สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 830 ค่ายเฮยเฟิงบุกล้อม
บทที่ 830 ค่ายเฮยเฟิงบุกล้อม
อำเภอเฟิง บนถนนหลวงเส้นทางขนเสบียง ที่แห่งนี้เกิดเหตุนองเลือดมาก่อน กลิ่นสาบคาวของเลือดอบอวลคละคลุ้ง
เฉิงฟู่กุ้ยที่มีผ้าพันแผลคล้องแขนไว้กับลำคอ สั่งการให้ทหารที่ไม่บาดเจ็บตรวจสอบเสบียง
คงเป็นเพราะในเมืองเองก็ขาดแคลนอาหาร ด้วยเหตุนี้เสบียงทั้งหมดในคราวนี้จึงเป็นของจริง
เรียกว่าได้กำไรไม่น้อย
นี่คือศึกครั้งใหญ่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ จึงไม่มีทางจบลงอย่างง่ายดายเป็นแน่ กักตุนเสบียงได้เพิ่มย่อมเป็นเรื่องดี
ที่แห่งนี้ไม่เหมาะแก่การหยุดทัพนานนัก กู้เจียวและหมออีกสี่คนกำลังเร่งทำแผลให้กับทหารบาดเจ็บ
“เจ้าอดทนหน่อยนะ” กู้เจียวเอ่ยกับทหารม้าที่แขนซ้น
ทหารม้าพยักหน้า กู้เจียวออกแรงดัดแขนให้เข้าที่ ก่อนจะหยิบผ้าพันแผลออกมาจากกล่องยาใบน้อยมาพันให้เขา คล้องแขนกับลำคอเขาไว้เหมือนกับเฉิงฟู่กุ้ย
หลังจากนั้นกู้เจียวก็รักษาทหารคนต่อไป ดึงกระบี่ที่ค้างอยู่ออก ฆ่าเชื้อ ห้ามเลือด เย็บปิดแผล พันผ้าพันแผล ทุกอย่างเสร็จสิ้นอย่างรวดเร็ว
เหล่าทหารที่ตรวจสอบเสบียงเสร็จแล้วก็ได้เวลาพัก ฟื้นกำลังกาย
ทว่ากู้เจียวนั้นพักไม่ได้
ที่นี่ไม่มีเตียงผู้ป่วย ทหารทั้งหมดจึงนอนราบกับพื้น นางจำต้องคุกเข่าลงกับพื้นเพื่อรักษาทุกคน ชุดเกราะแข็งเย็นเฉียบนั้นเสียดสีหัวเข่าของนางจนถลอกปอกเปิก
นางคุกเข่าลงตรงหน้าทหารบาดเจ็บที่เลือดอาบร่างนายหนึ่ง ทหารนายนี้อายุยังน้อย เพิ่งเข้ากองทัพเมื่อปีนี้
ครอบครัวของเขายากจน เพื่อรักษาปู่ที่ล้มป่วยจึงได้เข้ามาเป็นทหาร เขามีพรสวรรค์ในการขี่ม้า สะดุดตาเฉิงกุ้ยฟู่นักจึงถูกพากลับมาที่ค่ายเฮยเฟิงด้วย
“ขาของข้า…” เขามองต้นขาที่บาดเจ็บจบบวมเป่งของตัว ทันใดนั้นน้ำตาแห่งความหวาดกลัวก็ไหลริน
นี่คือการลงสนามรบครั้งแรกของเขา และเป็นครั้งแรกที่ได้เผชิญกับการบาดเจ็บสาหัสและความตาย
“ไม่พิการ รักษาได้” กู้เจียวเอ่ยกับเขา
“จริงหรือ” เขาถามเสียงสะอื้น
กู้เจียวตอบ “อืม จริงสิ แต่เจ้าต้องเชื่อฟัง ห้ามโวยวาย ห้ามร้องไห้”
เขากลั้นน้ำตาในทันที กลัวว่าหากสะอื้นเพียงอีกคำจะไม่หายดี
กู้เจียวหยิบยาชาออกมา หลังจากส่วนนั้นของเขาไร้ความรู้สึก ก็ใช้มีดผ่าตัดกรีดลงบนผิวหนัง ก่อนจะใช้คีมหนีบคีบใบมีดที่ค้างอยู่ข้างในออกมาทีละนิด
ทหารหนุ่มผู้นี้ไม่กล้ามองว่ากู้เจียวทำอะไร เหลียวหน้าหนีหลับตาแน่น
ทว่าทหารม้าคนอื่นกลับอดเข้ามามุงดูไม่ได้
ว่าตามตรง วันนี้ผู้บัญชาการน้อยที่เพิ่งเข้ามารับตำแหน่งใหม่คนนี้แสดงฝีมือเหนือความคาดหมายของพวกเขามาก
หนานกงเจ๋อได้ฉายาว่าแม่ทัพจอมโหดแห่งชายแดน เขานำทัพขนเสบียงมาด้วยตนเอง รอให้ทหารม้าเฮยเฟิงอย่างพวกเขาติดกับ อันที่จริงยามนั้นพวกเขากังวลว่าผู้บัญชาการน้อยคนนี้จะสั่งให้พวกเขาถอย
ตอนนั้นพวกเขายังคิดอยู่เลยว่า ท่านผู้บัญชาการน้อย ท่านไปเล่นริมสนามสักประเดี๋ยวดีไหม
พอพวกเขาชิงเสบียงมาได้ ท่านค่อนยกกลับมารับความดีความชอบ
พวกเขาคิดเหมือนผู้ใหญ่ที่หลอกล่อเด็ก หวังว่าผู้บัญชาการน้อยจะไม่เข้ามาวุ่นวาย ผู้ใดจะไปรู้กันว่าผู้บัญชาการน้อยนั้นเหี้ยมปาดใด ถึงกับใช้ทวนแทงฝ่ามือของหนานกงเจ๋อยืดติดกับพื้น!
เสี้ยววินาทีนั้น พวกเขาต่างขนลุกชูชันไปทั้งร่างเลยก็ว่าได้!
ความรู้สึกนั้นเหมือนกับว่า… เจ้าคิดว่าตัวเองเลี้ยงแมวตัวหนึ่ง ทว่าพริบตาเดียวแมวตัวนั้นกลับกลายเป็นเสือดาว ทั้งกัดหมาป่าหางพวงที่พวกเขาต่างหวาดกลัวจนขาดใจตาย!
ทหารม้าหนุ่มนายหนึ่งกระซิบหัวหน้าหมู่ที่อยู่ข้างกัน “เมื่อครู่ ข้าเกือบถูกแทงเข้าให้แล้ว แต่ท่านผู้บัญชาการน้อยเข้ามาป้องกันข้าไว้”
หากไม่ได้ทวนของท่านผู้บัญชาการน้อย เกรงว่าป่านนี้คนเจ็บหนักกว่าเจ้าโก่วตั้นอีกด้วยซ้ำ
โก่วตั้น คือชื่อของทหารหนุ่มที่บาดเจ็บ
ทหารม้าอีกคนลอบมองกู้เจียว พลางกระซิบเอ่ย “หัวหน้า ท่านว่าท่านผู้บัญชาการก็เก่งเหมือนกันนะว่าไหม”
หัวหน้าหมู่กำลังจะเอ่ยอะไรบางอย่าง กู้เจียวราวกับสัมผัสได้ จึงเหลียวมองมา
ทุกคนต่างหลบสายตามองไปทางอื่น มองฟ้าบ้าง ก้มหน้าเกาเท้าบ้าง
พอกู้เจียวหันกลับมาทำแผลให้กับทหารบาดเจ็บต่อ สายตาของทุกคนก็กลับมาจดจ้องที่ร่างของนางในทันที
นางเปลี่ยนไปรักษาทหารเจ็บคนต่อไปแล้ว ทหารบาดเจ็บผู้นี้หมดสติ หลังจากกู้เจียวปลุกเขาขึ้นมาก็เห็นกระบอกฉีดยาในมือของกู้เจียวเป็นสิ่งแรก จึงร้องตะโกนลั่นเสียงโหยหวน
กู้เจียวปักเข็มลงไปบนสะโพกของเขา
ดื้อดีนัก
เหอะ
บนร่างกายของเขามีแผลลึกที่ปากแผลแคบมาก กู้เจียวฉีดยาบาดทะยักให้เขา
ทุกคนมองกู้เจียวตาไม่กะพริบ
เมื่อครู่ท่านผู้บัญชาการน้อยฮึดฮัดรึ
ท่านผู้บัญชาการน้อยหงุดหงิดขึ้นมา… เหตุใดถึงน่ารักเสียอย่างนั้น
บังเอิญว่าในตอนนั้นยาผงห้ามเลือดของกู้เจียวหมดพอดี นางล้วงขวดใหม่ออกมาจากกล่องยาใบน้อย ใครจะไปรู้ว่าพอปิดขวดก็พลันแสบจมูกขึ้นมา จนจามออกมาหนึ่งที
“ฮัดชิ่ว”
ร่างน้อยของนางสั่นกระตุก ผงยาวขาวโพลนฟุ้งติดทั่วใบหน้าของนาง
นางอ้าปากค้างมองยาห้ามเลือดที่หายไปครึ่งหนึ่ง เจ็บปวดจนแทบสติแตก
“ฉิบหาย”
ไม่รู้ว่าผู้ใดเผลอเอ่ยออกมา
ทุกคนต่างอุดปาก
ทนไม่ไหวแล้ว
…ท่านผู้บัญชาการน้อยน่าเอ็นดูเกินไปแล้ว
ทหารแปรพักตร์ของตระกูลหนานกงอาจบุกเข้ามาได้ทุกเมื่อ จึงจำเป็นต้องรีบจัดการให้เสร็จ หากต้องให้น้ำเกลือ รอให้ถึงที่ปลอดภัยแล้วค่อยว่ากัน
หลังจากกู้เจียวและบรรดาหมอปฐมพยาบาลเสร็จแล้ว ทหารม้าทั้งสองพันนายก็ยกทัพกลับเข้าหุบเขา
เหล่าทหารม้าต่างประหลาดใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ คนใจกล้าสองสามคนเอ่ยรั้งหมอคนหนึ่ง
ทหารม้าหัวโจกเอ่ยถาม “ท่านผู้บัญชาการน้อยมีวิชาการแพทย์หรือ พวกท่านสอนเขาหรือ”
หมอยิ้มพลางเอ่ย “เจ้าเข้าใจผิดแล้ว วิชาการแพทย์ของพวกข้า ใต้เท้าเซียวเป็นผู้สอนให้ต่างหาก”
“หือ” เหล่าทหารม้ามึนงง
บรรดาหมอติดตามกองทัพมาตลอด ช่วงที่ผ่านมากู้เจียวได้รับการปฏิบัติอย่างไรในค่ายเฮยเฟิง ต่างอยู่ในสายตาของเขา
อายุน้อยแต่ภาระหน้าที่ยิ่งใหญ่ ทั้งยังถูกเหล่าบุรุษกีดกัน
แต่ก็โทษเหล่าทหารม้าไม่ได้ นั่นเป็นเพราะเหล่าเจ้านายตระกูลหันสร้างภาพจำไว้ในใจของพวกเขา
แถมผู้บัญชาการน้อยที่เข้ามารับตำแหน่งใหม่คนนี้กลับแตกต่างจากคนตระกูลหันลิบลับ
หมออธิบาย “พวกเรายังบกพร่องด้านการรักษาบาดแผลภายนอกอยู่มาก ทุกวันหลังจากพวกเจ้าหยุดพัก ใต้เท้าเซียวจะเรียกพวกข้าไปที่กระโจมของเขา สอนวิธีรักษาบาดแผลภายนอก รวมถึงสอนวิธีการใช้ยาและเครื่องมือต่างๆ ”
“ที่แท้เป็นแบบนี้นี่เอง…” ทหารม้านายหนึ่งพึมพำเอ่ย “ตอนที่ข้าลาดตระเวนเคยเห็นอยู่หนสองหน นึกว่าผู้บัญชาการน้อยรักตัวกลัวตาย ถึงได้เรียกหมอเขาไปจับเส้นกดจุดให้เขาเสียอีก…”
หมอหัวเราะเอ่ย “ใต้เท้าเซียววิชาการแพทย์สูงส่ง ฝีมือพวกข้านั้นเทียบไม่ติด”
พวกเขาซ้อมรมอยู่ที่ค่ายเฮยเฟิงจนมืดค่ำทุกวัน จึงไม่รู้เรื่องที่กู้เจียวถวายการรักษาให้แก่องค์หญิง
ทหารม้าอีกนายเอ่ยอย่างประหลาดใจ “เช่นนั้นแล้วผู้บัญชาการน้อยของพวกเราไม่ได้เก่งแค่การศึก แต่ยังเก่งวิชาการแพทย์ด้วย”
เขาใช้คำว่าพวกเรา
ตัวเขาเองยังไม่รู้ว่าตนเองนั้นใช้คำเรียกสนิมสนมมากเพียงใด
คนอื่นต่างก็ไม่รู้สึกว่าคำเรียกนั้นไม่เหมาะสมตรงไหน
“เหตุใดยังไม่ตามมาอีก” กู้เจียวเหลียวกลับมามองเหล่าคนที่ยืนซุบซิบอยู่รั้งท้าย
ทุกคนปรับสีหน้าในทันใด ควบม้าเร่งตามติด
ก่อนกู้เจียวจะออกทัพนั้นได้เลือกชัยภูมิตั้งค่ายไว้ก่อนหน้า เป็นตีนเขาที่ห่างจากหุบเขาสามลี้ ด้านหลังเป็นป่าดิบ
ค่ายกำลังสำรองเคลื่อนมาที่นี่ก่อนหน้าแล้ว ตั้งค่ายเสร็จสรรพ มื้อเย็นก็เตรียมไว้เรียบร้อยแล้วเช่นกัน
กู้เจียวให้เหล่าทหารบาดเจ็บกลับค่ายพักฟื้น ส่วนม้าเฮยเฟิงที่บาดเจ็บก็พาไปรักษา ส่วนเสบียงที่ปล้นมาได้นั้นมอบให้สองแม่ทัพจางสือหย่งและโจวเหรินประจำค่ายกำลังสองรองรับผิดชอบ
แม่ทัพกองทัพหน้าอย่างหลี่จิ้นและต่งเฉินมาถึงหน้ากระโจมของกู้เจียว รายงานสถานการณ์กายตั้งค่ายซุ่มโจมตีในหุบเขา
“เยี่ยม” กู้เจียวพยักหน้า “พวกทหารกินข้าวหรือยัง”
“กินแล้วขอรับ” หลี่จิ้นเอ่ย
กู้เจียวเอ่ย “ฟ้ามืดแล้ว ทหารแปรพักตร์ตระกูลหนานกงคงเคลื่อนไหวแล้ว ทุกคนเตรียมตัวตั้งรับศึก”
“ขอรับ!” ทั้งสองประสานมือรับคำสั่ง
“ใต้เท้า คนผู้นี้คือใครหรือ” ที่ปรึกษาหูวิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน มองไปยังหนานกงเจ๋อที่ถูกมัดอยู่บนพื้น “ทหารแปรพักตร์หรือ”
“หนานกงเจ๋อ” กู้เจียวเอ่ย
ที่ปรึกษาหูตกใจผงะ “นะ… นะ… นะ… หนานกงเจ๋อ นายสามตระกูลหนานกงน่ะรึ ตะ… ตะ… ใต้เท้าจับเขามาหรือ”
“จับมาเป็นเหยื่อล่อน่ะ” กู้เจียวปัดมือ ไม่แยแสหนานกงเจ๋อบนพื้น แต่กลับมองหลี่จิ้นและต่งเฉิน “เท่าที่พวกเจ้ารู้จักตระกูลหนานกง เจ้าคิดว่าคืนนี้พวกเขาจะส่งผู้ใดนำทัพ”
หลี่จิ้นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ย “ฉังเวย”
ต่งเฉินเอ่ย “หากไม่ใช่ฉังเวยก็คงเป็นนายสี่ตระกูลหนานกง”
กู้เจียวเอ่ย “นายสี่ตระกูลหนานกงนำทัพขนเสบียงไปอีกที่ ตอนนี้มู่ชิงเฉินกำลังพาพวกเขาอ้อมเส้นทางอยู่ คืนนี้คงมาไม่ได้”
นางเอ่ยว่ามู่ชิงเฉิน แต่ไม่ใช่จ้าวเหล่ย
ตามหลักแล้วจ้าวเหล่ยคือแม่ทัพของทหารม้าเฮยเฟิง มู่ชิงเฉินไม่มีตำแหน่งขุนนาง หากจะหลอกศัตรูอ้อมเส้นทางก็ต้องเป็นจ้าวเหล่ย
เพียงแต่มู่ชิงเฉินสนิทกับนาง ทั้งสองคนจึงคิดว่านางคุ้นชินกับการเอ่ยถึงมู่ชิงเฉิน จึงไม่เก็บไปใส่ใจ
“เช่นนั้นก็เหลือแค่ฉังเวยแล้วละขอรับ” สีหน้าของต่งเฉินพลันเคร่งเครียด “หากเป็นฉังเวยละแย่แน่ คนผู้นี้แม้แต่นายท่านสี่ตระกูลหนานกงยังรับมือด้วยยาก เขาคือแม่ทัพจอมโหดที่แท้จริง”
กู้เจียวเอ่ยเสียงไม่ทุกข์ไม่ร้อน “โหดไม่โหด สู้กันเดี๋ยวก็รู้”
…
ม่านราตรีมาเยือน ฉังเวยสวมเกราะ นำทัพทหารกล้าแปดหมื่นนายออกจากเมืองฉวี่หยาง มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก จุดหมายคืออำเภอเฟิง
กองทัพใหญ่นี้มีครบพร้อม มีทั้งพลธนู ทหารม้า ทหารราบ รถศึก เห็นได้ชัดเจนว่าหมายจะเปิดศึกชี้ชะตากับทหารม้าเฮยเฟิง
ฉังเวยชาติกำเนิดข้นแค้น อาศัยฝีมือการรบอันแข็งแกร่งรับตำแหน่งแม่ทัพชายแดน ประสบการออกศึกนับไม่ถ้วน หากต้องจัดการกับทหารม้าเฮยเฟิงที่กระจายตัวกันทั่วเขาก็มีวีธีจัดการของตัวเอง
ขณะที่ทัพใหญ่อยู่ห่างจากหุบเขาสามลี้ ฉังเวยก็สั่งหยุดทัพ
“มีอะไรหรือแม่ทัพ” รองแม่ทัพมองเขาอย่างสงสัย
ฉังเวยมองหุบเขาอันลึกลับซับซ้อนดั่งปากของสัตว์ร้ายท่ามกลางฟ้ายามราตรี ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ “พวกมันต้องซุ่มโจมตีในหุบเขาอย่างแน่นอน”
รองแม่ทัพทอดสายตามองยอดเขาท่ามกลางม่านเมฆ พลางเอ่ยอย่างใช้ความคิด “ช่างเป็นชัยภูมิที่เหมาะแก่การซุ่มโจมตีจริงๆ ท่านแม่ทัพคิดว่าจะจัดการเช่นไร”
ฉังเวยวางแผนล้ำลึกพลางเอ่ย “เจ้าพาทหารม้ากองหนึ่งเข้าบุก ล่อให้พวกมันโจมตี รอพวกมันหมดไม้ซุ่มโจมตีแล้ว พวกเจ้าก็ถอยออกมา ข้ามีแผนอันแยบยลของข้า!”