สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 824 เจียวผู้ยิ่งใหญ่มาแล้ว! (1)
บทที่ 824 เจียวผู้ยิ่งใหญ่มาแล้ว! (1)
ขณะที่กู้เจียวออกมาจากจวน ก็เห็นร่างเล็กผลุบๆ โผล่ๆ ออกมาจากหลังต้นไม้ใหญ่
พอเดินเข้าไปใกล้ๆ จึงพบว่า “จิ้งคงรึ”
“อ๋า ถูกจับได้เสียแล้ว” เสี่ยวจิ้งคงตกใจจนเอามือจับศีรษะตัวเอง
“นี่เจ้ากำลังรอข้าอยู่รึ” กู้เจียวยื่นมือลูบศีรษะน้อยๆ ของเขา
“อื้อ… อื้อ!” เสี่ยวจิ้งคงลังเลเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าสารภาพ
เขาเงยหน้าอันไร้เดียงสาขึ้นมาพร้อมกับกะพริบตาปริบๆ ใส่กู้เจียว แผงขนตาที่หนาและยาวของเขาทำให้เขาดูเหมือนเจ้าหนูตาหวานเสียเหลือเกิน
“เจียวเจียวจะออกรบอีกแล้วใช่ไหม”
เขาเอ่ยถามด้วยความอาลัย “ไยต้องเป็นเจ้าด้วย”
คำถามนี้ แม้แต่กู้เจียวเองก็ไม่รู้ว่าควรตอบอย่างไร
พอกู้เจียวคุกเข่าข้างหนึ่งลง ก็พบว่าเจ้าตัวเล็กเริ่มตัวสูงขึ้นแล้ว จากที่ตอนแรกเวลากู้เจียวคุกเข่าลงจะเห็นแค่ศีรษะของเขา คราวนี้ระดับสายตาของพวกเขาเท่ากันเลย
ดียิ่งนัก
ที่ได้เห็นเด็กคนนี้เติบโต
กู้เจียวหยิบใบไม้ที่ตกบนไหล่ของเขาแล้วเอ่ยอย่างแผ่วเบา “ทุกคนมีสิ่งที่พวกเขาควรทำ มันเป็นหน้าที่ของพวกเขาที่จะช่วยชีวิตและรักษาผู้บาดเจ็บ ปกป้องแผ่นดินและราษฎร”
ดูเหมือนเสี่ยวจิ้งคงไม่ได้เข้าใจคำเอ่ยทั้งหมด หลังจากครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง เขาก็กำหมัดแน่นแล้วเอ่ย “เช่นนั้น หน้าที่ของข้าคือการปกป้องเจียวเจียว! ข้าอยากเรียนศิลปะการต่อสู้! ข้าอยากเติบโต! เพื่อที่จะต่อสู้ในอนาคต! เจียวเจียวจะได้ไม่ต้องไปออกรบอีก!”
กู้เจียวสัมผัสศีรษะน้อยของเขาแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “การต่อสู้ไม่สนุกเลยแม้แต่นิดนะ”
เสี่ยวจิ้งคงขมวดคิ้วแล้วเอ่ย “แต่ข้าไม่อยากให้เจียวเจียวเหนื่อย!”
“ข้าไม่เหนื่อยหรอก” กู้เจียวเอ่ย
เสี่ยวจิ้งคงไม่อยากให้กู้เจียวไป ดวงตาของเขาเริ่มแดงก่ำ
กู้เจียวกอดเขาเป็นเวลานานก่อนที่จะเกลี้ยกล่อมให้เขากลับไปที่ห้องเพื่อนอนหลับพักผ่อน
พอเห็นว่าเจ้าตัวเล็กหลับสนิทแล้ว กู้เจียวจึงออกเดินทางไปยังตำหนักกั๋วซือ
ณ ป่าไผ่ กั๋วซือกำลังนั่งเล่นหมากรุกอยู่ในห้อง
เมื่อคดีของไท่จื่อและแม่นางหันถูกเปิดโปง คำสั่งปิดล้อมตำหนักกั๋วซือจึงถูกยกเลิก
ผู้อาวุโสเมิ่งไม่อยู่ที่นั่น กั๋วซือกำลังเล่นหมากกับตัวเอง
ลูกศิษย์ที่ควรจะอยู่เฝ้าในตอนแรกดันมีธุระต้องจัดการ กลายเป็นเย่ชิงที่ต้องมานั่งเฝ้าอาจารย์ของเขา
“ไม่เล่นแล้ว” จู่ๆ กั๋วซือก็หยิบตัวหมากเก็บเข้าไปในกล่อง
เย่ชิงรีบเข้าไปช่วยจัดเรียงและเก็บแยกตัวหมากรุกขาวดำ จากนั้นก็เก็บกระดานหมากรุกลงไป
และในตอนนั้นเอง เสียงรายงานของอวี๋เหอก็ดังขึ้นจากด้านนอก “ท่านอาจารย์ ท่านชายเซียวมาหาขอรับ”
“ให้เขาเข้ามา” กั๋วซือเอ่ย
จากนั้นกู้เจียวก็เดินเข้าไปในห้องไผ่
แผ่นฟ้าเริ่มมืดลง โถงทางเดินเต็มไปด้วยโคมถ้วยเซรามิคสีใสที่ถูกตกแต่งด้วยขนนก เครื่องดินเผาพวกนี้มีความใสไม่ต่างจากกระจกในยุคปัจจุบัน อีกทั้งยังดูประณีตกว่างานฝีมือของพวกแคว้นเหลียงเสียอีก
“แขวนโคมพวกนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน สวยดีนะ” กู้เจียวถาม
“ตอนช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์น่ะ” เย่ชิงเอ่ยพร้อมกับพากู้เจียวเข้าไปในห้อง “ปกติจะแขวนไว้จนถึงช่วงปลายเดือนค่อยเอาออก”
ช่วงไหว้พระจันทร์ หรือก็คือช่วงสารทจีน เป็นธรรมเนียมของแคว้นเยียนที่ต้องแขวนโคมสวยๆ เพื่อฉลองเทศกาล
กู้เจียวนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกั๋วซือ จากนั้นเอ่ยทักทาย “ท่านกั๋วซือคงเหนื่อยน่าดูที่มาท่องในโลกมนุษย์ แถมยังเฉลิมฉลองเทศกาลพื้นบ้านเช่นนี้อีก”
กั๋วซือหรี่ตามองกู้เจียวอย่างหมดคำจะเอ่ย
“เล่นหมากรุกด้วยกันก่อนสิ” เขาตัดสินใจแล้วว่าจะไม่หาเรื่องนาง
“ก็ได้”
เอาละ จะเล่นเป็นเพื่อนเพื่อตอบแทนที่เคยมองท่านผิดไปก็แล้วกัน
เย่ชิงจึงหยิบกระดานหมากรุกที่เพิ่งจัดเก็บอย่างเรียบร้อยออกมาจัดเรียงใหม่ จากนั้นจึงไปชงชาผลไม้
ชาผลไม้มีกลิ่นผลไม้แต่ไม่หวานจนเกินไป เป็นรสชาติที่ถูกจริตกู้เจียวมาก
“เจ้าเดินหมากสีดำนะ” กั๋วซือเอ่ย
“ได้สิ” กู้เจียวไม่ปฏิเสธ จากนั้นเริ่มเดินด้วยสีดำก่อนโดยการวางหมากไว้ที่มุมขวาบนของกระดานหมากรุก
กั๋วซือมองดูตัวหมากรุกและดูมึนงงอยู่ครู่หนึ่ง
“เหตุใดถึงไม่ลงต่อล่ะ” กู้เจียวกะพริบตาพร้อมกับถามเขา “อย่าบอกนะว่า ท่านลงแบบนี้ไม่เป็น”
“ใครบอกว่าข้าทำไม่ได้รึ” กั๋วซือหยิบหมากสีขาวขึ้นมาอย่างเย็นชาและวางมันลงบนกระดานหมากรุก
“ที่ข้ามาที่นี่ก็เพื่อมาเอากล่องยา” กู้เจียวเอ่ย “อีกทั้งจะมาอำลาท่านด้วย”
ช่วงที่ผ่านมา กู้ฉังชิงมัวแต่ง่วนกับการฝึกฝนตัวเองโดยอ่านตำราเก๊ของกั๋วซือ กู้เจียวทำได้เพียงแค่ปิดตาข้างหนึ่ง และเก็บกล่องยาไว้ในห้องลับมาตลอด
แล้วตอนนี้กู้ฉังชิงก็ไม่อยู่ที่นี่แล้ว กู้เจียวเองก็ต้องเอากล่องนี้ติดตัวเดินทางไปด้วย
กั๋วซือเอ่ยด้วยความประหลาดใจ “หายากจริงๆ ที่คนอย่างเจ้าจะมาเอ่ยลาข้า”
กู้เจียววางหมากสีดำลง “เหตุใดท่านถึงไม่เอ่ยความจริง”
มือที่ถือหมากสีขาวของกั๋วซือนิ่งลงทันทีหลังจากได้ยินคำถาม
เย่ชิงที่อยู่ข้างๆ เริ่มเหงื่อตกเล็กน้อย แม้คำถามของกู้เจียวจะไม่ได้ระบุชัดเจนว่าหมายถึงเรื่องอะไร แต่กั๋วซือก็เข้าใจเป็นอย่างดี
“ไม่จำเป็นหรอก” เขาตอบ
ในเมื่อโศกนาฏกรรมเกิดขึ้นแล้ว ต่อให้พิสูจน์ตัวเองอย่างไร ก็มิอาจทำให้ตระกูลเซวียนหยวนฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้อีก
อีกอย่าง เป็นความผิดของเขาเองที่ปล่อยให้สายลับของแคว้นจิ้นเข้ามาทำงานในนี้ และกลายเป็นลูกศิษย์ที่เขาไว้ใจที่สุด
กั๋วซือไม่ได้ไถ่ถามต่อว่ากู้เจียวรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร เขาวางหมากสีขาวลงบนกระดาน แล้วเอ่ยขึ้น “ระยะห่างระหว่างด่านเทียนซานกับด่านเยี่ยนเหมินนั้นไม่ไกลกันนัก มีโอกาสสูงที่เจ้าจะได้เจอทหารของสองแคว้นนั้น เจ้าต้องระวังคนที่ชื่อกงซุนอวี๋จากแคว้นจิ้น รวมถึงฉู่เฟยเผิงจากแคว้นเหลียง สองคนนี้เป็นทหารที่เก่งกาจมาก”
ในความฝันของกู้เจียว ทั้งท่านชายเซวียนหยวนเจ็ด นักบวชชิงเฟิง และมู่ชิงเฉินต่างก็เสียชีวิตด้วยเงื้อมมือของคนที่ชื่อกงซุนอวี๋!
สำหรับฉู่เฟยเผิง เขาเป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่ง โดยในภาพฝัน เขาเป็นผู้นำกองทัพเพื่อปิดล้อมและปราบปรามกองทัพอัศวินดำของแคว้นเยียนที่ติดอยู่ในภูเขาเหลียงซาน ที่สุดทุกคนถูกสังหารด้วยฝนลูกธนูของกองทัพตระกูลฉู่
ต่อให้กั๋วซือไม่เตือน กู้เจียวก็จะระวังสองคนนี้เป็นพิเศษอยู่ดี
และในเมื่อเขาเอ่ยเตือนเช่นนี้ แสดงว่าเขากำลังแสดงความกังวลอย่างจริงใจ
“ข้าจะระวัง” กู้เจียวเอ่ย
กั๋วซือรู้สึกไม่ชินอย่างหนักกับการที่วันนี้นางทำตัวว่านอนสอนง่ายเป็นพิเศษ ทั้งๆ ที่ปกติออกจะเป็นคนเย็นชา
“ท่านแพ้แล้ว” กู้เจียวเอ่ยพร้อมกับมองกระดาน
เย่ชิงถึงกับสะดุ้งและรีบชะเง้อคอมาดู
ท่านอาจารย์แพ้แล้วจริงด้วย
นั่นยิ่งทำให้เย่ชิงตกใจเข้าไปใหญ่
ทักษะการเล่นหมากรุกของอาจารย์นั้นยอดเยี่ยมไม่แพ้ท่านผู้อาวุโสเมิ่งเลย แต่ดันพ่ายแพ้ให้กับเซียวลิ่วหลังคนนี้เนี่ยนะ
ดูจากหมากบนกระดานแล้ว ก็ไม่ยักเห็นว่าอาจารย์จะยอมอ่อนให้อีกฝ่ายเลยนะ
เท่ากับว่าฝีมือของเซียวลิ่วหลังไม่ธรรมดาเลยจริงๆ
เย่ชิงหันไปดูปฏิกิริยาของอาจารย์ และพบว่าอาจารย์ของเขาไม่ได้แสดงท่าทีประหลาดใจใดๆ ราวกับรู้อยู่แล้วว่ามันจะเกิดขึ้น
ท่านอาจารย์… หรือที่จริงแล้วพวกเขาเคยเล่นด้วยกันมาก่อน หรือท่านผู้อาวุโสเมิ่งเคยเล่าเรื่องทักษะการเล่นของเซียวลิ่วหลังให้ท่านอาจารย์ฟัง
นับวันเย่ชิงยิ่งไม่เข้าใจความสัมพันธ์ที่แท้จริงของสองคนนี้แล้วสิ
บางครั้งเขาก็แอบสงสัยว่าสองคนนี้อาจเคยรู้จักกันมาก่อนด้วยซ้ำ
กู้เจียวลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ย “เอาละ ถึงเวลาที่ข้าต้องไปแล้ว คงต้องรบกวนท่านกั๋วซือดูแลความปลอดภัยของเมืองนี้แล้วล่ะ”
“ได้สิ” กั๋วซือตอบ
และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งเป้าหมายที่กู้เจียวมาที่นี่ คือการให้กั๋วซือตอบตกลงว่าจะช่วยดูแลเมืองเซิ่งตูแห่งนี้
พออเมื่อทุกคนจากไป เซิ่งตูก็จะกลายเป็นเปลือกที่ว่างเปล่า
กั๋วซือกับเซวียนหยวนลี่เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน และตำหนักกั๋วซือแห่งนี้ถูกก่อตั้งโดยผู้ไม่ประสงค์ออกนามจากตระกูลเซวียนหยวน ดังนั้นไม่มีใครสามารถบอกได้ว่ากั๋วซือมีความภักดีต่อฮ่องเต้เพียงใด
ดังนั้นที่กู้เจียวต้องการคือคำสัญญาจากปากของเขา
“ข้าจะปกป้องเมืองเซิ่งตู และรอวันเจ้ากลับมา” กั๋วซือเอ่ยพร้อมกับมองกู้เจียวด้วยสายตากึ่งไม่พอใจ
กู้เจียวยกนิ้วขึ้นอย่างสง่างาม ก่อนจะเดินหายไปในความมืด
ลมฤดูใบไม้ร่วงพัดเข้าสู่ป่าไผ่สีม่วง โคมไฟหมุนและแกว่งไปมาอย่างนุ่มนวล
แรงลมทำให้ภาพวาดของบุรุษที่ถือหอกพู่แดงที่แขวนอยู่ในห้องเกิดขยับ
ทว่าคราวนี้ ใบหน้าของคนในภาพวาดกลับปรากฏชัดเจนขึ้น
…
พอออกมาจากตำหนักกั๋วซือ กู้เจียวก็กลับไปที่จวนกั๋วกง เมื่อเก็บข้าวของเสร็จก็ต้องมุ่งหน้าไปยังค่ายทหารทันทีเพื่อเตรียมพร้อมออกเดินทางในเช้าวันรุ่งขึ้น
ที่หน้าประตูลานเฟิง กั๋วกงอันกำลังนั่งรอกู้เจียว อีกทั้งยังมีกู้เหยี่ยนและกู้เสี่ยวซุ่นที่มาแอบรออยู่ในห้องด้วย
กั๋วกงอันตั้งใจมาเอ่ยอำลากับนาง กู้เจียวจะต้องออกรบ ส่วนตัวเขาเองก็ต้องออกเดินทางเหมือนกัน แม้เขาจะไปในนามทูต แต่ความจริงแล้วการเดินทางครั้งนี้เขาไปเพื่อคุ้มกันให้จวงไทเฮาและจี้จิ่วอาวุโส อีกทั้งไปพบกับบิดาตัวจริงของเซียวเหิงด้วย
เขาอยากรู้ว่าตระกูลลูกเขยในอนาคตของเขาเป็นคนแบบไหน
อีกทั้งเขาได้ยินเรื่องราวจากปากกู้เฉิงเฟิงว่าเซียวเหิงแต่งงานกับกู้เจียวโดยใช้อีกชื่อหนึ่ง หากจะว่ากันตามตรง ก็คือถือว่าพวกเขายังไม่แต่งงานกัน
ส่วนเรื่องการแต่งงานนั้น ทั้งสองตระกูลต้องหารือกันอย่างรอบคอบ
พวกเขาไม่ได้เอ่ยอะไรที่เจ็บปวดมากเกินไปเพื่อกล่าวคำอำลา กู้เจียวเพียงแค่อธิบายข้อควรระวังบางประการสำหรับการฟื้นฟูสมรรถภาพของเขาระหว่างเดินทาง ขณะที่กั๋วกงแค่บอกให้กู้เจียวระวังตัว
“ข้าจะระวังตัว ข้ายังอยากเห็นท่านกลับมาเดินได้อีกครั้ง” กู้เจียวตอบเขา
รอยยิ้มของกั๋วกงแสดงออกผ่านทางสายตา เขาเขียนลงบนพนักเก้าอี้ “แน่นอน”
ข้าจะกลับมาเดินได้อีกครั้ง และจะส่งเจ้าเข้าประตูวิวาห์เอง
ดังนั้น จงกลับมาอย่างปลอดภัย