สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 823 ออกรบ!
บทที่ 823 ออกรบ!
ระหว่างที่พวกเขากำลังพูดคุยกัน ซ่างกวานเยี่ยนก็ออกมาจากห้องบรรทมพอดี
คิ้วของนางขมวดจนแทบเป็นปม พร้อมทั้งริมฝีปากที่เม้มแน่นจนซีด
เซียวเหิงรีบทิ้งกิ่งไม้ในมือลง จูงมือกู้เจียวให้ลุกขึ้น แล้วเดินเข้าไปหานาง “ฝ่าบาททรงตรัสว่าอย่างไรบ้าง”
ซ่างกวานเยี่ยนขมวดคิ้ว “ฝ่าบาทบอกให้พวกเรารีบหนีไป”
อันที่จริง ไม่ต้องรอให้ฮ่องเต้ตรัส นางก็เตรียมจะพาเด็กๆ หนีออกไปอยู่แล้ว
แต่พอเจอแบบนี้ ความรู้สึกอยากหนีก็พลันหายไป
ใจคนนี่ช่างยากแท้หยั่งถึงเสียจริง
“หนีไปไหนไม่พ้นหรอก” เซียวเหิงเอ่ย
ดูจากความมทะเยอทะยานของแคว้นจิ้นกับเหลียงแล้ว พวกเขาไม่มีทางปล่อยให้คนจากราชวงศ์แคว้นเยี่ยนหรือแม้แต่ลูกหลานของตระกูลเซวียนหยวนรอดพ้นเงื้อมมือพวกมันไปได้
ซ่างกวานเยี่ยนพยักหน้า “พวกเจ้ากลับจวนกันไปก่อนเลย ข้าจะไปประชุมกับพวกขุนนางก่อน”
ทุกอย่างถาโถมขึ้นพร้อมๆ กัน ทั้งฝ่าบาทที่ทรงเป็นลมหมดสติ ทั้งความวุ่นวายที่เกิดขึ้นที่ชายแดน
แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น พวกเขาหนีความจริงไม่พ้นอยู่ดี
กู้เจียวและเซียวเหิงขึ้นรถม้ากลับไปยังจวนกั๋วกง
ตอนนี้ข่าวได้แพร่กระจายมาถึงที่จวนแล้ว ผู้ดูแลเจิ้งหลังรู้ข่าวก็เอาแต่ก่นด่าพวกตระกูลหันและตระกูลหนานกง จากนั้นก็เริ่มก่นด่าแคว้นอื่นที่เอาแต่รอเหยียบย่ำซ้ำเติม ก่อนจะปิดจบด้วยการถามไถ่ถึงอาการประชวรของฮ่องเต้
ทุกคนต่างมารวมตัวกันที่ห้องโถง
จี้จิ่วนั่งบ่นอุบอิบอยู่ข้างๆ จวงไทเฮา “เหตุใดฝ่าบาทของพวกเราถึงมาร่วมขบวนกับเขาด้วย ไหนว่าเขาเป็นคนมีเมตตามิใช่รึ ฝ่าบาทไม่ใช่คนประเภทโจมตีใครก่อนอยู่แล้วมิใช่หรือ เขาไม่ใช่คนบ้าบิ่นแบบนั้น”
แล้วแคว้นที่เขาเลือกจะบุกโจมตีไม่ใช่แคว้นเล็กๆ แบบแคว้นเฉินนะ แต่เป็นแคว้นใหญ่อย่างแคว้นเยียนเชียวนะ
“แล้วใครกันเล่า” จี้จิ่วถาม
จวงไทเฮาเอ่ยเบาๆ “ถ้าไม่ใช่เซวียนผิงโหว ก็น่าจะเป็นถังเยว่ซาน” เป็นไปได้สูงที่จะเป็นถังเยว่ซาน เจ้านั่นชอบต่อสู้จะตาย
จี้จิ่วนึกยังไงก็นึกไม่ออกว่าเป็นใคร “อาเหิงเป็นพระราชนัดดาของแคว้นเยี่ยน เจียวเจียวเป็นบุตรบุญธรรมของกั๋วกง ถ้าสู้รบกันจริงๆ …คงน่าอึดอัดแน่”
จวงไทเฮาถลึงตาใส่เขาทันที นี่มันใช่เวลามาคิดเรื่องอึดอัดไม่อึดอัดไหม
จี้จิ่วกระแอมเบาๆ “แล้วมีความเห็นว่าอย่างไร”
จะมีความเห็นอะไรอีกล่ะ
ถ้าถามนาง นางคงอยากหิ้วเด็กสองคนกลับแคว้นเจาทันที ไม่ต้องมาข้องเกี่ยวกับแคว้นเยี่ยนอีก
แต่ก็รู้เป็นไปไม่ได้
วินาทีที่เด็กพวกนั้นย่างเท้าเข้ามาในแคว้นเยียนแห่งนี้ ชีวิตของพวกเขาก็ผูกกับชะตาของแคว้นนี้ทันที
นางแค่หวังว่าเจียวเจียวไม่ต้องไปออกรบอีก
แคว้นเยี่ยนมีนักรบเก่งๆ ตั้งมากตั้งมาย ไม่จำเป็นต้องให้เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ออกโรงหรอกกระมัง
ทว่า ตอนที่กู้เจียวกลับมาถึงจวนแล้วรีบตรงไปหาเจ้าเฮยเฟิงทันทีนั้น นางก็เข้าใจทุกอย่างในทันที
นางจึงกลับไปที่ห้องของตัวเองอย่างเงียบๆ
“นี่ จวงไท…” จี้จิ่วเกือบลืมไปว่ากั๋วกงและใต้เท้ารองจิ่งอยู่ที่นั่นด้วย ก่อนจะยิ้มหน้าเจื่อนก่อนจะเอ่ย “ขอตัวก่อนนะ”
แล้วเขาก็ตามจวงไทเฮาเข้าไปในห้อง
นางนั่งริมหน้าต่าง พร้อมกับเหม่อมองต้นไห่ถังที่อยู่ในสวน
“ทำอะไรของท่านน่ะ เดินออกมาไม่พูดไม่จา”
จวงไทเฮาไม่ตอบเขา
จี้จิ่วถอนหายใจ “ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย จะรีบ…”
“นางเพิ่งอายุสิบหกเองนะ”
จวงไทเฮาเอ่ย
จี้จิ่วถึงกับเงียบลงทันที
จวงไทเฮาเบือนหน้าลง พร้อมกับหยิบกระเป๋าใบใหม่ออกมาจากแขนเสื้อ “อีกสามเดือนนางก็อายุครบสิบเจ็ดแล้ว วันเกิดปีที่แล้วนางก็ไปออกรบ ปีนี้ก็คงเหมือนเดิม”
อายุสิบห้าสิบหกควรเป็นช่วงเวลาที่เด็กกำลังเติบโต สดใส และเบ่งบาน เจียวเจียวควรจะอยู่ในห้องส่วนตัวและได้รับการคุ้มครองจากผู้ปกครองด้วยซ้ำ แต่นี่อะไร เจียวเจียวกำลังจะออกรบเป็นครั้งที่สอง
เด็กอย่างเจียวเจียวไม่เคยได้หยุดพักเลยสักวัน
จวงไทเฮานึกมาตลอดว่าชีวิตนี้ตนทำงานหนักและเหนื่อยแค่ไหน แต่พอได้เจอเจียวเจียว นางก็ไม่เคยคิดแบบนั้นอีกเลย
ถ้านางเหนื่อยให้มากกว่านี้ จะทำให้เจียวเจียวสบายขึ้นได้บ้างไหม
“ท่านย่า”
เสียงของกู้เจียวดังขึ้นจากทางประตู ตามมาด้วยเสียงเคาะ “ข้าเข้าไปได้ไหม”
จวงไทเฮารีบเก็บกระเป๋า แล้วทำเสียงให้เหมือนเดิม “เข้ามาสิ”
กู้เจียวดันประตูออก ก็เห็นว่าในห้องไม่ได้มีแค่ท่านย่า “อ้าว ท่านจี้จิ่วก็อยู่ด้วยรึ”
“เจ้ามีธุระอันใดหรือ” จี้จิ่วหันไปถามกู้เจียวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม หลังจากเห็นสีหน้าทีสลัดความเศร้าออกอย่างรวดเร็วของจวงจิ่นเซ่อ
“ไม่มีอะไรมากหรอก ก็แค่…ตอนนี้สถานการณ์ที่นี่ไม่ค่อยสู้ดีนัก ข้าก็เลยปรึกษากับอาเหิง เราสองคนมองว่าควรพาพวกท่านเดินทางกลับไปที่แคว้นเยี่ยน” กู้เจียวเอ่ย
จวงไทเฮาเอ่ยตอบด้วยสีหน้าราบเรียบ “ต่อให้เจ้าไม่พูด พวกข้าก็เตรียมจะกลับกันอยู่แล้ว ข้าชักเบื่อที่นี่แล้วสิ”
การหลบหนีออกไปของตระกูลหันและตระกูลหนานกงทำแผนของพวกเสียหมด เดิมทีคนที่เป็นศัตรูของพวกเขาก็คือตระกูลทั้งสิบและฮ่องเต้แคว้นเยี่ยน กลายเป็นว่าตอนนี้ศัตรูของพวกเขาคือกองทัพทหารจากห้าแคว้น
จี้จิ่วรู้จักจวงจิ่นเซ่อดี นางไม่มีทางทิ้งกู้เจียวไว้แน่นอน ที่ต้องเดินทางกลับนั้นเป็นเพราะจำเป็นจริงๆ
ทันใดนั้น จี้จิ่วพลันนึกอะไรขึ้นได้ จึงบอกกับกู้เจียว “ที่ท่านย่าของเจ้าหมายถึงก็คือให้พวกเรารีบออกเดินทางไปที่ด่านชื่อสุ่ยก่อนที่กองทัพแคว้นเจาจะมาถึง ยับยั้งไม่ให้ทั้งสองแคว้นสู้รบกันจริงๆ ”
พวกเขาไม่มีปัญญาหยุดพวกแคว้นจิ้นแคว้นเหลียงก็จริง แต่กับแคว้นเจา แคว้นเฉิน และแคว้นจ้าว พวกเขายังพอมีวิธี
ไม่ว่าผู้นำทัพจะเป็นใคร เขาและจวงจิ่นเซ่อมีอำนาจมากพอที่จะหยุดพวกเขาได้
ส่วนฝั่งแคว้นเฉิน หลังจากกู้เจียวกับเซียวเหิงปรึกษากัน ก็สรุปได้ว่าให้เซียวเหิงไปเจรจากับหยวนถัง
โดยเซียวเหิงจะพกจดหมายลงนามของกู้เจียวรวมถึงจดหมายลงพระลัญจกรของพระราชนัดดาไปด้วย
อันที่จริงเรื่องนี้คนที่เหมาะสมที่จะไปเจรจาที่สุดคือกู้เจียว เพราะกู้เจียวสนิทกับหยวนถัง อีกทั้งหยวนถังยังรอที่จะตอบแทนบุญคุณกับกู้เจียวด้วย
เพียงแต่ มีความเป็นไปได้ว่าหากเดินทางไปถึง คนที่พวกเขาไปเจออาจไม่ใช่หยวนถัง และอีกอย่างคือ กู้เจียวมีเรื่องที่สำคัญกว่าต้องทำ
หยวนถังรู้จักกับเซียวเหิง แถมเป็นเซียวเหิงที่พาพยวนถังเดินทางออกจากแคว้นเจา ดังนั้นจึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่ให้ทำภารกิจนี้
นี่ไม่ใช่เป้าหมายเดียวในการไปเยือนแคว้นเฉิน เซียวเหิงกะใช้โอกาสนี้ในการห้ามกองทัพทหารของแคว้นจ้าวที่จะต้องเดินทางอ้อมแคว้นเฉินมาด้วย
นี่ไม่ใช่ภารกิจที่ง่ายเลย แต่หากพวกเขาไม่สามารถทำได้ ก็ยิ่งยากที่จะรับมือกับแคว้นจิ้นและแคว้นเหลียง
เมื่อแผนการทุกอย่างลงตัวแล้ว เซียวเหิงจึงรีบมุ่งหน้าไปที่วังและเล่าแผนการนี้ให้ซ่างกวานเยี่ยนได้ทราบ
ซ่างกวานเยี่ยนได้ทำการประชุมหารือกับขุนนางตระกูลใหญ่ทั้งคืน จนในที่สุดแผนการทั้งหมดก็ได้รับการสรุป
เซียวเหิงออกเดินทางในนามพระราชนัดดาแห่งแคว้นเยี่ยนไปยังชายแดนชางเสวี่ยทางตะวันออกเฉียงเหนือเพื่อเจรจาสันติภาพกับกองทัพแคว้นเฉิน โดยมีหวังซวี่เป็นผู้นำกองกำลังคุ้มกันให้เขาตลอดทาง
ขณะทีกั๋วกงอันเดินทางไปที่ด่านชื่อสุ่ยทางตะวันออกเฉียงใต้ในฐานะทูต เพื่อเจรจาสันติภาพกับกองทัพของแคว้นเจา โดยมีกองกำลังของเฟิงอู่ซิวหัวหน้าตระกูลเฟิงคอยคุ้มกัน
ส่วนเหตุผลที่ว่าทำไมเขาถึงเลือกเฟิงอู่ซิว ก็เพราะเขามีพี่ชายที่เก่งกาจอย่างนักพรตชิงเฟิง
จวงไทเฮาและจี้จิ่วอาวุโสก็อยู่ในขบวนนี้ด้วยเช่นกัน
คราวนี้ก็มาดูว่าใครกันที่ต้องเดินทางไปยังทิศตะวันตก
ทั้งด่านเทียนซานและเยียนเหมินล้วนตั้งอยู่ฝั่งตะวันตกของแคว้น ใช้เวลาเดินทางด้วยม้าราวสิบห้าวัน แต่หากเดินเท้าจะใช้เวลาราวหนึ่งเดือน
อีกนัยหนึ่งก็คือ กว่าพวกเขาจะเดินทางไปถึงที่นั่นก็เข้าเดือนเก้าแล้ว
ณ นอกตำหนักจินหลวน ซ่างกวานเยี่ยนเอ่ยขึ้นขณะมองดูทิศตะวันตกในแผนที่ “ช่วงนั้นอากาศเริ่มเย็นลงแล้ว เหล่าทหารต้องพกอาภรณ์กันหนาวไปด้วย”
เซียวเหิงมองนางนิ่งๆ “ท่านจะทำอะไรน่ะ”
“ข้าจะไปขอฎีกาอีกรอบ” ซ่างกวานเยี่ยนเอ่ย
โอกาสชนะครั้งนี้มีน้อยเหลือเกิน เหล่าทหารอาจหมดกำลังใจกันเสียก่อน ดังนั้นจะต้องมีคนของราชวงศ์ออกโรงเพื่อจุดไฟนักสู้ให้พวกเขา
ทว่า ฮ่องเต้มีพรรษามากแล้ว แถมยังประชวรอยู่ อาจไม่เหมาะเท่าไหร่นัก
และในวันเดียวกันนั้นเอง
ฮ่องเต้ทรงออกฎีกาให้องค์หญิงสามซ่างกวานเยี่ยนเป็นตัวแทนของจักรพรรดิในการนำทัพมุ่งหน้าไปยังทางทิศตะวันตก!
โดยทัพนี้มีกองกำลังทหารอัศวินดำห้าหมื่นนาย และกองทหารจักรวรรดิหนึ่งแสนสองหมื่นนาย
นี่เป็นกองกำลังทั้งหมดที่เซิ่งตูสามารถจัดกำลังได้แล้ว
เนื่องจากกองทหารที่เหลือถูกตระกูลหันและตระกูลหนานกงยึดไป หรือไม่ก็ถูกส่งไปประจำการตามชายแดนต่างๆ และในเมืองต่างๆ ทำให้ไม่สามารถระดมพลได้ง่ายๆ
ณ จวนกั๋วกง ขณะที่กู้เจียวกำลังให้เจ้าเฮยเฟิงลองสวมชุดเกราะ อันที่จริงมันมีชุดเดิมของมันอยู่แล้ว เพียงแต่มันอยู่ที่จวนตระกูลหัน กั๋วกงอันก็เลยสั่งทำขึ้นมาใหม่
กู้เฉิงเฟิงเดินเบะปากเข้ามาใกล้ๆ พร้อมกับเหน็บ “กำลังทหารของพวกเราแทบไม่ถึงครึ่งของอีกฝ่ายด้วยซ้ำ จะสู้ไหวรึ”
แม้แต่กู้เฉิงเฟิงเองก็เอ่ยคำว่า ‘พวกเรา’ ออกมาอย่างไม่รู้ตัว
“ก็สู้เท่าที่ไหวนั่นแหละ” กู้เจียวตอบขณะที่กำลังจัดแจงชุดเกราะของเฮยเฟิง
ขณะที่กู้เฉิงเฟิงกำลังจะตอบกลับ ก็เห็นใครบางคนหยุดยืนอยู่ที่ประตูจวน “พี่ใหญ่!”
สุขภาพของกู้ฉางชิงดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
เขามีดาบยาวห้อยอยู่ที่เอวและมีสัมภาระอยู่บนหลังราวกับว่าเขากำลังจะเดินทางไกล
“เจ้ามีเรื่องใหญ่กว่านั้นที่ต้องจัดการนะ” กู้เจียวตอบ
กองทัพที่มุ่งหน้าไปทางตะวันตกมีกำหนดออกเดินทางในวันที่ยี่สิบเดือนแปด
คืนก่อนออกเดินทาง กู้เจียวตัดสินใจแวะไปที่ตำหนักราชครู แต่ทันทีที่เปิดประตูห้องออก ก็เจอกับเซียวเหิงยืนอยู่พอดี
“มีธุระอะไรรึ”
เซียวเหิงกำลังจะตอบ แต่ก็ตัดสินใจไม่พูดอะไร
“มีอะไรก็พูดตรงๆ เลย” กู้เจียวเอ่ย
จากนั้นเซียวเหิงก็หยิบกล่องสองใบขึ้นมาแล้วมอบให้นาง
“อะไรน่ะ” กู้เจียวถาม
เขารู้สึกเขินเล็กน้อย จากนั้นพยายามหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเอ่ย “กล่องบนเป็นของขวัญวันเกิดของเจ้าเมื่อปีที่แล้ว ข้าเตรียมไว้นานแล้ว แต่ตอนนั้นเจ้าอยู่ที่ชายแดน ข้าเลยไม่มีโอกาสได้มอบให้ คราวนี้ ข้าคงไปกับเจ้าไม่ได้ ช่วงนั้นตรงกับวันเกิดของเจ้า ข้าก็เลยเอามาให้ล่วงหน้า”
กู้เจียวเปิดกล่องออก
ของขวัญปีก่อนเป็นดินสอสีทองหนึ่งแท่ง
เปลือกของมันทำจากทองคำบริสุทธิ์ และด้านในมีกลไกการหมุนที่สามารถเปลี่ยนแกนได้
ว้าว ดินสอกดโบราณเป็นแบบนี้นี่เอง
ส่วนของขวัญวันเกิดปีนี้ เป็นสมุดปกทองหนึ่งเล่มกับปิ่นผมหนึ่งคู่
จะว่าไปแล้วสมุดเล่มที่มีอยู่ของนางก็เริ่มจะใช้หมดแล้ว
ให้สมุดกับดินสออาจไม่แปลกเท่าไหร่สำหรับเขา แต่ปิ่นนี่สิ
โตแล้วสินะ เริ่มเลือกของขวัญเก่งขึ้นแล้ว
“ขอบใจมากนะ ข้าชอบมากเลย” กู้เจียวหยิบปิ่นหยกขาวขึ้นมาเบาๆ พร้อมกับเอ่ยชม
เมื่อเซียวเหิงเห็นว่ากู้เจียวเอ็นดูมันมาก ก็คิดในใจว่าคราวนี้ตัวเองเลือกของขวัญได้ดีมาก
เขาแอบถอนหายใจโล่งเบาๆ ก่อนพูดกับคนตรงหน้า “เมื่อครู่เจ้าจะออกไปไหนมิใช่รึ เจ้าไปก่อนเลย”
“อ้อ อื้อ” กู้เจียวเอากล่องของขวัญไปเก็บอย่างดีก่อน แล้วเดินออกจากห้อง
ขณะที่กำลังมองร่างเล็กกำลังเดินออกไป เซียวเหิงพยายามระงับความกังวลใจในดวงตาของเขาและตะโกนเรียกนาง “กู้เจียวเจียว เมื่อเจ้ากลับมา เราจะแต่งงานกัน”
กู้เจียวหันกลับมามองเขาด้วยสีหน้าสับสน “หืม เราแต่งงานกันแล้วไม่ใช่รึ”
เซียวเหิงคลี่ยิ้มบาง “แต่งงานกันในนามเซียวเหิงและกู้เจียวสิ ไม่ใช่เซียวลิ่วหลังและกู้เจียวเหนียง”
เขาอยากแต่งกับนาง ในนามเซียวเหิง
มุมปากกู้เจียวค่อยๆ ยกยิ้มขึ้น “ได้สิ”
รอก่อนนะ ฉันจะกลับมาแต่งงานกับคุณ