สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 827 บุกเมือง!
บทที่ 827 บุกเมือง!
แม้ในใจของเหล่าทหารจะปฏิเสธแค่ไหน แต่ม้าของพวกเขากลับเลือกที่จะเดินตามเจ้าเฮยเฟิง
ม้าเป็นสัตว์ที่อ่อนไหวง่าย มิฉะนั้นพวกมันคงไม่สามารถตื่นตัวและลุกขึ้นยืนได้ตลอดเวลา การเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมมีผลกระทบอย่างมากต่อพวกมัน
อีกอย่าง พวกมันไม่ใช่แค่ม้าธรรมดา แต่เป็นม้าศึกที่แข็งแกร่งและกล้าหาญที่สุดในบรรดาหกอาณาจักร
พวกมันได้รับการฝึกฝนสิ่งกีดขวางที่เข้มงวดที่สุดในค่ายทหาร ความกว้างนี้ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับพวกมัน และโดยพื้นฐานแล้ว พวกมันสามารถข้ามมันได้แค่ด้วยการวิ่ง
แต่ม้าบางตัวที่เพิ่งอายุสามขวบยังไม่ได้รับการฝึกฝนเพียงพอและไม่สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมที่ซับซ้อนนี้ได้
ม้าสองสามตัวที่รับหน้าที่แบกเสบียงอยู่ท้ายแถวเริ่มเกิดความลังเล แต่หลังจากคำแนะนำซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากครูฝึก ก็มีม้าตัวหนึ่งเริ่มยกขาหน้าขึ้นได้แล้ว
ทว่ามันยังไม่มั่นใจพอและไม่ได้ใช้กำลังอย่างเต็มที่ มีเพียงกีบหน้าเท่านั้นที่ตกลงไปฝั่งตรงข้าม ขณะที่กีบหลังเกิดพลาดเหยียบอากาศเข้า
เจ้าม้าตกใจจนเสียขวัญ!
เจ้าเฮยเฟิงรีบหันหลังกลับมา กระโดดลงไปในคูน้ำ และดันม้าตัวนั้นขึ้นด้วยหัวของมัน
ม้าตัวน้อยที่อยู่ด้านหลังเริ่มใจชื้นขึ้น พวกมันรวบรวมความกล้าที่จะกระโดดไปข้างหน้า โดยมีเจ้าเฮยเฟิงช่วยส่งร่างพวกมันขึ้นฝั่ง
หลังจากที่ม้าเด็กทุกตัวข้ามผ่านธารน้ำไปได้หมดแล้ว เฮยเฟิงก็ขึ้นมาจากธารน้ำที่เต็มไปด้วยโคลนและเสี้ยนหนาม
ขาของมันถูกหนามข่วนหลายจุด กู้เจียวจึงช่วยรักษาบาดแผลให้ พอเสร็จก็มุ่งหน้าเดินทางต่อ
ลำดับการเดินทัพของทั้งสามกองพัน ได้แก่ กองพันแนวหน้า กองพันจู่โจม และกองพันสำรอง ซึ่งเหวินเหรินชงประจำอยู่ที่ท้ายขบวนของกองพันสำรอง
ระหว่างทาง เขาก็ใช้ดินสอวาดเส้นทางในป่านี้ขึ้นมา
“นี่ ขอน้ำหน่อย”
จ้าวเติงเฟิงควบม้าขนาบข้างเขาพร้อมกับยื่นมือขอน้ำ
“ไม่มี” เหวินเหรินชงตอบโดยที่ไม่ขึ้นมามองด้วยซ้ำ
“เจ้าหมอนี่!” จ้าวเติงเฟิงถลึงตาใส่เขา ก่อนจะหันไปถามนายทหารอีกคน “หลี่เซิน…”
หลี่เซินเองก็ไม่สนใจเขาเช่นกัน
จ้าวเติงเฟิงเริ่มกัดฟัน “พวกเจ้าแต่ละคน ใครตำแหน่งสูงกว่าใครกันแน่ ไม่ฟังที่ข้าพูดเลยหรือไร”
ตอนแรกที่กู้เจียวต้องการใช้งานพวกเขา ทั้งสามดันไม่ได้อยู่ในค่ายทหารหรือไม่ก็ไม่ยอมกลับไปที่ค่ายทหาร ตัดภาพมาตอนนี้ พวกเขากลับมาแล้ว เริ่มจากการเป็นทหารตัวเล็กๆ กันไปแล้วกัน
กู้เจียวนำทัพอยู่หน้าสุด
ตามมาด้วยที่ปรึกษาหูและมู่ชิงเฉิน
ทันใดนั้น กู้เจียวหยุดม้าลงและมองไปยังสี่ทิศรอบๆ
“มองหาอะไรอยู่รึ” มู่ชิงเฉินถาม
“ลำห้วยเล็กๆ ” กู้เจียวตอบ “แถวนี้ควรจะมีลำห้วยเล็กๆ อยู่ หากเราเดินเลาะลำห้วยนี้ไปเรื่อยๆ ก็สามารถข้ามภูเขาไปได้”
กู้เจียวครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยต่อ “เจ้าไปจับกวางมาตัวนึงทีสิ ขอแบบเป็นๆ นะ อย่าทำร้ายมัน”
การจับกวางหาใช่เรื่องยาก แต่จับเป็นนี่สิ
มู่ชิงเฉินระหกระเหินจนเนื้อตัวเปรอะเปื้อน แต่ในที่สุดเขาก็จับกวางตัวน้อยหนึ่งตัวมาได้
กู้เจียวให้กวางน้อยเลียเม็ดเกลือ เสร็จก็ปล่อยมันไป
จากนั้นก็ตบไปที่ลำคอของเฮยเฟิง “ตามเจ้ากวางไป”
การสะกดรอยตามเจ้ากวางต้องค่อยๆ ย่องช้าๆ ห้ามทำให้กวางตกใจเด็ดขาด เจ้าเฮยเฟิงลดแรงกระแทกที่กีบลง และติดตามเจ้ากวางน้อยอยู่ห่างๆ ไม่นานพวกเขาก็มาถึงลำห้วยแห่งหนึ่ง
เจ้ากวางน้อยก้มหน้าลงไปในลำห้วยเพื่อดื่มน้ำ
กู้เจียวนำทัพพากองทหารเดินเลาะลำห้วย ระหว่างทางก็เก็บผลไม้ป่าหรือสมุนไพรเป็นครั้งคราว
เหล่าทหารต่างตั้งหน้าตั้งตารอดูผู้บัญชาการทหารคนใหม่ร้องไห้ขี้มูกโป่งเพราะหลงทาง
เสียงร้องของผู้บัญชาการทหารคนใหม่ที่พวกเขาคิด ‘อ๊ะ! จะทำอย่างไร! จะทำอย่างไร! หาทางไม่เจอ! จบแล้ว! มืดแล้ว! หมาป่ากำลังจะมา! ข้ากลัวมาก! งู! มี งูพิษอยู่บนต้นไม้!’
ตัดภาพมาที่ความเป็นจริง
ผู้บัญชาการทหารคนใหม่ชกเสือตัวหนึ่งด้วยหมัดเดียว จับงูพิษแล้วใช้เป็นเชือก ควบเจ้าเฮยเฟิงถือคบเพลิงขับไล่หมาป่า
พาพวกเขาผ่านลำห้วยและป่าดงดิบแสนอันตรายได้สำเร็จ
แม้แต่ทหารที่มีประสบการณ์มากที่สุดก็ยังไม่มีความสามารถในการเอาชีวิตรอดในป่าเหมือนกู้เจียว
“เอาละ คืนนี้เราจะตั้งค่ายที่นี่ เฉิงฟู่กุ้ย และจ้าวเหลย คืนนี้เป็นเวรเฝ้ายามของพวกเจ้า” กู้เจียวพบพื้นที่โล่งที่เหมาะสมใกล้ลำห้วย
ทั้งสองเป็นผู้บัญชาการฝ่ายซ้ายและขวาของกองหน้าตาม
พวกเขาประสานมือรับคำสั่ง “ขอรับ”
“บอกกับทุกคนด้วยว่า คืนนี้ห้ามก่อเพลิงเด็ดขาด” กู้เจียวกำชับ
พวกเขาประสานมือรับคำสั่งอีกครั้ง “ขอรับ!”
ในเมื่อจุดไฟไม่ได้ พวกเขาจึงกินได้แค่ขนมเปี๊ยะแข็งๆ เย็นๆ เท่านั้น สภาพอากาศฝั่งตะวันตกของแคว้นเยี่ยนอุณหภูมิตอนกลางวันและตอนกลางคืนต่างกันมาก คนครัวจะอบขนมเปี๊ยะให้แห้งและแข็งเพื่อป้องกันไม่ให้อาหารเน่าเสีย รสชาติของมันทั้งแข็งทั้งแห้งราวกับกำลังเคี้ยวเศษกรวดอยู่ในปาก
กินเสร็จก็ดื่มน้ำเย็นๆ จากลำห้วยตามลงไป ไม่มีใครกล้าบ่นออกมาและไม่มีใครทานเหลือแม้แต่คนเดียว
กู้เจียวกินขนมเปี๊ยะแบบเดียวกับที่ทหารคนอื่นๆ กิน
ขณะที่เหล่าทหารจับกลุ่มรวมกัน มีเพียงกู้เจียวที่ปลีกตัวแยกออกมานั่งคนเดียว
ทุกคนมองไปที่ร่างผอมเพรียวที่นั่งอยู่ตรงริมห้วย และด้วยเหตุผลบางอย่าง จู่ๆ พวกเขาก็รู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย
…
หลังจากเดินทางเลาะลำห้วยมาสองวัน ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงต้นลำห้วย
ที่นี่มีลำธารกว้างใหญ่ และที่ปลายสายลำธารมีน้ำตกที่สูงราวหนึ่งร้อยฉื่อ
ยิ่งเข้าใกล้น้ำตก ลำธารก็ยิ่งแคบและตื้น ทำให้ข้ามได้ง่ายขึ้น
ทว่าวันนี้น้ำในลำธารค่อนข้างไหลเชี่ยว หากไม่ระวัง อาจถูกกระแสน้ำพัดพาไปได้
กู้เจียวกระชับบังเหียนแน่นพร้อมกับถามเจ้าเฮยเฟิง “ข้ามไปได้ไหม”
เจ้าเฮยเฟิงถอยหลังไปไม่กี่ก้าว เกร็งกล้ามเนื้อทั้งตัว ก่อนจะกระโดดลงไปในน้ำ
ด้วยความที่น้ำไม่ลึกมาก จึงสามารถข้ามผ่านไปได้อย่างมั่นคง
เจ้าม้าที่เหลือก็ทยอยกระโดดลงไปทีละตัวโดยมีทหารม้าคอยให้กำลังใจ พวกมันจึงสามรถข้ามสายน้ำเชี่ยวไปได้โดยไม่มีอันตรายใดๆ
แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น พอมาถึงตอนที่กลุ่มม้าเด็กต้องข้ามธารน้ำเชี่ยว จู่ๆ สายน้ำเกิดไหลแรงจนพัดม้าตัวหนึ่งที่แบกเสบียงไว้บนหลังให้ล้มลงไป
เจ้าเฮยเฟิงรีบวิ่งเข้ามาช่วยงับเชือกของม้าเด็กตัวนั้น!
เฮยเฟิงพยายามอย่างเต็มที่ที่จะต้านทานกระแสน้ำเชี่ยวกราก และใช้พละกำลังทั้งหมดเพื่อดึงเจ้าม้าตัวน้อยขึ้นมา
เมื่อเห็นม้าทั้งสองตัวขึ้นมาบนฝังได้สำเร็จ ทุกคนต่างถอนหายใจโล่งอก
แม้จะช่วยชีวิตม้าเด็กไว้ได้ แต่น่าเสียดายที่ถุงเสบียงของมันหลุดลอยไปกับสายน้ำ ม้าเด็กจึงได้แต่เบือนหน้าลงด้วยความผิดหวัง
เจ้าเฮยเฟิงเอาหัวที่เปียกชุ่มของมันกระทุ้งเจ้าม้าเด็กเบาๆ ราวกับกำลังปลอบใจ
ทุกคนเดินหน้าต่อ
เหตุการณ์เมื่อครู่ไม่ได้ส่งผลกระทบใดๆ ต่อกองทัพมากนัก ยกเว้นกับเจ้าม้าน้อยตัวนั้น
หลังจากสูญเสียเสบียง เจ้าม้าเด็กถึงกับเดินคอตกรั้งท้ายแถวด้วยความรู้สึกผิดหวัง กู้เจียวเห็นดังนั้นจึงหยิบสมุนไพรที่เก็บเกี่ยวมาตลอดทางใส่ถุงแล้วแขวนไว้บนหลังของมัน และนั่นทำให้กลับมันมามีกำลังใจอีกครั้ง!
พวกเขาใช้เวลาสองวันในการขึ้นเขา ดังนั้นการลงภูเขาจะเร็วกว่ามาก
พวกเขาใช้เวลาเพียงวันเดียวก็ลงมาถึงที่เชิงเขา
“ใช้เวลาสามวันจริงด้วยแฮะ” มู่ชิงเฉินตะลึงกับผลลัพธ์
การเดินทางต้องใช้กำลังกายอย่างมาก ทหารและม้าทุกคนล้วนเหนื่อยล้า แต่ในเมื่อพวกเขามีเวลาพักผ่อนเพียงวันเดียวเท่านั้น พอพ้นวันพรุ่งนี้ ก็เป็นเวลาที่พวกเขาต้องบุกเมือง
ณ ช่วงเที่ยงคืน
หน่วยสอดแนมเดินทางกลับมาถึงที่ค่าย ขณะที่กู้เจียวกำลังนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่เพื่อหารือเกี่ยวกับแผนการโจมตีเมืองกับผู้บัญชาการทั้งหก มู่ชิงเฉินเองก็อยู่ด้วย
“มีอะไรบ้าง” กู้เจียวถามหน่วยสอดแนม
หน่วยสอดแนมประสานมือพลางเอ่ย “เรียนท่านผู้บัญชาการทหารสูงสุด มีทั้งข่าวดีและข่าวร้ายขอรับ”
“พูดเรื่องข่าวร้ายก่อน” กู้เจียวตอบณะถือกิ่งไม้พร้อมแผนที่ในมือ
“ข่าวร้ายคือ เราได้สูญเสียเมืองไปอีกสามเมือง สองในสามเมืองจะเข้าร่วมตระกูลหันและตระกูลหนานกง ส่วนอีกเมืองหนึ่งถูกกองทัพแคว้นจิ้นยึดครองไปขอรับ”
กู้เจียวใช้กิ่งไม้วงไปที่ด่านเยียนเหมิน “กองทัพแคว้นจิ้นบุกเข้ามาแล้ว แปลว่าเราสูญเสียด่านเทียนซานไปแล้วสินะ”
หน่วยสอดแนมตอบด้วยสีหน้าเจ็บปวด “ขอรับ”
“แล้วข่าวดีล่ะ” กู้เจียวถาม
“ข่าวดีคือ เสบียงของเมืองฉวี่หยางเริ่มขาดแคลน มีสองอำเภอที่กำลังลำเลียงเสบียงส่งไปยังเมืองฉวี่หยาง คาดว่าพวกเขาจะมาถึงประตูทิศเหนือและทิศตะวันออกของเมืองฉวี่หยางในคืนพรุ่งนี้ขอรับ”
พวกเขากำลังกังวลกันอยู่พอดีว่าจะบุกเข้าเมืองอย่างไร เพราะกำแพงเมืองฉวี่หยางนั้นแข็งแกร่งและยากต่อการบุกโจมตี นอกจากนี้ พวกเขาเป็นแค่ทหารม้า ไม่มีรถม้าศึกที่จะบุกโจมตีทหารราบ ปัจจัยพวกนี้ทำให้การบุกผ่านประตูเมืองนั้นเรียกได้ว่ายากระดับนรก
ข่าวดีนี้ราวกับเป็นฝนในหน้าแล้งของพวกเขา
เฉิงฟู่กุ้ยเอ่ย “พวกเราสามารถปล้นเสบียงของพวกเขาได้ หากไม่มีเสบียงแล้ว พวกเขาจะต้องอดอยากปากแห้ง และท้ายที่สุด พวกเขาจะออกมาเอาเสบียงคืนอย่างแน่นอน และนั่นคือโอกาสของเรา”
กู้เจียวพยักหน้า “อื้อ แบบนี้แหละ”
แต่ถ้าเสบียงมาถึงคืนพรุ่งนี้ นั่นหมายความว่าแผนการโจมตีของพวกเขาต้องเร็วขึ้นกว่าเดิม
หนึ่งชั่วยามต่อมา หน่วยสอดแนมก็ไปตรวจสอบที่อยู่ของเสบียงอีกครั้ง และกลับมาพร้อมกับข่าวที่ว่าพวกเขาได้เริ่มทำการขนส่งเสบียงข้ามคืนแล้ว
นั่นหมายความว่า
หนึ่ง เมืองสวี่หยางขาดแคลนเสบียงขั้นรุนแรง ไม่สามารถทนได้ถึงวัน
สอง เป็นไปได้ว่าเสบียงอาจส่งถึงเมืองฉวี่หยางในช่วงกลางวันของพรุ่งนี้
พวกเขาต้องเร่งแผนการให้เร็วขึ้นกว่าเดิมครึ่งวัน!
นี่เป็นความท้าทายครั้งใหญ่สำหรับพวกเขาที่เดินทางติดต่อกันมามากกว่าสิบวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนภูเขาและสันเขาเป็นเวลาสามวัน
“กำลังทหารของพวกเขามีเท่าไหร่” กู้เจียวถาม
หน่วยสอดแนม “ห้าพันคนขอรับ”
กู้เจียวคำนวณอยู่พักหนึ่ง ก่อนถามต่อ “พวกเขามีเสบียงเยอะไหม ทหารตั้งห้าพันนาย”
ในจำนวนทหารม้าห้าหมื่นาย กู้เจียวนับรวมทหารม้ากองสำรองไปด้วย ดังนั้นทหารม้าที่รบได้จริงมีอยู่สองหมื่นนายเท่านั้น
ฝ่ายตรงข้ามมีทหารหนึ่งหมื่นนาย ฟังดูเหมือนจะไม่ใช่ปัญหาใหญ่ก็จริง
การขโมยเสบียงเป็นเพียงก้าวแรกของแผนการเท่านั้น สิ่งสำคัญที่สุดคือการกำจัดทหารของหนานกงให้สิ้นซาก
แต่กองกำลังทหารของหนานกงมีถึงแปดหมื่นนาย!
ด้วยสภาพร่างกายที่ยังไม่ฟื้นฟู อีกทั้งจำนวนทหารที่เรียกได้ว่าต่างกันลิบลับ นี่มันตำน้ำพริกละลายแม่น้ำชัดๆ !
“นายท่าน พวกเรา…ยังจะบุกอยู่ไหมขอรับ” หน่วยสอดแนมเอ่ยถามอย่างลังเล
กู้เจียวกำหมัดแน่น และตอบกลับด้วยแววตาที่แน่วแน่ “บุกสิ! คืนนี้พักผ่อนกันให้ดี ไม่ต้องรีบตื่นเช้า พวกเราจะบุกเข้าไปหลังเที่ยงวัน!”