สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 738-2 สิบตระกูลใหญ่ (2)
บทที่ 738 สิบตระกูลใหญ่ (2)
ณ ห้องพักแห่งหนึ่ง ชายชุดดำพร้อมด้วยพ่อค้าตัวปลอมที่เพิ่งทำแผลเสร็จกำลังนั่งคุกเข่าอยู่ด้านหน้าชายคนหนึ่งที่สวมเสื้อคลุมสีเทา
ด้วยความที่อากาศอบอ้าว ชายคนนั้นจึงถอดเสื้อคลุมลงและถอดหน้ากากออก
“จัดการเรียบร้อยแล้วใช่ไหม”
พ่อค้าปลอม “จับตัวมาได้แล้วขอรับ”
ชายชุดดำเอ่ยเสริม “แล้วก็มีเด็กอีกคนที่จับมาได้ขอรับ”
พ่อค้าปลอมคิดในใจ ไม่พูดสักคำจะลงแดงตายรึไง
“หมายความว่าอย่างไร” ชายคนนั้นเอ่ยถามพร้อมย่นคิ้ว
พ่อค้าปลอมชี้ไปที่ต้นขาที่บาดเจ็บของตัวเองแล้วอธิบาย “เด็กคนนั้นเป็นเพื่อนร่วมชั้นขององค์หญิงน้อยขอรับ เอาแต่กัดขาของข้าน้อย สลัดยังไงก็ไม่ยอมหลุด เลยต้องพาตัวมาด้วยขอรับ! แต่ท่านโปรดอย่ากังวลเลย เจ้าเด็กคนนั้นเป็นเด็กยากจน ไม่มีพ่อแม่ด้วยซ้ำ มีเพียงพี่สาวที่เรียนอยู่ในสำนักบัณฑิตข้างๆ เท่านั้น ไม่มีใครสนใจความเป็นอยู่ของเขาหรอกขอรับ!”
“ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ดี!” ชายคนนั้นพูดอย่างไม่สบอารมณ์
ชายชุดดำระแคะระคายใจบางอย่าง จึงเอ่ยปากถาม “นายท่าน แล้วเราจะไม่ให้องค์หญิง… ทานอะไรเลยหรือขอรับ นี่ก็บ่ายแล้ว นางยังไม่ได้กินอะไรเลยขอรับ”
ชายคนนั้นได้แต่ตอบเสียงห้วน “ก็ให้ทรมานไปสิ ฮ่องเต้จะได้รู้สึกสงสารและโกรธแค้นในคราวเดียวกัน”
“ไม่กลัวว่าจะเกิดเรื่องหรือขอรับ” ชายชุดดำถาม
“ให้อดข้าววันสองวันไม่ถึงตายหรอก เดี๋ยวตอนค่ำค่อยเอาน้ำให้กินก็ได้”
ชายชุดดำ “…ขอรับ”
ณ ห้องเก็บฟืน เด็กน้อยทั้งสองนั่งพิงกำแพงอย่างหมดอาลัยตายอยาก
“จิ้งคง ข้าหิวแล้ว” องค์หญิงน้อยเริ่มงอแง
จิ้งคงตื่นได้พักหนึ่งแล้ว และพยายามดักฟังเสียงสนทนาข้างนอก ก่อนจะหันไปถามองค์หญิง “ยังหิวอยู่ไหม”
“อื้อ” องค์หญิงพยักหน้า “ลูกกวาดมันไม่อยู่ท้องน่ะ”
จิ้งคงเรียนรู้การพกของกินเล็กๆ น้อยๆ ติดตัวมาจากยายเฒ่าอีกที เขาพกลูกกวาดและผลไม้อบแห้งในกระเป๋าของเขา
พอองค์หญิงร้องหิว จิ้งคงจึงแบ่งลูกกวาดให้นาง ตอนนี้เสบียงของเขาเหลือแค่ลูกกวาดสามอันและผลไม้อบแห้งอีกสองอัน
เขายื่นลูกกวาดและผลไม้อย่างละอันให้นาง “จะกินอีกไม่ได้แล้วนะ เราไม่มีทางรู้เลยว่าจะได้ออกไปจากที่นี่เมื่อไหร่ ต้องเหลือไว้สำหรับคืนนี้อีก”
“อื้อ” องค์หญิงน้อยพยักหน้า ใช้สองมือคว้าลูกกวาดและผลไม้อบแห้งไว้อย่างละข้าง
“แล้วเจ้าไม่กินรึ”
จิ้งคงเอามือตบพุงตัวเอง “ข้าเจ้าเนื้อน่ะ อดมื้อนึงไม่เป็นไรหรอก”
องค์หญิงลังเลอยู่พักหนึ่ง ก่อนตัดสินใจยื่นลูกกวาดคืนเขา “เจ้าเก็บไว้กินเถอะ”
องค์หญิงน้อยไม่อยากเป็นฝ่ายเปลืองเสบียงคนเดียว
ลูกกวาดแค่นี้ไม่พอยาไส้เขาหรอก
จิ้งคงผู้ซึ่งเคยตกอยู่ในสถานการณ์ต้องแย่งชิงอาจารย์จากเณรคนอื่นๆ คิดเช่นนั้น
“เจ้ากินเถอะ” จิ้งคงเอ่ยพร้อมกับยัดลูกอมเข้าปากองค์หญิง
“อื้อ…”
ลูกกวาดนี้ช่างอร่อยเสียเหลือเกิน
หูของจิ้งคงไวต่อเสียงมาก เขาสามารถรับรู้ความเคลื่อนไหวในบริเวณใกล้ๆ ได้
“เสี่ยวเสวี่ย พวกเราแอบหนีออกไปกันเถอะ” จิ้งคงเอ่ย
“หนีออกไปยังไงล่ะ” องค์หญิงน้อยมองเหม่อขณะเคี้ยวลูกกวาดจนแก้มตุ่ย
จิ้งคงเดินมาที่ประตู และเห็นว่ามันถูกลงกลอนจากข้างนอก มีเพียงช่องเล็กๆ ระหว่างกำแพงกับประตูที่สามารถมองเห็นข้างนอกได้
ช่องว่างนั้นใหญ่พอสำหรับแขนเล็กๆ ของจิ้งคง เขาพยายามยื่นมือออกไปและคว้าอะไรบางอย่างที่แขวนไว้ตรงกลอนประตูทิ้งไป
ไม่นานเสียงกลอนประตูก็ดังขึ้นสองครั้ง ตัวแม่กุญแจถูกคลายออก
องค์หญิงมองด้วยความตื่นเต้น “โห! เก่งมากจิ้งคง!”
เขาก็มองว่าตัวเองเก่งเหมือนกัน
“ข้าเรียนมาจากพี่เฉิงเฟิงน่ะ” จิ้งคงเอ่ย
“พี่เฉิงเฟิงคือใครรึ” องค์หญิงน้อยถาม
อ้อ ลืมไปว่าตอนนี้เขาเป็น ‘พี่สาว’
“ไว้ข้าเล่าให้ฟังทีหลังนะ”
“ได้เลย!”
องค์หญิงน้อยมัวแต่ตะลึงกับทักษะอันน่าทึ่งของเสี่ยวจิ้งคง จนลืมไปว่าพวกเขากำลังเผชิญกับเรื่องอันตรายอยู่
เสี่ยวจิ้งคงผลักประตูห้องเก็บฟืนออก พาองค์หญิงน้อยไปที่สนามหญ้า และมาถึงจุดที่เขามองว่าสามารถปีนกำแพงข้ามไปได้
“ตรงนี้มีต้นไม้อยู่ พอพวกเราปีนขึ้นไปเสร็จก็น่าจะข้ามกำแพงได้พอดี” จิ้งคงเอ่ยกับองค์หญิงน้อย
องค์หญิงน้อยหลบตาลง เอานิ้วชนกันแล้วเอ่ยเสียงค่อย “แต่ข้าปีนต้นไม้ไม่เป็น”
จิ้งคงครุ่นคิดสักพัก แล้ววิ่งกลับไปที่ห้องเก็บฟืน ก่อนจะเดินออกมาพร้อมกับเชือก
“เจ้าจับเชือกนี้ไว้นะ ข้าจะดึงเจ้าขึ้นไปเอง”
องค์หญิงน้อย “ข้าไม่ไหวหรอก”
เสี่ยวจิ้งคง “…”
“เอาละ เช่นนั้นข้าคงต้องผูกเจ้าสินะ”
จากนั้นเสี่ยวจิ้งคงก็บรรจงผูกเชือกด้านหนึ่งไว้รอบเอวขององค์หญิงน้อย ส่วนอีกด้านเอามาพันรอบเอวของเขาเอง
แล้วเสี่ยวจิ้งคงก็ปีนขึ้นต้นไม้ไปเรื่อยๆ จากนั้นกระโดดลงไปบนกำแพง จากนั้นก็ดึงร่างขององค์หญิงน้อยขึ้นมา
เด็กห้าขวบทั่วไปไม่มีทางทำได้อย่างเขาแน่นอน
เป็นเพราะเสี่ยวจิ้งคงฝึกกำลังภายในทุกวัน และยังได้วิชามวยมาจากเซวียนผิงโหว ส่งผลให้ร่างกายของเขาแข็งแรงมาก
“ข้าจะค่อยๆ ปล่อยเจ้าลงไปก่อนนะ” เสี่ยวจิ้งคงจับเชือกมั่น และค่อยๆ หย่อนร่างขององค์หญิงน้อยลงไปยังพื้นดินอีกฝั่ง
ขณะเดียวกัน ชายชุดดำและพ่อค้าตัวปลอมก็เดินออกมาจากห้องพร้อมกับเอามือขยับคอเสื้อ
อากาศร้อนชะมัด
หลังพวกเขาเต็มไปด้วยเหงื่อชุ่ม
“รีบไปดูองค์หญิงกันเถอะ ห้องเก็บฟืนอบจะตาย ประเดี๋ยวเกิดเป็นลมหมดสติขึ้นมาละแย่เลย”
แล้วทั้งสองก็มุ่งหน้าไปยังที่นั่น
พอไปถึงก็พบว่าพวกเขาหายตัวไปแล้ว!
“ใครเป็นคนปล่อยพวกเขาออกไป!” ชายชุดดำร้องเสียงหลง
พ่อค้าตัวปลอมได้ยินดังนั้นก็ย่นคิ้วอย่างหนัก “ปล่อยเปล่ยอะไร ที่นี่มีแค่พวกเราสองคน! เจ้าควรถามว่าใครแอบเข้ามาช่วยพวกเขาออกไปต่างหาก!”
“บ้าจริง!” ชายชุดดำกัดฟันโมโห แต่ทันใดนั้น เขากลับได้ยินเสียงบางอย่าง จึงรีบหันไปทางกำแพง “ใครน่ะ!”
พ่อค้าปลอมไม่รอช้า ใช้วิชาตัวเบากระโดดขึ้นไปบนกำแพง แล้วก็เจอกับเชือกเส้นหนึ่งตกอยู่บนนั้น
มันคือเชือกที่เคยอยู่ในห้องเก็บฟืน
“เจออะไรรึ” ชายชุดดำกระโดดตามขึ้นมาแล้วเอ่ยถาม
เขาทอดสายตามองไปยังทุ่งข้าวฟ่างขนาดใหญ่ที่ลำต้นสูงกว่าคน และพบรอยเท้าของเด็กตามแอ่งโคลน
รอยเท้ามุ่งหน้าไปยังทุ่งข้าวฟ่าง
“รีบตามไปเร็ว!”
พวกเขาจึงพุ่งตัวไปทางทุ่งข้าวฟ่าง
“จิ้งคง เหตุใดเมื่อครู่นี้เจ้าถึงรีบวิ่งไปที่ทุ่งข้าวฟ่างล่ะ แถมยังเอารองเท้าของข้าไปคลุกดินโคลนอีก”
“นี่เป็นกลอุบายเพื่อทำให้ศัตรูสับสนและคิดว่าเรากำลังจะไปที่นั่น แต่จริงๆ แล้วเรากำลังไปทางนี้ต่างหาก!”
เด็กน้อยสองตัวเดินโซเซเข้าไปในป่า
จิ้งคงเชื่อว่าเจียวเจียวต้องมาช่วยเขาแน่ๆ
พวกเขาต้องหาที่ซ่อนตัวระหว่างที่รอ