สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 738-3 สิบตระกูลใหญ่ (3)
บทที่ 738 สิบตระกูลใหญ่ (3)
ทั้งชายชุดดำและพ่อค้าปลอมต่างออกค้นหาทุ่งข้าวฟ่างทั้งหมด ก่อนที่พวกเขาจะรู้ว่าถูกหลอก
พวกเขาไม่เจอใครเลย!
ไม่มีทั้งเงาคน หรือแม้แต่ร่องรอยการหลบหนีเลย!
นอกจากนี้ พ่อค้าปลอมยังตระหนักถึงปัญหาที่น่ารำคาญยิ่งกว่านั้นอีก “ข้าว่า ไม่มีใครมาช่วยพวกเขาหรอก พวกเขาแอบหนีไปเองต่างหาก!”
“ไยเจ้าคิดเช่นนั้น” ชายชุดดำเอ่ยถาม
“เจ้าคิดดูนะ หากมีคนค้นพบที่ซ่อนของพวกเราจริงๆ คิดหรือว่าทางการจะไม่เข้ามาตรวจค้นน่ะ”
ชายชุดดำถึงกับร้องอ๋อ
“ต้องเป็นฝีมือเจ้าเด็กนั่นแน่ๆ ! จับได้เมื่อไหร่จะเชือดทิ้งเลยคอยดู!”
ทั้งสองจึงมุ่งหน้าไปยังผืนป่า
ป่าเต็มไปด้วยต้นไม้สูงตระหง่าน กิ่งก้านและใบไม้ให้ร่มเงา และแม้แต่อุณหภูมิก็ยังเย็นกว่าภายนอกมาก
ชายชุดดำเอ่ยขึ้นขณะกำลังเดินอยู่ “ที่จริง พวกเราไม่ต้องหาองค์หญิงให้เจอก็ได้ไม่ใช่รึ ให้คนของตระกูลอื่นออกตามหาก็ได้นี่ ใช่ว่าพวกเราจะได้คุณงามความดีเพราะเรื่องนี้สักหน่อย”
ทว่าพ่อค้าปลอมกลับไม่เห็นด้วย “ก็จริงอย่างเจ้าว่า แต่เราต้องแน่ใจว่าตระกูลหันจะไม่ได้รับคุณงามความดีเช่นกัน! หากพวกเขาเกิดเจอตัวองค์หญิงตัวน้อยก่อนละ ที่เราลงทุนไปทั้งหมดก็เสียเปล่าน่ะสิ!”
“จริงด้วย” ชายชุดดำพูดพลางคิดตาม
“เราจะประมาทพวกตระกูลหันไม่ได้เด็ดขาด แต่จะดีที่สุดถ้าพวกเราได้หน้าในครั้งนี้”
ระหว่างที่สนทนาอยู่นั้น พวกเขาเดินออกไปไกลเรื่อยๆ
บนต้นมะเดื่อที่สูงชะลูดและมีอายุนับศตวรรษ ชายวัยกลางคนในวัยสี่สิบต้นๆ กระโดดลงมาพร้อมกับทหารยามอีกหนึ่งนาย
ชายวัยกลางคนหันไปมองที่ต้นไม้สูงอีกฝั่ง แล้วตะโกนขึ้น “ท่านเจ้าตระกูลหยาง ยังซ่อนอยู่ที่เดิมอีก ไม่ร้อนรึ”
ไม่นาน ก็ปรากฏบุรุษอีกคนที่อายุราวห้าสิบสวมชุดผ้าทอสีน้ำเงินโดยมีนายทหารสองคนพาเขาลงมาบนพื้น
แล้วเอ่ยทักอีกฝ่าย “นายท่านตระกูลต่ง”
ชายวัยกลางคนที่ถูกเรียกว่าเจ้าตระกูลต่งทำหน้ายิ้มแย้มและมองไปรอบๆ “ทุกท่าน โปรดออกมาเถอะ ในป่านี้มียุงมากมาย ไม่คุ้มที่จะซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้และถูกยุงกัดหรอก”
ทันทีที่สิ้นเสียง ชายอีกสามคนก็ปรากฏกายพร้อมทหารยามของพวกเขา
เจ้าตระกูลต่งหัวเราะชอบใจ แล้วหันไปมองพวกเขาทีละคน “ใต้เท้าเฉิน ใต้เท้าตู้ ใต้เท้าเฟิ่ง และท่านชายเฟิง”
สามคนแรกมีอายุใกล้เคียงกับเขาและต่างก็อยู่ในช่วงรุ่งโรจน์ ขณะที่ท่านชายเฟิงมีอายุเพียงยี่สิบสามปีในและเป็นหัวหน้าตระกูลที่อายุน้อยที่สุดในบรรดาตระกูลชนชั้นสูงของแคว้นเยี่ยน
ที่เขาขึ้นมาอยู่ตำแหน่งหัวหน้าตระกูลทั้งๆ ที่อายุยังน้อยไม่ใช่เพราะความสามารถของเขา เพียงแต่ผู้เฒ่าทุกคนของตระกูลเฟิงจากไปแล้ว เหลือเพียงเขาและพี่ชายอีกคนที่ต้องพึ่งพาอาศัยกันและช่วยเหลือประคับประคองความไม่มั่นคงของตระกูล
ใต้เท้าต่งยิ้มอย่างยินดีพลางเอ่ย “ดูเหมือนว่าทุกคนจะจับตาดูพวกเขาตั้งแต่ตอนเดินเข้าไปในป่าสินะ ดังนั้นทุกคนคงได้ยินบทสนทนาของพวกเขาด้วยเช่นกัน ชายที่แต่งตัวเป็นพ่อค้าหาบเร่คือปรมาจารย์นักต่อสู้ที่ตระกูลมู่เชิญจากสนามศิลปะการต่อสู้ใต้ดินเมื่อไม่กี่ปีก่อน”
ใต้เท้าเฉิน “แปลว่าเป็นฝีมือของตระกูลมู่อย่างนั้นรึ พวกเขาคงต้องการต่อกรกับตระกูลหันสินะ”
ใต้เท้าต่งหัวเราะ “ดูเหมือนจะเป็นอย่างที่ท่านว่า”
ใต้เท้าตู้ถามต่อ “เหตุใดพวกเขาถึงกล้าทำเช่นนั้นล่ะ”
“มีเรื่องเกิดขึ้นกับหวั่นเฟย พวกเขาก็เลยออกอุบายเอาคืนตระกูลหัน พวกท่านสังเกตไหมว่าเรื่องนี้มีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร”
“ก็พูดตรงๆ เลยสิว่าหันกุ้ยเฟยปองร้ายหวั่นเฟย!” ใต้เท้าเฟิ่งโพล่งขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์
ใต้เท้าต่งยังคงคลี่ยิ้ม “ท่านเป็นคนพูดเองนะ ข้าไม่ได้พูดอะไรเลย”
“เจ้า” ใต้เท้าเฟิ่งถึงกับอ้ำอึ้ง
ในบรรดาสิบตระกูล ตระกูลต่งมีชื่อเสียงในเรื่องความเจ้าเล่ห์เพทุบายราวจิ้งจอกที่สุด
ทุกคนมักตกหลุมพรางกับบทสนทนาของเขา
ใต้เท้าต่งยังคงทำหน้ายิ้มดีแล้วเอ่ยต่อ “พวกท่านเห็นหรือไม่ว่าตระกูลขุนนางอื่นๆ มาถึงกันหมดแล้ว ยกเว้นตระกูลมู่ ตระกูลหวัง ตระกูลซู และตระกูลหัน ข้ามีข้อเสนอบางอย่าง ไม่รู้ว่าพวกท่านอยากฟังหรือไม่”
ใต้เท้าเฟิ่งทนไม่ได้กับการเล่นลีลาของอีกฝ่าย “มีอะไรก็พูดมาตรงๆ !”
มีลมก็ผายออกมา!
ใต้เท้าต่งเหลือบมองทุกคนทีละคน “ตระกูลมู่มีความสัมพันธ์กันกับตระกูลหวังและตระกูลซูผ่านการสมรส หากมีอะไรเกิดขึ้นกับตระกูลมู่ คงจะเป็นเรื่องยากสำหรับทั้งสองครอบครัวที่จะแยกจากกัน แม้ว่าพวกเขาจะไม่โดนร่างแหไปด้วย แต่พวกเขาก็แทบไม่ได้ผลประโยชน์อะไร”
“เจ้าต้องการจะบอกอะไร” ใต้เท้าเฟิ่งเริ่มหมดความอดทนกับชายคนนี้เหลือเกิน
ใต้เท้าต่งเอามือไพล่หลังแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ตระกูลมู่ออกอุบายลักพาตัวองค์หญิงน้อยคงหนีไม่พ้นโทษประหาร ส่วนตระกูลหันมีความผิดฐานละเลยในหน้าที่ แต่ความผิดแค่นี้แน่นอนว่ายังไม่พอที่จะโค่นล้มทั้งสองตระกูลได้ แต่ถ้าเกิดว่า… ถ้า… เกิดอุบัติเหตุขึ้นกับองค์หญิงน้อย สองตระกูลนี้… จะเหลือทางรอดอีกหรือ”
“เช่นนั้น ที่เจ้าหมายความก็คือ…” ใต้เท้าตู้เริ่มขมวดคิ้ว
“ที่ข้าหมายถึงก็คือ แทนที่พวกเราทั้งหกจะแข่งขันกันเพื่อตามหาองค์หญิงน้อย มันจะดีกว่าถ้าเอาชนะตระกูลมู่และตระกูลหัน และแบ่งอำนาจของพวกเขาโดยตรง! ด้วยวิธีนี้ ทุกคนจะสามารถใช้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้ได้” ใต้เท้าต่งคลี่ยิ้มตามเดิมแต่คราวนี้แววตาของเขากลับดูแข็งทื่อและเย็นชามากขึ้น
ใต้เท้าหยางผู้ซึ่งอาวุโสสุดในบรรดาเจ้าตระกูลโพ่งเสียงหัวเราะขึ้นทันที “สมกับเป็นจิ้งจอกในคราบมนุษย์ แผนของท่านช่างร้ายกาจนัก”
ใต้เท้าต่งหันไปมองเขา แล้วเอ่ยต่อ “ทั้งตระกูลหันและตระกูลมู่เรียกได้ว่าเป็นเนื้อชิ้นใหญ่ ท่านไม่อยากลองงับเนื้อชิ้นนั้นดูหน่อยรึ ทั้งทหารม้าเอย ค่ายทหารเอย…เมื่อก่อนตระกูลของพวกเราก็สนับสนุนกำลังไปตั้งมากมาย ไยตระกูลของพวกเราถึงได้กองกำลังทหารของเซวียนหยวนมาครอบครองล่ะ”
และแล้วความเงียบก็ครอบงำ
พวกเขาจ่ายราคามหาศาลเพื่อเอาชนะตระกูลเซวียนหยวน แต่สุดท้ายแล้วพวกเขาก็ไม่ได้รับอำนาจทางทหารเลย
ตระกูลหนานกงไม่นับเพราะพวกเขาเป็นนายพล แต่เหตุใดตระกูลมู่ที่เป็นตระกูลบุ๋นมาหลายชั่วอายุคนถึงได้รับส่วนแบ่งเฉยเลยล่ะ!
พวกเขาไม่พอใจอย่างมาก!
พวกเขาเริ่มเกิดกิเลสขึ้นมาเล็กน้อย
“ขอตัวก่อนล่ะ” ท่านชายเฟิงกลับหลังหันและเดินออกไปอย่างไม่ไยดี
ใต้เท้าต่งหันไปทางแผ่นหลังของเขา หรี่ตาลงเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยถาม “ไม่ทราบว่าท่านชายเฟิงตกลงจะร่วมมือหรือไม่”
“ไม่ล่ะ” เฟิงอู๋ซิวโบกมือปัด
“เช่นนั้น คงไม่อาจให้ท่านจากไปง่ายๆ หรอก” ใต้เท้าต่งพูดขู่
“ถ้าท่านคิดว่าห้ามข้าได้ ก็ลองดู” อู๋ซิวเฟิงมองอีกฝ่านด้วยหางตา
ทันใดนั้น ทหารองครักษ์ของตระกูลต่งก็ชักดาบขึ้นมาทันที
ทว่าในตอนนั้นเอง ปรากฏนักบวชลัทธิเต๋าหนุ่มในชุดคลุมสีน้ำเงินกระโดลงมาจากท้องฟ้าและเข้ามายืนกำบังให้เฟิงอู๋ซิว
ทุกคนต่างพากันตกตะลึง
“ท่านนักบวชชิงเฟิง!” ใต้เท้าหยางตะโกนร้องอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง
แม้เฟิงอู๋ซิวจะอายุยังน้อย แต่ท่าทีของเขาไม่ได้อ่อนแอเลย “ข้าไม่สนใจข้อเสนอของท่าน และจะไม่เล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง ตระกูลเฟิงของพวกเราจะปฏิบัติภารกิจนี้ให้ได้!”
ต่อให้ใต้เท้าทุกคนในนี้รวมพลังกัน พวกเขาก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนักบวชชิงเฟิง…ใต้เท้าต่งคลี่ยิ้ม
“เมื่อครู่นี้ข้าแค่หยอกเล่นก็เท่านั้น จะจริงจังไปไย เอาละ ทุกแยกย้ายไปทำหน้าที่ของตัวเองเถิด แล้วมาดูกันว่าใครจะหาองค์หญิงเจอก่อน!”
บ้าจริง เจ้าเฟิงอู๋ซิว บังอาจทำแผนเสียหาย น่าโมโหจริงๆ !
“ไปกันเถอะ ท่านพี่” เฟิงอู๋ซิวเอ่ยกับนักบวชชิงเฟิง