สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 833 เทพสงครามเจียวเจียว
บทที่ 833 เทพสงครามเจียวเจียว
Ink Stone_Romance
“ท่านแม่ทัพฉังเวย!”
ทหารแปรพักตร์หนานกงนายหนึ่งเห็นภาพตรงหน้านี้คาตาจึงหลุดร้องขึ้นเสียงดัง
บรรดาทหารม้าเฮยเฟิงสบจังหวะตวาดก้องเสียงดัง
“แม่ทัพฉังเวยสิ้นแล้ว!”
“แม่ทัพฉังเวยถูกผู้บัญชาการเฮยเฟิงสังหารแล้ว!”
“พี่น้องทั้งหลาย! แม่ทัพผู้ได้รับชัยชนะตลอดกาลของพวกเขาสิ้นชีพใต้คมดาบของผู้บัญชาการน้อยแล้ว! ทุกคนบุก! สังหารแปรพักตร์พวกนี้ซะ!”
ขวัญกำลังใจของทหารเฮยเฟิงพุ่งพล่านฮึกเหิม ถึงแม้ว่าทุกคนล้วนถึงขีดจำกัดของเรี่ยวแรงแล้ว กลับกัดฟันแน่น ไม่ยอมให้พวกแปรพักตร์หนานกงมองออกถึงความเหนื่อยล้าของพวกเขาแม้แต่น้อย
ทัพแปรพักตร์หนานกงรอบด้านเห็นฉังเวยโดนแทงกับตา และพวกที่อยู่ไกลออกไปนั้นจะเห็นหรือไม่ก็ไม่สำคัญแล้ว เพราะกู้เจียวแทงคนแล้วยกขึ้นมา ก่อนจะชูขึ้นสูงกลางอากาศ
“นี่คือแม่ทัพฉังเวยของพวกเจ้า! เขาสิ้นชีพด้วยมือข้าแล้ว!”
เสียงที่ยังไม่แตกหนุ่มของเด็กหนุ่มเจือไอสังหารเข้มข้น กึกก้องอยู่ในสนามรบที่กำลังอึกทึกครึกโครม
แม่ทัพฉังเวยผู้ไร้พ่าย บัดนี้กลับปราชัยให้กับเด็กหนุ่มที่เพิ่งเข้าสู่โลกคนหนึ่ง!
ชุดศึกของเด็กหนุ่มสะท้อนแสงจันทราสีเงินยวง
ทุกคนพลันซื่อเซ่อไปชั่วครู่ ราวกับ… เทพสงครามรุ่นใหม่ได้ถือกำเนิดขึ้นต่อจากเซวียนหยวนลี่แล้ว!
เดิมทีกำลังใจของทัพแปรพักตร์หนานกงก็ต่ำเตี้ยเรี่ยดินอยู่แล้ว ครั้นแม่ทัพฉังเวยปราชัยกลายเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้หลังอูฐหัก
เบื้องหน้าเป็นทหารม้าเกราะเหล็กเซวียนหยวนที่ถือดาบรออยู่ เบื้องหลังเป็นกำแพงใยไหมฟ้าแดนหิมะที่ตัดคนได้อย่างไร้ร่องรอย มีทหารหวาดผวาสุดขีด หลบหนีหัวซุกหัวซุนลงทะเลสาบไป
แต่คนเพิ่งกระโดดลงไป ลูกธนูของพวกเฉิงฟู่กุ้ยก็ยิงออกไปราวกับปลิดวิญญาณ เพียงไม่กี่อึดใจ ผืนทะเลสาบก็แดงเทือก
บัดนี้สนามรบอันกว้างใหญ่ไพศาลได้กลายเป็นลานประหารของทหารม้าเฮยเฟิงไปแล้ว กองทัพแปรพักตร์ตระกูลหนานกงทั้งหมดล้วนกลายเป็นแพะรอโดนเชือด ที่น่าสังเวชกว่านั้นคือ พวกเขาเป็นมังกรไร้หัว ขวัญกำลังใจแตกกระเจิง หมดกำลังใจจะตอบโต้ไปนานแล้ว
พวกเขาจำต้องรอคอยความตายอย่างสิ้นหวัง
“พี่น้องทั้งหลาย! จะตายก็ต้องมีเบาะรองรับ! ให้พวกทหารม้าเฮยเฟิงพวกนี้มันตกตายไปด้วยกันกับพวกเรา!”
สุดท้ายก็ยังมีคนใจกล้าอยู่
แต่กู้เจียวไม่มีทางมอบโอกาสให้พวกเขาได้ลากทหารม้าเฮยเฟิงตายไปด้วยอยู่แล้ว
กู้เจียวตวาดกร้าว “ผู้ที่ยอมจำนนจะไม่ฆ่า! หากมีผู้ใดดื้อรั้นขัดขืนให้ประหารสถานเดียว!”
ประโยคนี้กล่าวออกไป เป็นการมอบทางรอดเพียงหนึ่งเดียวให้กับทหารแปรพักตร์ที่กำลังสิ้นหวังโดยไม่ต้องสงสัย
มีคนหนึ่งยิงอาวุธในมือทิ้ง
จากนั้นก็มีคนที่สองตามมา
ทันใดนั้น ก็มีคนที่สามอีก
หากไม่ยอมจำนนก็ต้องตาย ใครจะยินยอมพร้อมใจไปตายเล่า
กู้เจียวสั่งการทหารม้าที่อยู่ข้างๆ “ยึดรถศึกของพวกเขา!”
คืนนี้ยังไม่สิ้นสุด
…
ณ จวนเจ้าเมือง เจ้านายตระกูลหนานกงต่างกำลังจะเข้านอนแล้ว จู่ๆ เสียงรายงานด่วนจากสายสืบก็ดังขึ้นนอกเรือน “ท่านเจ้าเมือง… แย่แล้ว… แย่แล้ว… ”
นายใหญ่ตระกูลหนานกงขมวดคิ้ว คลุมชุดคลุมตัวนอกออกมาจากห้อง มองสายสืบที่ล้มลงในลานเรือนอย่างอเนจอนาถ จึงเอ่ยเสียงขรึม “เกิดอะไรขึ้น ตื่นตระหนกเช่นนี้ มีกฎมีระเบียบบ้างจะได้หรือไม่”
สายสืบน้ำตาคลอหน่วยทอดมองนายใหญ่ตระกูลหนานกง “ท่านเจ้าเมือง! แม่ทัพฉังเวย… แม่ทัพฉังเวย… ”
นายใหญ่ตระกูลหนานกงแววตาทะมึนทันควัน “แม่ทัพฉังเวยเป็นอะไร”
สายสืบปาดน้ำตา สะอื้นเอ่ย “แม่ทัพฉังเวยถูกผู้บัญชาการทหารม้าเฮยเฟิง… สังหารแล้ว!”
“ว่าอย่างไรนะ” นายใหญ่ตระกูลหนานกงสีหน้าพลันเปลี่ยน เขานิ่งอึ้งไปครู่ใหญ่จึงค่อยเอ่ยอย่างปฏิเสธสุดจะเปรียบ “เจ้าเข้าใจผิดหรือไม่ แม่ทัพฉังเวยจะตายด้วยน้ำมือไอ้เด็กนั่นได้อย่างไร!”
ถ้อยคำนี้ค่อนข้างคุยโวโอ้อวดอย่างไม่รู้สึกกระดากอายมากทีเดียว เจ้าเด็กนั่นเป็นเด็กหนุ่มธรรมหรือไร สังหารหนานกงลี่ แล้วยังจับตัวหนานกงเจ๋อไป แม่ทัพฉังเวยมาสิ้นชีพด้วยน้ำมือเขามีอะไรน่าแปลกกัน
ทว่าสายสืบก็รู้ดีแก่ใจว่านายใหญ่ไม่ได้หมายถึงฝีมือของการต่อสู้เพียงลำพัง อย่างไรเสียนี่ก็เป็นสงคราม ตระกูลหนานกงได้เปรียบในเรื่องกำลังทหาร จะมาปราชัยได้ง่ายๆ ได้อย่างไร
ยิ่งไปกว่านั้นชื่อเสียงของแม่ทัพฉังเวยนั้นขึ้นชื่อเรื่องรู้วิธีจัดการกับทหารม้าเฮยเฟิงดี…
สายสืบเอ่ยอย่างร้อนรน “ท่านเจ้าเมือง ข้าน้อยไม่ได้เข้าใจผิดขอรับ! เรื่องนี้จริงแท้แน่นอน เซียวลิ่วหลังสังหารแม่ทัพฉังเวยแล้ว กองทัพหลายหมื่นนายโดนจับเป็นเชลย! เซียวลิ่วหลังยึดรถศึกของพวกเราไป กำลังบุกมายังประตูเมืองฝั่งตะวันออกของพวกเราแล้ว! ท่านเจ้าเมือง! ข้าน้อยจะคุ้มกันท่านออกไปเอง!”
นายใหญ่ตระกูลหนานกงเอ่ยเสียงเย็น “สารเลว! ใครจะหลบหนีกัน!”
สายสืบเอ่ยเกลี้ยกล่อมไม่หยุดด้วยเจตนาดี “ท่านเจ้าเมือง! กำลังทหารเมืองฉวี่หยางทั้งหมดออกไปรบแล้ว ในเมืองเหลือแค่ทหารป้อมปราการสามพันนายเท่านั้น ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของทหารม้าสองหมื่นนายเลยนะขอรับ! ขุนเขาเขียวขจียังอยู่ อย่าได้กลัวไม่มีฟืนเผา! ท่านเจ้าเมือง! หนีไปคืนนี้เลยดีกว่าขอรับ!”
นายใหญ่ตระกูลหนานกงกำหมัดแน่น เส้นเอ็นตรงขมับเต้นตุบๆ “เจ้าสี่เล่า!”
ในมือเจ้าสี่มีทหารม้าห้าพันนาย หากสามารถเร่งรุดกลับมาจากประตูเมืองฝั่งเหนือได้ ใช้ความได้เปรียบของเมืองฉวี่หยางที่ป้องกันง่ายโจมตียาก ต้านทหารม้าเฮยเฟิงไว้ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
พวกเขาไม่ต้องต้านอยู่นานเกินไป อีกสามวัน กองทัพใหญ่แคว้นเหลียงก็จะเหยียบย่ำด่านเยี่ยนเหมินและตรงมายังเมืองฉวี่หยางแล้ว!
ถึงเวลานั้น พวกเขากับกองทัพแคว้นเหลียงก็จะตีประสานกันทั้งด้านนอกด้านใน สามารถเข่นฆ่าทหารม้าเฮยเฟิงไม่ให้เหลือแม้แต่เศษเกราะได้แน่!
หวูดดด
เสียงแตรทุ้มต่ำลอยมาจากขอบฟ้าไกล เมืองฉวี่หยางอันเงียบสงัดคล้ายถูกฉีกขาดเป็นรูโบ๋ ปกคลุมไปด้วยกลิ่นไอสงครามสุดลูกหูลูกตา
สายสืบเอ่ยทั้งน้ำตา “ไม่ทันแล้วท่านเจ้าเมือง… นายท่านสี่กลับมาไม่ได้แล้ว… และพวกเราก็รอไม่ไหวแล้วด้วย… รีบหนีเถิดขอรับ… ”
บนกำแพงเมือง ทัพแปรพักตร์ที่ลาดตระเวนได้ยินแตรสัญญาณเปิดศึกและเสียงกลองให้บุกแล้ว ทหารม้าเกราะเหล็กแน่นขนัดเคลื่อนมาราวกับจะเหยียบย่ำขุนเขาธารา ดุจกองทัพมัจจุราชในราตรีสีมืด เข้าประชิดกำแพงเมืองพร้อมกับไอสังหารที่ไม่อาจต้านทานได้!
ทัพแปรพักตร์บนกำแพงเมืองตกใจจนล้มก้นจ้ำเบ้า!
“ปะ… เป็นทหารม้าเฮยเฟิง… ทหารม้าเฮยเฟิงบุกเข้ามาในเมืองแล้ว… ทหารม้าเฮยเฟิงบุกเข้ามาในเมืองแล้ว”
ในเมืองยังเหลือคนอีกเท่าใด พวกเขารู้แจ้งแก่ใจดี
ป้องกันไม่อยู่หรอก…
เมืองฉวี่หยางป้องกันไม่อยู่แล้ว…
กู้เจียวยกมือขึ้น ทอดมองกำแพงเมืองสูงตระหง่านอย่างเย็นชา “พลธนูเตรียมพร้อม! รถศึกโจมตี!”
เหล่าทหารม้าเข็นรถศึกกระแทกกำแพงเมือง ไม้เหล็กยักษ์รูปทรงสว่านบนรถศึกกระแทกประตูเมืองอันหนาหนักคราแล้วคราเล่า เสียงสะเทือนเลื่อนลั่นแต่ละคราวราวกับขุนเขาถล่มทลาย ทำเอาพวกทหารป้อมปราการหวาดผวาตื่นตระหนก
ผู้บัญชาการทหารป้อมปราการฝ่ายแปรพักตร์คนหนึ่งตวาดขึ้น “ยิงธนู! ยิงพวกมันให้ตาย!”
ลูกธนูมืดฟ้ามัวดินพุ่งลงใส่รถศึก
บรรดาทหารม้าที่อยู่ข้างรถศึกเตรียมพร้อมไว้แต่แรกแล้ว พากันชูโล่ขึ้น รวมตัวกันกลายเป็นหลังคาเหล็กแน่นหนาลมไม่เล็ดลอด
ลูกธนูตกใส่หลังคาเหล็กที่ทำจากโล่ ส่งเสียงเคร้งๆ เป็นระลอก และมีบางดอกที่แฝงด้วยเรี่ยวแรงมหาศาลยิงทะลุโล่เข้ามาได้
“บัดซบ!” ทหารม้านายหนึ่งมองลูกธนูที่ลอดผ่านหว่างนิ้วตัวเองมาอย่างตกใจจนก้นขมิบ!
“รถยิงหิน!” ผู้บัญชาการฝ่ายแปรพักตร์ตวาดขึ้นอีกครา
ทว่ารถยิงหินยังไม่ทันได้เข็นออกมา กู้เจียวก็ยิงทะลุศีรษะของผู้บัญชาการฝ่ายแปรพักตร์แล้ว!!
ศึกใหญ่ยามนี้กำลังจะระเบิดขึ้น ทว่าทันใดนั้น ทัพแปรพักตร์ที่อยู่บนกำแพงเมืองก็พากันแยกย้าย
กู้เจียวคล้ายได้ยินถ้อยคำบางอย่างเหมือนเป็นคำสั่งของเจ้าเมือง
เพียงไม่นาน ทหารลาดตระเวนของทหารม้าเฮยเฟิงก็ควบม้ามาหา หยุดลงตรงหน้ากู้เจียว ประสานมือเอ่ย “เรียนท่านผู้บัญชาการ คนของตระกูลหนานกงหนีจากประตูเมืองฝั่งใต้แล้วขอรับ!”
เฉิงฟู่กุ้ยที่อยู่ด้านข้างทอดมองกำแพงเมืองที่จู่ๆ ก็เงียบสงัดไป ก่อนเอ่ย “มิน่าจึงไม่สู้แล้ว ที่แท้ก็ต้องการจะคุ้มกันส่งคนของตระกูลหนานกงหลบหนีนี่เอง”
แววตากู้เจียวไม่ค่อยมีความตกใจเท่าใดนัก
ตระกูลหนานกงทิ้งเมืองหลบหนีเป็นก้าวหนึ่งในแผนการ
พวกนางดึกดื่นค่อนคืนลากสังขารเหนื่อยล้าเข้าประชิดเมืองหาใช่เพราะต้องการจะดับเครื่องชนกับกองทัพแปรพักตร์กลุ่มสุดท้ายของตระกูลหนานกงจริงๆ เสียหน่อย
อย่าเห็นว่าพวกทัพแปรพักตร์ในเมืองมีจำนวนไม่มากเชียว เพราะปัจจัยในการทำศึกนั้นได้เปรียบกว่ามาก
ที่สำคัญกว่านั้นคือ ทัพเฮยเฟิงสู้ไม่ไหวแล้วจริงๆ
พวกเขาเป็นลูกธนูสุดแรงบินกันนานแล้ว กลองศึก แตรสัญญาณ การโจมตีเมืองล้วนแค่แสร้งทำเป็นอึกทึกใหญ่โตเท่านั้นเอง
หากตระกูลหนานกงเอาจริงสักนิด คิดจะมัจฉาตายตาข่ายไปด้วยกันกับพวกเขา จุดจบอาจจะแตกต่างออกไป
หลังจากต่อสู้กับกองทัพแปดหมื่นนายของฉังเวยแล้ว ก็มาโจมตีเมืองต่อ ไม่เพียงแต่ทำให้พวกคนตระกูลหนานกงดูเท่านั้น ยังทำให้พวกเชลยศึกได้เห็นด้วย
อย่าคิดว่าพวกเราสู้ไม่ไหวแล้วเชียว พวกเจ้าไม่โดนกำจัดหนึ่งวัน ทหารม้าเฮยเฟิงก็ไม่มีทางล้มลงตลอดกาล!
นี่เป็นการเคลื่อนทัพที่เสี่ยงอันตรายอย่างยิ่ง หากไม่ทันระวังแม้เพียงนิดเดียวก็อาจจะพังพินาศทั้งกองทัพได้
แต่หากไม่ทำเช่นนี้ เมื่อกองทัพของนายท่านสี่ตระกูลหนานกงกลับมาถึงเมือง พวกเขาจะต้องเผชิญกับการเข่นฆ่าอันน่าหวาดผวาอีกหน และจำต้องแลกด้วยราคามหาศาลอีกครา
เคราะห์ดีที่นางเดิมพันชนะ
กู้เจียวแหงนหน้ามองท้องนภาไร้ขอบเขต ลอบพรูลมหายใจโล่งอกเงียบๆ
นางเอ่ยนิ่งๆ “ทุกคนพักกันได้แล้ว ให้กองหลังมาตีประตูเมืองเปิด เฝ้าระวังการเปลี่ยนแปลง”
สายลับขานรับอย่างฮึกเหิม “ขอรับ!”
ตุ้ม!
มีทหารม้าร่วงลงจากหลังม้า
เพียงไม่นาน ม้าของเขาก็ล้มลงข้างกายเขาด้วยเช่นกัน
นี่ไม่ใช่แค่คนเดียว
กู้เจียวไม่ต้องหันกลับไป ก็รู้ได้ว่าด้านหลังมีคนกับม้าล้มกันระนาว
ทุกคนฝืนกันไม่ไหวตั้งนานแล้ว
ทว่าก่อนที่นางจะเอ่ยคำนั้นออกมาว่า ‘พักกันได้แล้ว’ ทุกคนล้วนอยู่ในท่าพร้อมรบตลอดเวลา
กู้เจียวลากสังขารอันอ่อนล้าพลิกตัวลงจากหลังม้า ยามนี้นางเพิ่งจะรู้สึกปวดเมื่อยทั่วสรรพางค์กาย แม้แต่ขากับเท้าก็เหมือนจะไม่ใช่ของตัวเองอีกต่อไป
ทวนพู่แดงชุ่มโลหิตถ้วนทั่ว ไม่รู้ว่าเป็นของตัวเองหรือว่าของข้าศึก
นางตบแผงคอราชาม้าเฮยเฟิงไปมา ราชาม้าเฮยเฟิงที่หมดเรี่ยวแรงเช่นกันก็ก้มหัวลงอย่างรู้ใจยิ่ง
หนึ่งคนหนึ่งม้าเอาหน้าผากชนกัน หอบหายใจเล็กน้อย
ชนะแล้ว
ทหารม้าเฮยเฟิงชนะศึกที่แทบจะเป็นไปไม่ได้นี้แล้ว
พวกนางไม่ทำให้ผู้คนผิดหวัง ช่วงชิงฉวี่หยางมาไว้ได้ก่อนที่กองทัพใหญ่แคว้นเหลียงจะมาถึง