สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 829 ประกาศชัยศึกแรก
บทที่ 829 ประกาศชัยศึกแรก
ผ้าขาวที่หุ้มทวนพู่แดงเอาไว้ถูกกู้เจียวถลกออก ด้ามทวนชูสูงท้าทายสายลม
ปลายทวนสะท้อนแสงอาทิตย์จ้า พู่แดงที่ถักเป็นเปียอาบย้อมไปด้วยเลือดของศัตรู แดงฉานจนน่าสะพรึงกลัว
หนานกงเจ๋อเล็งกระบี่พุ่งเข้าฟันทวนพู่แดงของกู้เจียวในทันใด เสียงปะทะก้องกังวานดังขึ้น กระบี่ของเขาคือกระบี่ชั้นสูงที่ทำมาจากเหล็กทมิฬ แหลมคมหาใดเปรียบ ไม่มีวันหักงอ
อย่าว่าแต่ทวนพู่แดงเลย ต่อให้เป็นก้อนแร่เหล็กเขาก็สามารถฟันแหลกเป็นชิ้นๆ
ทว่าสิ่งที่ให้หนานกงเจ๋อต้องตกตะลึงก็คือ ทวนพู่แดงอัปลักษณ์นั้นกลับไร้รอยขีดข่วน
ทวนนี่ต้านกระบี่ของข้าได้เชียวรึ
ไม่ใช่สิ ต้องบอกว่าเจ้าหมอนี่ต้านกระบวนท่าไม้ตายของเขาได้ด้วยหรือต่างหาก
เขาใช้พลังปราณและกำลังภายในอย่างมหาศาลในการออกกระบวนท่าเมื่อครู่ ภาพที่กู้เจียวชักทวนออกมาต้านนั้นเขาคาดเดาเอาไว้อยู่แล้ว แต่เขาไม่ใส่ใจ เพราะเขามั่นใจว่าสามารถฟันทวนพู่แดงของกู้เจียวให้หักเป็นสองท่อนได้อย่างแน่นนอน ทั้งยังจะฝากบาดแผลลึกเอาไว้บนร่างของนางอีกด้วย
หนานกงเจ๋อทะยานตัวลอยขึ้นเหนือกู้เจียว ใช้กำลังแทงกระบี่ลง
กู้เจียวมองเขาโดยไร้ซึ่งอาการตื่นตกใจ ทันใดนั้นนางเอนหลังหงายหน้าขึ้น ขาซ้ายเตะสูง ถีบศีรษะหนานกงเจ๋อเข้าอย่างจัง
มือขวาของหนานกงเจ๋อถือกระบี่เล็งเป้าไปที่กู้เจียว จึงจำต้องใช้มือซ้ายปัดป้อง ทว่าท่วงท่านั้นแสนทุลักทุเล ประกอบกับเดิมทีมือซ้ายนั้นมิใช่มือที่เขาถนัดอยู่แล้ว จึงมีกำลังไม่มากพอ ร่างทั้งร่างจึงถูกกู้เจียวเตะกระเด็น
หนานกงเจ๋อเกือบจะล้มล้งแทบเท้าของทหารม้าเฮยเฟิง โชคดีที่ตั้งตัวได้ทัน กระบี่ยาวค้ำกับพื้น อาศัยแรงพลิกร่างที่กำลังกลิ้งตลบให้หยุดนิ่ง
แขนซ้ายที่ใช้ต้านฝ่าเท้าของกู้เจียวเมื่อครูเริ่มชาร้าวขึ้นมา
พละกำลังของเจ้านี่… น่ากลัวชะมัด!
แล้วทวนพู่แดงในมือเขาคือสิ่งใดกัน
เหตุใดถึง… ดูคุ้นตาไม่น้อย
“ทวนพู่แดงของเจ้านั้นได้แต่ใดมา” หนานกงเจ๋อถามเสียงเย็น
ขณะที่เอ่ยอยู่นั้น ทหารตระกูลหนานกงคนหนึ่งก็ถูกม้าเฮยเฟิงเตะล้มลงกับพื้น เมื่อเห็นทหารม้าบนหลังม้ากำลังจะแทงเข้าที่ลำคอของตัวเอง เขาพลิกมือวาดกระบี่ชี้ไปทางทหารม้าเฮยเฟิง!
เปรี้ยง!
ทวนพู่แดงของกู้เจียวขวางกระบี่ของเขาจนกระเด็น
ทหารม้านายนั้นตกใจไม่น้อย ทว่าแผนการมิได้เปลี่ยนไป ราวกับเข้าขากันมานับพันหน ภายใต้การปกป้องกันของกู้เจียว ทวนของนางแทงทะลุทหารแปรพักตร์ตระกูลหนานกง
แม้จะเป็นคนแคว้นเยี่ยนเช่นเดียวกัน แต่ทหารแปรพักตร์ก็คือทหารแปรพักตร์ กำจัดทหารแปรพักตร์ให้สิ้นซากคือภารกิจของทหารม้าเฮยเฟิง!
หนานกงเจ๋อไม่ได้ปกป้องทหารใต้บัญชาเหมือนกู้เจียว ตายก็ตายไป ถึงอย่างไรก็มีกำลังพลอีกมากมาย
เพียงแต่นั่นยิ่งทำให้เขาสนใจในตัวกู้เจียวยิ่งกว่าเดิม
อายุยังน้อยอยู่แท้ๆ เหตุใดถึงได้เก่งกาจเพียงนี้
กู้เจียวไม่คิดจะเปลืองน้ำลายกับหนานกงเจ๋อ หนานกงเจ๋อรู้แล้วว่าชุดเกราะบนตัวนางหลอมมาจากชุดเกราะออกศึกของเซวียนหยวนลี่ แต่กลับมองไม่ออกว่าทวนพู่แดงของนางเองก็คืออาวุธวิเศษของเซวียนหยวนลี่
ฝีมือไม่ได้เรื่อง แถมยังมีตาหามีแววไม่
เสียแรงที่แฝงตัวเป็นสายลับอยู่ในทัพเซวียนหยวนมาหลายปี!
กู้เจียวเหยียบขึ้นอานม้า ทะยานตัวเหนือหลังม้า หมุนตัวกลางอากาศ ก่อเกิดเป็นแรงมหาศาล เล็งปลายทวนแทงไปที่หนานกงเจ๋อ!
หนานกงเจ๋อหรี่ตาลง!
กระบวนที่เจ็ดของเซวียนหยวน
นี่มัน… เพลงทวนของตระกูลเซวียนหยวน!
ทวนในมือของเจ้าเด็กนั่น… คือทวนพู่แดงของเซวียนหยวนลี่!
เป็นไปได้อย่างไรกัน!
เขายกกระบี่ต้านทวนพู่แดงเหนือศีรษะ มือข้างหนึ่งกำด้ามกระบี่อยู่ มืออีกข้างหนึ่งดันใบมีดเอาไว้ เขาปลดปล่อยกำลังภายใน เพื่อต้านรับการโจมตีของเด็กหนุ่ม
ตามติดกู้เจียวใช้ความเร็วดุจสายฟ้าแลบออกกระบวนท่าที่สอง เมื่อเสียงแครกดังขึ้น กระบี่เหล็กทมิฬของหนานกงเจ๋อ… ก็ถูกทวนพู่แดงของเด็กหนึ่ง… แทงทะลุหักเป็นสองท่อน
หนานกงเจ๋อตาเบิกโพลงอย่างเหลือเชื่อ!
กู้เจียวไม่ให้เวลาหนานกงเจ๋อได้หายใจ ออกกระบวนท่าต่อไปในเสี้ยววินาที!
ด้านหลังของนาง เพื่อช่วยชีวิตสหายของ เฉิงกุ้ยฟู่ถูกทหารแปรพักตร์ของตระกูลหนานกงนายหนึ่งสอยร่วงลงจากหลังม้า กระบี่ของอีกฝ่ายฟันเข้าที่บ่าซ้ายของเขา!
“บัดซบ!”
เขาเหลียวไปคว้าหอกยาวแทงทะลุร่างอีกฝ่าย
ทหารแปรพักตร์นายนั้นล้มลง ทหารแปรพักตร์นายอื่นกรูล้อมเข้ามา
“ฆ่าม้าพวกมัน!” ท่ามกลางทหารแปรพักตร์ ไม่รู้ว่าผู้ใดร้องตะโกนออกมา ทุกคนต่างเปลี่ยนเป้าหมายโจมตี ไม่ปะทะกับทหารม้าอีกต่อไป แต่มุ่งฟันม้าเฮยเฟิงที่พวกเขาขี่
ม้าเหล็กเซวียนหยวนคือม้าศึกที่ห้าวหาญที่สุดแห่งหกแคว้น พวกมันถูกฝึกมาให้ปกป้องคนที่ขี่มัน แต่มิได้ระวังภัยที่มาเยือนตน
หากทหารม้าไม่สั่งให้หยุด พวกมันก็จะสู้ต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง ไม่มีวันถอยเพราะคมกระบี่ ไม่มีทางหวาดผวาเพราะบาดแผล
เฉิงฟู่กุ้ยมองม้าเฮยล้มเจ็บหนักล้มลงทีละตัว ดวงตาก็แดงฉานด้วยแรงแค้น “โธ่เว้ย! กล้าฆ่าม้าของบรรพบุรุษเจ้าของพวกเจ้ารึ! ต้องชดใช้ด้วยชีวิตเท่านั้น!”
ศึกระหว่างสองทัพมิใช่การประลองศึกตัวต่อตัว ต่างคนต่างฆ่าเข็ญ คนเจ็บล้มเกลื่อนกลาดไปทั่วทุกแห่งหน ทหารม้าเฮยเฟิงเสียเปรียบด้านกำลังพล หากสูญเสียมากกว่าหรือเท่ากับอีกฝ่ายเพื่อแลกมากับชัยชนะอันน้อยนิดนั้นล้วนแค่คือความพ่ายแพ้ทั้งสิ้น
กู้เจียวต้องปิดศึกให้เร็วที่สุด!
หนานกงเจ๋อที่ไร้อาวุธพลิกตัวขึ้นหลังม้า แย่งทวนยาวด้ามหนึ่งมาจากมือของทหารม้าเฮยเฟิง
กู้เจียวซัดทวนของเขาจนลอยกระเด็นในพริบตา ราชาม้าเฮยเฟิงยกสองขาหน้าขึ้น รังสีสังหารเข้มข้น พุ่งเข้าชนม้าของหนานกงเจ๋อ
ม้าศึกของหนานกงเจ๋อถูกขู่จนตื่นตระหนก ร่างเจ้าม้าดีดสูง หนานกงเจ่อสบถม้าของตน ร่างของเขาร่วงลงจากหลังม้า กลิ้งตลบฝุ่น โชคดีที่ด้ามกระบี่ตกลงตรงหน้าพอดี
ดวงตาของเขาพลันลุกวาว รีบยืนมือออกไปคว้าในทันใด กู้เจียวง้างทวนขึ้น ฝ่ามือของเขาถูกแทงยึดติดกับพื้นฝุ่นตลบ
กู้เจียว “ข้าบอกแล้วอย่างไรเล่า กระบวนท่าแรก ต้องได้เลือด”
ใช้เลือดของคนทรยศ บูชาดวงวิญญาณของตระกูลเซวียนหยวนที่ล่วงลับ
กู้เจียวกำทวนพู่แดงแน่น ก่อนจะปักมันจมลงกับพื้นสุดแรง
“อ๊ากกก…”
หนานกงเจ๋อร้องโหยหวน
เมื่อได้ลิ้มรสเลือดของคนทรยศ ทวนพู่แดงทั้งด้ามราวกับเปล่งประกายยิ่งกว่าเดิม
จิตวิญญาณนักรบแผ่ซานไปทั่วสนามสงคราม ทหารม้าเฮยเฟิงพากันฮึกเหิม
กู้เจียวชักทวนพู่แดงขึ้น ใช้เท้ากระทืบหนานกงเจ๋อจนสลบไป
ในสนามรบนั้นมิได้ดวลกันด้วยอาวุธ แต่ดวลกันด้วยความสามัคคี อย่าได้ดูถูกที่ฝีมือของหนานกงเจ๋อนั้นเทียบกับวิญญาณทมิฬไม่ได้ แต่พอได้ประมือกันแล้ว เขานั้นมิได้อ่อนหัดแต่อย่างใด
หากวันนี้หนานกงเจ๋อไม่ได้มุ่งเป้าไปที่กู้เจียว แต่ทุ่มเทวางกลศึกอย่างแยบยล คงไม่พ่ายแพ้อย่างน่าอนาถถึงเพียงนี้
แน่นอนว่าด้วยอายุของนางแล้ว ย่อมทำให้ศัตรูชะล่าใจ ผู้ใดจะคาดคิดกันว่าเด็กหนุ่มอายุสิบกว่าปีจะเอาชนะนักรบแสนเหี้ยมโหดอย่างหนานกงเจ๋อได้
หนานกงเจ๋อถูกกู้เจียวจับตัวได้ เหล่าทหารแปรพักตร์ต่างอกสั่นขวัญแขวน ทหารม้าเฮยเฟิงฉวยโอกาสบุกโจมตี ฆ่าทหารม้าแปรพักตร์จนแทบสิ้นซาก
กู้เจียวสั่งให้เฉิงกุ้ยฟู่ไว้ชีวิตพยานไว้สองสามคน “กลับไปบอกนายใหญ่ตระกูลหนานกงของพวกเจ้า ข้าเซียวลิ่วหลังผู้นี้มาถึงแล้ว! ข้าคือคนที่ฆ่าหนานกงลี่ ลูกชายคนรองของเขา ตอนนี้ลูกชายคนที่สามของเขา หนานกงเจ๋อ อยู่ในมือข้า! หากต้องการไถ่ตัวลูกชายของตัวเอง ก็เอาเมืองฉวี่หยางมาแลก! มิเช่นนั้น ข้าจะตัดหัวลูกชายเขา แล้วแขวนไว้บนยอดธงค่ายเฮยเฟิง!”
เมื่อจินตนาการถึงภาพอันฮึกเหิมนั้น เหล่าทหารม้าเฮยเฟิงต่างพากันชูอาวุธในมือ “ฆ่ามัน! ฆ่ามัน! ฆ่ามัน!”
เสียงตะโกนดังลั่นฟ้า เมฆาผวาอันตรธาน
เพราะเสียงฮึกเหิมดังก้องนั้น ทหารแปรพักตร์ที่เหลือรอดไม่กี่ชีวิตหวาดกลัวจนตัวสั่นสะท้าน ใบหน้าตื่นตระหนก
กู้เจียวโบกทวนยาว เอ่ยเสียงเคร่งขรึม “แล้วก็ หากตระกูลหนานกงไม่ตกลงแต่โดยดี ข้าจะบุกเมืองฉวี่หยาง ฆ่าล้างตระกูลหนานกงให้สิ้นทีละคน!”
…
“รายงาน… รายงาน…”
ณ จวนเจ้าเมือง นายใหญ่ตระกูลหนานกงนั่งหยอกล้อกับหลานชายอยู่ศาลา เมื่อได้ยินเสียงร้อนรนของนายทหาร ก็อุ้มหลายชายอายุสามขวบลง ก่อนจะเรียกทหารให้เข้ามา
“มีเรื่องอะไร” นายใหญ่ตระกูลหนานกงถามหน้านิ่ง ขัดจังหวะยามสุขสันต์กับหลานชายเช่นนี้ เขาไม่พอใจนักสักเท่าไหร่
นายทหารคุกเข่าลงข้างหนึ่ง เอ่ยด้วยแววตาร้อนรน “รายงานท่านเจ้าเมือง นายท่านสาม… ถูกจับตัวไปขอรับ!”
นายใหญ่หนานกงตาเบิกโพลง ฝ่ามือยันที่วางแขนของเก้าอี้ ก่อนจะลุกพรวดขึ้นในทันใด “เจ้าว่าอย่างไรนะ ใครถูกจับตัวไป ผู้ใดเป็นคนจับไป”
นายทหารประสานมือคำนับเอ่ย “นายท่านสามถูกเซียวลิ่วหลังแห่งค่ายเฮยเฟิงจับตัวไปแล้วขอรับ! เซียวลิ่วหลังบอกว่า หากต้องการไถ่ตัวนายท่านสาม ให้เอาเมืองฉวี่หยางมาแลก! แล้วก็…แล้วก็บอกว่า…”
มือของนายใหญ่หนานกงกำที่วางแขนแน่น กัดฟันเค้นคำออกมา “ว่าอย่างไรอีก”
นายทหารเอ่ยอย่างขลาดกลัว “ยังบอกอีกว่าหากท่านเจ้าเมืองไม่ตกลง เขาจะบุกเข้ามาในเมือง และจะ…จะฆ่าคนตระกูลหนานกงให้สิ้น!”
นายใหญ่หนานกงเหวี่ยงเก้าอี้จนไม่เหลือชิ้นดี “ไอ้สารเลว!”
“ท่านพ่อ”
ลูกชายคนโต หนานกงเฉิงเดินจ้ำเข้ามาในศาลา “ข้าเพิ่งมาจากกำแพงเมือง ได้ข่าวว่าน้องสามถูกจับตัวไปหรือขอรับ”
นายใหญ่หนานกงโมโหจนตัวสั่น “เซียวลิ่วหลัง… เซียวลิ่วหลังอีกแล้ว!”
หนานกงเฉิงเองก็ตกใจไม่น้อย “ฝีมือเขารึ”
หนานกงเฉิงไม่ต่อคำ
ความจริงแล้วด้วยสภาพการณ์ในยามนั้นไม่สามารถนำทหารม้าไปได้มากอยู่แล้ว ภารกิจของน้องสามและน้องสี่เดิมทีคือการล่อทหารม้าเฮยเฟิงออกมาจากเขา
หากน้องสามและน้องสี่พาทหารม้าออกไปมากเกินไป ทหารม้าค่ายเฮยเฟิงคงเห็นว่าโอกาสชนะนั้นมีไม่มาก จึงไม่ออกมาปล้นเสบียงตั้งแต่แรก
นอกจากนี้เป้าหมายหลักของพวกเขาคือเซียวลิ่วหลัง ไม่ว่าน้องสามหรือน้องสี่จะเป็นคนพบเขา จับเป็นได้ก็จับเป็น หากจับเป็นไม่ได้ก็ฆ่าทิ้งเสีย!
หนานกงเจ๋อขมวดคิ้วเอ่ย “คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าเซียวลิ่วหลังนั่นจะเก่งกาจเพียงนี้ ปรากฏตัววันแรก น้องสามก็ตกอยู่ในเงื้อมมือเขาเสียแล้ว ไม่รู้ว่าทางน้องสี่เป็นอย่างไรบ้าง”
นายใหญ่หนานกงเอ่ย “ที่น้องสี่เจ้าเจอไม่ใช่เซียวลิ่วหลัง ยามนี้คงยังไม่น่าเป็นห่วง ตอนนี้มาคิดหาวิธีช่วยน้องสามเจ้ากลับมาเถอะ!”
“ท่านปู่เจ้าคะ!”
หญิงสาวนางหนึ่งมาพร้อมกระบี่ในชุดเกราะสีแดง เดินเข้ามาด้วยแววตาแข็งกร้าว นางยกมือคำนับนายใหญ่หนานกงและหนานกงเฉิง “ท่านปู่ ท่านลุงใหญ่ ให้ข้าพาทหารไปช่วยท่านพ่อกลับมาเถิดเจ้าค่ะ”
หากกู้เจียวอยู่นี่ คงจำได้ว่านางคือลูกสาวคนโตจากสายที่สามของตระกูลหนานกงที่ลากนายท่านห้าหันลงจากม้าโดยแลกมากับชื่อเสียงของตัวเองในการคัดเลือกผู้บัญชาการค่ายเฮยเฟิง… หนานกงจิ้ง
หนานกงจิ้งเป็นลูกสาวคนโตของตระกูลแม่ทัพ ย่อมมีวิชาการต่อสู้ติดตัว
“ท่านปู่! ข้าก็จะไปด้วย! ข้าจะล้างแค้นให้ท่านพ่อข้า!”
ลูกชายคนเล็กของหนานกงลี่ หนางกงหลินเองก็เดินเข้ามาด้วยรังสีสังหารอันเข้มข้น
หนานกงเฉิงเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “พวกเจ้าสองคนอย่างได้วุ่นวาย กลับห้องของตัวเองไป! แม้แต่พ่อของพวกเจ้ายังมิใช่คู่ต่อสู้ของเซียวลิ่วหลัง พวกเจ้าคิดจริงๆ หรือว่าตัวเองจะสู้อะไรกับเจ้านั่นได้”
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนั้น หนานกงเฉิงและนายใหญ่หนานกงเองก็พลันเดือดดาลขึ้นมา
พวกเขารู้แล้ว่าเซียวลิ่วหลังผู้นี้คือตัวปลอม ทั้งยังไม่ได้อายุสิบเก้าปี ดูจากใบหน้าแล้ว คงเป็นแค่เด็กหนุ่มอายุสิบหกสิบเจ็ดปี
แต่เขากลับเก่งกาจขนาดนี้!
ก่อนที่เซียวลิ่วหลังจะปรากฏตัวขึ้น คนตระกูลหนานกงต่างภาคภูมิใจในตัวบรรดาลูกหลาน นึกว่าพวกเขาคือคนหนุ่มมีความสามารถ เก่งทั้งบู้ทั้งบุ๋น วันหน้าย่อมต่อยอดเติบใหญ่ตามผู้อาวุโส
ทว่าตั้งแต่เซียวลิ่วหลังโผล่หัวออกมา ลูกหลานตระกูลตัวเองจึงไม่ได้เรื่องไปเสียอย่างนั้น
คนเราจะแตกต่างกันได้เพียงนี้เชียวหรือ
“ออกไป!” นายใหญ่หนานกงเอ่ยเสียงเข้ม
ยามวิกฤตถาโถมเช่นนี้ นายใหญ่หนานกงจึงอารมณ์เดือดดาลอย่างเลี่ยงไม่ได้ หนานกงหลินและหลานกงจิ้งถูกตวาดจนนิ่งอึ้งไป หันมามองหน้าสบตากัน ก่อนจะออกไปอย่างไม่เต็มใจนัก
หนานกงเฉิงเอ่ยเกลี้ยกล่อม “ท่านพ่อ ท่านใจเย็นก่อน ข้าจะหาวิธีพาน้องสามกลับมาให้ได้”
นายใหญ่หนานกงเอ่ยอย่างปวดใจ “เจ้าเด็กนั่นโหดเหี้ยมอำมหิต น้องสามเจ้าตกอยู่ในเงื้อมมือของมัน คงลำบากไม่น้อยเป็นแน่”
หนานกงเฉิงครุ่นคิดก่อนจะเอ่ย “ท่านพ่อ ข้าคิดว่าเรื่องนี้ยังพอกู้สถานการณ์ได้ เขาไม่ได้ต้องการฆ่าน้องสาม แต่ต้องการเจรจากับพวกเรา เห็นได้ว่ากำลังทหารในมือของเขานั้นไม่เพียงพอที่จะต้านทัพใหญ่ในเมืองของพวกเรา เช่นนั้นแล้วเรามาวางแผนไม่ดีกว่าหรือ อ้างการเจรจาครั้งนี้ล่อเซียวลิ่วหลังเข้ามาในเมืองฉวี่หยาง จากนั้นฆ่าเขาเสีย”
นายใหญ่เอ่ยเสียงเย็น “ที่เจ้าว่ามามิใช่ชักศึกเข้าบ้านหรอกรึ! เซียวลิ่วหลังเจ้าเล่ห์อย่างกับอะไรดี หากเขาเข้าเมืองมา แล้วปลุกปั่นชาวเมืองในนามทหารเซวียนหยวน ผลที่ตามนั้นคงไม่ต้องนึก! ต้องฆ่าเขานอกเมืองเท่านั้น! เจ้าไปตามตัวเจียงฉังเวยมาเดี๋ยวนี้!”
หนางกงเฉิงถาม “ท่านพ่อต้องการให้แม่ทัพฉังเวยเปิดศึกกับเซียวลิ่วหลังหรือขอรับ”
นายใหญ่หนานกงเอ่ยเสียงนิ่ง “ฉังเวยคือผู้ใต้บังคับบัญชาที่แข็งแกร่งที่สุดของตระกูลหนานกงเรา วรยุทธ์สูงสุง ห้าวหาญการศึก หลายปีมานี้มีสงครามมากที่แถบชายแดน เขาไม่เคยแพ้ในศึกใด ให้เขาพาทหารม้าในเมืองออกไป ต้องปราบทหารม้าเฮยเฟิงให้สิ้นซาก!”
อย่าคิดว่าค่ายเฮยเฟิงมีทหารม้าเพียงแค่ห้าหมื่นนาย แต่นั่นคือกองทัพที่แข็งแกร่งที่สุดของแคว้นเยียน ทั้งยังเป็นกองทัพที่ตระกูลเซียวหยวนก่อตั้ง ยามนั้นตระกูลเซวียนหยวนเองก็สยบแคว้นทั้งหกด้วยทหารม้าเฮยเฟิง หลังจากนั้นจึงเพิ่มค่ายพลธนู ค่ายทหารราบ ค่ายรถศึก
หากต้องการข่มขวัญทหารทั้งสามค่ายให้ยอมสยบ ย่อมต้องกำจัดค่ายเฮยเฟิงให้สิ้นซากเป็นอันดับแรก!