สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 822 เสียใจและเสียดาย
บทที่ 822 เสียใจและเสียดาย
แล้วสิ่งที่เซียวเหิงคาดการณ์ไว้ก็เกิดขึ้นจริงในไม่กี่วันถัดมา
กลางเดือนแปด มีข่าวมาจากประตูชายแดนเทียนซานว่ากองทัพแคว้นจิ้นกำลังเคลื่อนทัพเข้ามาใกล้
อีกสองวันถัดมา ก็มีข่าวจากประตูชายแดนเยียนเหมินว่ากองทัพแคว้นเหลียงกำลังเคลื่อนพลเข้ามาเช่นกัน
คนของตระกูลหันและตระกูลหนานกงต่างก็กำลังอยู่ระหว่างทาง พวกเขาคงติดต่อเจ้าหน้าที่รักษาชายแดนผ่านทางคนสนิทของพวกเขา
ประตูชายแดนเทียนซานควบคุมโดยกองกำลังของตระกูลหัน ในขณะที่ประตูชายแดนเยียนเหมินมีกองทหารของตระกูลหนานกงเป็นคนดูแล แม้ว่าจะมีนายพลที่มาจากตระกูลอื่นๆ ทว่าหัวหน้าแม่ทัพเป็นคนสนิทของทั้งสองตระกูลนี้ รายงานลับที่ว่ากว่าจะเดินทางมาถึงทั้งสองตระกูลต้องใช้เวลาเดินทางเป็นระยะเกือบแปดร้อยลี้ กองทหารของทั้งสองตระกูลจึงต้องเร่งมือขจัดอุปสรรคทั้งหมดและควบคุมสถานการณ์ที่ประตูชายแดนให้ได้
และเมื่อรายงานลับเดินทางมาถึงเมืองเซิ่งตู ฮ่องเต้ทรงกริ้วเสียจนเขวี้ยงพระราชลัญจกรจนแตกเป็นเสี่ยงๆ
เหล่าขันทีและนางข้าหลวงตกใจจนรีบคุกเข่าอย่างแตกตื่น
แม้แต่จางเต๋อเฉวียนเองก็ทำอะไรไม่ถูก
ใครจะไปคิดละว่าการจับกุมแม่นางหันและไท่จื่อจะนำมาสู่การก่อกบฏของทั้งสองตระกูล
ที่แย่กว่าคือทั้งสองตระกูลนี้หยิ่งยโสและจองหองยิ่งกว่าตระกูลเซวียนหยวนเสียอีก
อย่างน้อยตระกูลเซวียนหยวนก็ไม่ได้กบฏเพราะพวกเขาก่ออาชญากรรมและกลัวที่จะถูกจับได้
เซวียนหยวนตัดสินใจก่อกบฏหลังจากรู้เรื่องข้อตกลงลับระหว่างฮ่องเต้กับแคว้นจิ้นและเหลียง
ในห้องทรงงานวันนั้น มีเพียงแค่ฮ่องเต้ เซวียนหยวนลี่ และจางเต๋อเฉวียนสามคนเท่านั้น
คำเอ่ยของเซวียนหยวนลี่ในวันนั้นยังคงฝังใจจางเต๋อเฉวียนมาจนถึงทุกวันนี้
เขาเอ่ยว่า ‘ซ่างกวานจิ้งหยาง ท่านคิดจริงๆ หรือว่าตระกูลเซวียนหยวนของพวกเราเป็นภัยร้ายต่อท่าน ท่านเลือกใช้วิธีสกปรกเพียงเพื่อที่จะกำจัดพวกเราเนี่ยนะ! สักวันหนึ่งท่านจะต้องเสียใจ!’
เวลาผ่านไปสิบหกปี ในที่สุดคำเอ่ยของเซวียนหยวนลี่ก็เป็นจริง
ความทะเยอทะยานของแคว้นจิ้นและเหลียงไม่สามารถปกปิดได้อีกต่อไป ทว่าแคว้นเยี่ยนได้สูญเสียกองทัพที่แข็งแกร่งนับล้านของตระกูลเซวียนหยวนแล้ว จะเอากองกำลังที่ไหนมาต่อสู้กับอีกสองแคว้นได้
ส่วนกองกำลังเกือบครึ่งที่ตระกูลหันและตระกูลหนานกงได้ไปนั้นยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง!
แล้วจะสู้สงครามได้อย่างไร
มีโอกาสชนะด้วยหรือ!
หากเซวียนหยวนลี่และบุตรชายทุกคนของตระกูลเซวียนหยวนยังมีชีวิตอยู่ บางทีอาจจะยังพอมีโอกาสบ้าง
ทว่า…พวกเขาไม่อยู่แล้ว
นับตั้งแต่แม่นางหันเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงออกมา ฮ่องเต้ก็ทรงจมอยู่กับความเสียใจและเสียดาย ไม่ว่าจะเป็นปัญหาภายในหรือภายนอก ตราบใดที่ตระกูลเซวียนหยวนยังอยู่ที่นี่ คงไม่ปล่อยให้สัมภเวสีพวกนี้มีโอกาสออกมาเพ่นพ่าน
เขาหวาดหวั่นกับความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของตระกูลเซวียนหยวนมากเกินไป จึงหมกมุ่นกับการทำลายตระกูลเซวียนหยวนทั้งหมด เพียงเพราะคำทำนายเดียว
แต่ท้ายที่สุด แผ่นดินและผืนน้ำของแคว้นเยี่ยนก็ตกอยู่ในอันตรายอยู่ดี!
ฮ่องเต้พยายามสูดลมหายใจลึกและทำจิตใจให้สงบลง “ข้ายังมีกองทัพขนาดใหญ่ กองกำลังของตระกูลหวังและตระกูลมู่ และทหารม้าเฮยเฟิง… ข้าไม่อาจแพ้ได้…”
“รายงานขอรับ”
เสียงของสายสืบดังขึ้นจากนอกห้องทรงงาน
“ให้เข้ามาได้!” ฮ่องเต้รับสั่ง
จางเต๋อเฉวียนจึงพาสายสืบเข้ามาในห้อง
กลายเป็นว่า ไม่ได้มีสายสืบแค่คนเดียว
“ทูลฝ่าบาท รายงานด่วนจากประตูชายแดนชางเสวี่ย พบว่ากองกำลังทหารของแคว้นเฉินกำลังมุ่งหน้ามาทางฝั่งตะวันออกขอรับ!”
“ทูลฝ่าบาท พบกองกำลังทหารจากแคว้นจ้าวขอรับ!”
“ทูลฝ่าบาท รายงานจากประตูชายแดนชื่อสุ่ย พบทหารของแคว้นเจาขอรับ!”
ทหารจากห้าแคว้นกำลังมุ่งหน้ามาทางแคว้นเยี่ยน
คราวนี้ไม่ใช่แค่แคว้นจิ้นและแคว้นเหลียงแล้ว แม้แต่แคว้นระดับล่างอีกสามแคว้นก็เล็งจะคาบชิ้นเนื้อก้อนใหญ่ที่ชื่อแคว้นเยี่ยนแห่งนี้
หากเป็นในอดีต สามอาณาจักรระดับล่างคงไม่กล้าที่จะทำเช่นนี้ แต่ข่าวที่แคว้นจิ้นและเหลียงได้เคลื่อนพลไปยังแคว้นเยี่ยนได้กลายเป็นข่าวใหญ่ที่ทำให้แคว้นที่เหลือตกตะลึง ซ้ำยังมีข่าวดีเกี่ยวกับการแปรพักตร์ของตระกูลหันและตระกูลหนานกงอีก
หากไม่แบ่งเค้กกันตอนนี้ จะให้รอตอนไหน
หลังจากได้ฟังรายงานทั้งหมด ฮ่องเต้ก็พลันเกิดความดันขึ้นสูง ก่อนจะอาเจียนออกมาเป็นเลือด และเป็นลมหมดสติไป!
จางเต๋อเฉวียนรีบตามหมอหลวงแล้ววานให้คนไปตามกู้เจียว ซ่างกวานเยี่ยนกับเซียวเหิงเข้าวังโดยเร็วที่สุด
เรื่องราวที่เกิดขึ้น เอ่ยตามตรงว่าใหญ่กว่าที่คาดการณ์กันไปเยอะมาก
ตอนแรกพวกเขามองว่าหากหยุดตระกูลหันไว้ ก็จะสามารถป้องกันสงครามกลางเมืองได้ เพราะหากปราศจากสงครามกลางเมืองแล้ว ทั้งแคว้นจิ้นและเหลียงก็ไม่สามารถเข้ามาแทรกแซงได้
แต่หารู้ไม่ว่าทั้งตระกูลหันและตระกูลหนานกงร่วมมือกันก่อกบฏ ไม่เพียงแต่นำมาซึ่งความขัดแย้งภายในเท่านั้น แต่ยังจุดชนวนชายแดนทั้งหมดของแคว้นเยี่ยนอีกด้วย เปลี่ยนการรุกรานของทั้งสองแคว้นให้กลายเป็นห้าแคว้นไปโดยปริยาย
ในความฝัน ทั้งแคว้นจ้าว แคว้นเจา และแคว้นเฉินต่างก็ไม่ได้มีส่วนร่วมในศึกแต่ออย่างใด เพราะในเวลานั้นแคว้นเยี่ยนอ่อนแอมาก จึงถูกแคว้นจิ้นและเหลียงยึดไปได้อย่างง่ายดาย
ผิดกับความเป็นจริงที่ตอนนี้แคว้นเยียนมีทั้งกองกำลังทหารที่แข็งแรง ความพ่ายแพ้นั้นเกิดขึ้นแน่นอน แต่มันจะเป็นการต่อสู้ที่ดุเดือด และไม่มีเวลาดูแลดินแดนทางตะวันออกของแคว้นเยี่ยน
“นี่มันแย่เสียยิ่งกว่าในฝันอีก”
กู้เจียวฝันเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้ามาก็หลายครั้ง แต่ครั้งนี้ดูจะเหนือการควบคุมมากที่สุด
ทุกคนจะต้องเจอจุดจบแบบในภาพฝันจริงๆ หรือ
และแล้วรถม้าก็เดินทางมาถึงวัง
ฮ่องเต้เพิ่งประสบกับโรคหลอดเลือดสมองและได้รับการช่วยเหลือจากหมอหลวงได้ทันเวลา พระองค์ดูซีดเซียวและดูชราขึ้นเป็นสิบปี
ทรงกำลังบรรทมอยู่บนเตียงมังกรสีเหลืองสดใส ลมหายใจค่อนข้างอ่อน
พระองค์ได้ลิ้มรสความสำนึกผิดและผลลัพธ์อันขมขื่นจากการกระทำในอดีต
หลังจากกู้เจียวตรวจพระวรกาย แม้จะไม่มีอะไรร้ายแรง เพียงแต่ร่างกายจะไม่สามารถกลับมาคล่องตัวเหมือนเดิมได้ในระยะสั้น
กู้เจียวและเซียวเหิงเห็นว่าฝ่าบาทต้องการจะเอ่ยคุยกับซ่างกวานเยี่ยน จึงเดินออกไปเพื่อให้พวกเขามีเวลาส่วนตัว
จางเต๋อเฉวียนและบ่าวคนอื่นๆ ก็เดินออกไปเช่นกัน
ทั้งห้องเหลือเพียงแค่สองพ่อลูก
ซ่างกวานเยี่ยนยืนอยู่หน้าเตียงมังกร มองดูร่างชราและอ่อนแออย่างเหนื่อยหน่าย ก่อนจะเอ่ยคำถามที่มาจากก้นบึ้งหัวใจ “นึกเสียพระทัยกับสิ่งที่กระทำลงไปแล้วใช่ไหม”
ริมฝีพระโอษฐ์ของฮ่องเต้กระตุกสองครั้ง ร่องรอยของความเสียใจปรากฏขึ้นในดวงพระเนตรอันขุ่นมัว แต่ลึกๆ ข้างใน ทรงดื้อรั้นและไม่เต็มพระทัยที่จะยอมรับว่าเขาเป็นคนเหลาะแหละ
แม้อันที่จริงจะทรงเสียพระทัยมาเป็นเวลานานแล้ว
เพียงแต่ตัวพระองค์เองยังทรงคาดไม่ถึงว่าจะเสียพระทัยได้มากขนาดนี้
เป็นพระองค์เอง ที่ทำลายผืนน้ำและแผ่นดินแคว้นเยี่ยน หาใช่เซวียนหยวนไม่
เป็นพระองค์เอง ที่ทำลายเซวียนหยวน ทำลายเกราะป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุดของแคว้น
ทำให้แคว้นเยี่ยนกลายเป็นเนื้อบนเขียง จนอีกห้าแคว้นที่เหลือพร้อมจะยกมีดขึ้นมาหั่นลงไปบนเนื้อชิ้นนี้
ทรงนึกเสียพระทัยนับครั้งไม่ถ้วน หากตระกูลเซวียนหยวนยังอยู่ คงไม่มีใครกล้าบุกรุกกันแบบนี้!
“ระ…วัง…”
ฮ่องเต้พยายามตรัสด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้งเพราะเพิ่งเป็นลมไปหมาดๆ
“ท่านจะให้ข้าปกป้องแคว้นรึ” ซ่างกวานเยี่ยนเอ่ย “ข้าไม่สัญญาหรอก”
“ตัว…”
ฮ่องเต้ทรงต้องการตรัสว่า ระวังตัว รีบหนีไป
แคว้นเยี่ยนใกล้ถึงกาลดับสูญแล้ว
องค์หญิงแคว้นเยี่ยนจะต้องตกที่นั่งลำบากแน่นอน
รีบพาเด็กสองคนหนีไปเสีย แล้วอย่ากลับมาอีก
ฮ่องเต้ทอดพระเนตรไปทางประตูที่ถูกเปิดแง้มไว้ เห็นเพียงเงาของเซียวเหิงที่สะท้อนลงพื้น
อีกทั้งพยายามอ้าปากเอ่ยชื่อเขาออกมา แต่ท้ายที่สุดก็ไม่ได้เรียก
–
กู้เจียวและเซียวเหิงนั่งยองบนพื้น เซียวเหิงหักกิ่งไม้แล้ววาดแผนที่ทั้งหกแคว้น
“แคว้นเยี่ยนตั้งอยู่ตรงกลาง ทิศเหนือคือปิงหยวน ทิศใต้คือชื่อสุ่ย ส่วนบริเวณตะวันตกติดกับชายแดนแคว้นจิ้นและเหลียง เกิดเป็นรอยต่อสามเหลี่ยมของสามแคว้นพอดี”
กู้เจียวทำท่าเข้าใจ “มิน่าล่ะ แคว้นจิ้นถึงได้ตีสนิทกับแคว้นเหลียงในตอนแรก เพื่อกันไม่ให้แคว้นเยี่ยนกับแคว้นเหลียงเป็นพันธมิตรกัน”
เซียวเหิงพยักหน้า “ใช่แล้ว”
“แล้วฝั่งตะวันออกล่ะ” กู้เจียวถาม
เซียวเหิงใช้กิ่งไม้ชี้ไปทางวงกลมเล็กๆ สองวง พร้อมอธิบายต่อ “ทิศตะวันออกเป็นแค้วเฉินกับแคว้นเจา แคว้นเฉินอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนแคว้นเจาอยู่ทิศตะวันออกเฉียงใต้ แคว้นจ้าวตั้งอยู่ไกลหน่อย ต้องอ้อมแคว้นเฉินไปจึงจะถึงแคว้นจ้าว”
“ชายแดนเทียนซานที่ติดกับแคว้นจิ้นมีคนของตระกูลหันคุ้มกัน ขณะที่ชายแดนเยี่ยนเหมินที่ติดกับแคว้นเหลียงก็มีตระกูลหนานกงดูแล…แล้วฝั่งชายแดนที่ติดกับแคว้นเฉินและแคว้นเจาล่ะ”
เซียวเหิงอธิบายต่อ “ประตูชายแดนชางเสวี่ยได้รับการปกป้องโดยกองทหารของตระกูลมู่ เพื่อป้องกันไม่ให้ทหารม้าของแคว้นเฉินรุกราน ส่วนประตูชายแดนชื่อสุ่ยได้รับการปกป้องโดยกองทหารของตระกูลหวัง เพื่อกันไม่ให้กองทัพเรือแคว้นเจาโจมตี ส่วนแคว้นจ้าวต้องเดินทางอ้อมผ่านแคว้นเฉินแล้วบุกเข้ามาทางที่ใกล้ที่สุด นั่นก็คือประตูชายแดนฉางผิง ซึ่งมีกองทหารท้องที่ประจำการอยู่”
กู้เจียวนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนถามต่อ “แคว้นจ้าวอยู่ไกลที่สุด คงมาถึงช้ากว่าใครเพื่อน”
เซียวเหิงมองดูแผนที่พร้อมกับเอ่ย “แคว้นที่น่าจะบุกมาถึงก่อนน่าจะเป็นแคว้นจิ้นและแคว้นเหลียง รองลงมาคือกองทัพเรือแคว้นเจา จากนั้นเป็นทหารม้าแคว้นเฉิน”
“ใครเป็นผู้นำทัพของแคว้นเจา” กู้เจียวถาม
เซียวเหิงครุ่นคิดอยู่ซักพัก ก่อนตอบ “หากไม่มีอะไรผิดพลาด คนที่นำทัพก็น่าจะเป็นเซวียนผิงโหวพ่อของข้าเอง”
กู้เจียว “…”
พวกเขาจะเข้ามาโจมตีจริงๆ ใช่ไหม
“แล้วแคว้นเฉินเล่า” กู้เจียวถามต่อ
“ตอนนี้ยังไม่มีความคืบหน้าเรื่องข่าวจากแคว้นเฉินก็จริง แต่ปีก่อนพวกเขาเพิ่งแพ้สงครามไป เพื่อเป็นการปลุกใจเหล่าทหาร พวกเขาน่าจะให้หยวนถังขึ้นนำทัพนะ”
ส่วนแคว้นจ้าว เซียวเหิงไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่นัก
แต่ที่แน่ๆ คือ แคว้นเยี่ยนไม่สามารถต้านกำลังทหารจากห้าแคว้นในช่วงเวลาเดียวกันได้อย่างแน่นอน
กู้เจียวยังคงถามอีก “ทั้งฝ่าบาทและหยวนถังต่างไม่รู้ว่าพวกเราอยู่ที่นี่ ถ้าพวกเขารู้ว่าคนที่พวกเขากำลังจะโจมตีคือพวกเรา… พวกเขาจะยอมหยุดหรือไม่”
เซียวเหิงเริ่มเข้าใจที่นางเอ่ย “เจ้า…จะเป็นคนออกรบรึ”
กู้เจียวนั่งยองลงบนพื้น พร้อมกับวาดรูปกลมๆ ก่อนจะตอบเขาด้วยสีหน้าและน้ำเสียงเรียบเฉย “ก็ข้าเป็นผู้บัญชาการกองทัพเฮยเฟิง อย่างไรคงต้องออกศึกอยู่ดี”
อันที่จริง นางจะถอนตัวจากการเป็นผู้บัญชาการเมื่อใดก็ได้
เซียวเหิงอ้าปากพะงาบ “เจ้า…”
“ข้าไม่ได้ทำเพื่อเจ้ากับจิ้งคงอย่างเดียวหรอก”
นางเข้าใจสิ่งที่เขาต้องการจะเอ่ย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมองผืนฟ้าที่ไม่มีที่สิ้นสุด
“ข้าแค่รู้สึกว่า ข้าต้องทำสิ่งนี้”