญชาการน้อยเพราะคิดจะปีนขึ้นตำแหน่งสูง รุ่งเรืองพุ่งแรง แต่ติดตามไปติดตามมา ไยสภาพจิตใจเขาจึงชักไม่ค่อยเหมือนเดิมแล้วเล่า
ที่ปรึกษาหูทอดมองฟ้าอย่างไม่เข้าใจ “ไม่ใช่ลูกชายข้าเสียหน่อย ข้ากำลังทำอะไรนี่”
มู่ชิงเฉินยืนอยู่ไกลมาก เดียวดายปักหลักอยู่ริมทาง กำลังจับต้นไม้ใหญ่พยุงตัวอาเจียนแห้งๆ อย่างเอาเป็นเอาตาย
ที่อาเจียนได้ก็อาเจียนออกมาหมดแล้ว
ยามนี้เหลือเพียงความรู้สึกคลื่นไส้ที่โจมตีเขาอย่างต่อเนื่อง
กู้เจียวมาหยุดด้านหลังเขา ชำเลืองมองเขานิ่งๆ “ฆ่าคนครั้งแรก ไม่ชินหรือ”
มู่ชิงเฉินได้ยินเสียงกู้เจียว ก็ข่มความรู้สึกคลื่นไส้เอาไว้ ยกแขนเสื้อเช็ดปาก หอบหายใจเอ่ย “ข้าฆ่าไปห้าคนแล้ว”
จ้าวเหลยไม่ได้ตายด้วยน้ำมือเขา
เขาไม่เคยฆ่าคนมาก่อน ในใจเขาก้าวข้ามผ่านปมนั้นไปไม่ได้ เขาวางแผนให้จ้าวเหลยตกจากหลังม้า ตายอยู่ใต้กีบเท้าม้าของท่านชายสี่หนานกง
แต่เขาไม่คิดไม่ฝันเลยว่า ทหารห้าพันนายของตระกูลหนานกงจะสลัดยากเพียงนี้
มู่ชิงเฉินเอ่ยอย่างเข้าใจยาก “เจ้าบอกว่าไม่ต้องใช้ไม้แข็ง แต่เจ้ารู้แต่แรกแล้วว่าต้องมีการเข่นฆ่า”
กู้เจียวยกสองมือไพล่หลัง เอ่ยนิ่งๆ “ข้าแค่ให้พวกเจ้าเจอสิ่งที่ดีก็เก็บเกี่ยวไว้ แล้วรีบหนี ไม่ได้บอกว่าจะไม่มีสงคราม ไม่มีคนตาย สถานการณ์บาดเจ็บล้มตายทางพวกเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
มู่ชิงเฉินเอ่ยเสียงเบา “… มีทหารม้าสิบกว่านายได้รับบาดเจ็บ”
เพราะตอนแรกเขาไม่ยอมฆ่าคน ทหารม้าเฮยเฟิงปกป้องเขา หนึ่งในนั้นจึงโดนทัพกบฏของตระกูลหนานกงฟันบาดเจ็บสาหัส
“กลับมากันหมดก็ดีแล้ว” กู้เจียวเอ่ยออกมาจากใจจริง
มู่ชิงเฉินรู้สึกว่าไม่มีตรงไหนดีเลย นึกถึงความรู้สึกที่ฆ่าคนแล้ว เขาก็คลื่นไส้ขึ้นมาอีกระลอก
“เจ้าฆ่าคนครั้งแรก… เป็นเช่นนี้เหมือนกันหรือไม่” เขาถาม
“จำไม่ได้แล้ว” กู้เจียวเอ่ย “ฆ่ามามากมายนัก”
มู่ชิงเฉินหันมามองนางอย่างนิ่งอึ้ง
กู้เจียวกลับไม่ได้อธิบาย นางหันหลังเดินกลับไป เดินไปพลางเอ่ยไปพลาง “ทางที่ดีเจ้าเคยชินให้เร็วๆ เข้าไว้ ต่อจากนี้จะไม่มีภารกิจสบายๆ เช่นนี้มอบให้เจ้าฝึกฝนอีกแล้ว ทัพใหญ่แคว้นจิ้นโจมตีด่านเทียนซานแตกแล้ว ทัพใหญ่แคว้นเหลียงก็จะมาถึงด่านเยี่ยนเหมินภายในสามวันนี้เช่นกัน”
“มู่ชิงเฉิน สงครามที่แท้จริงเริ่มขึ้นแล้ว!”