สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 738 สิบตระกูลใหญ่ (1)
บทที่ 738 สิบตระกูลใหญ่ (1)
เรื่องที่องค์หญิงน้อยถูกลักพาตัวไปไม่เพียงแต่กระทบถึงตำหนักกั๋วซือ แต่ยังสะเทือนไปถึงตระกูลอิทธิพลของแคว้นอีกด้วย
ทุกตระกูลต่างรวมกำลังออกตามหาองค์หญิงให้ได้เร็วที่สุด
โดยเฉพาะตระกูลหัน
ณ ห้องรับแขกจวนตระกูลหัน “จางเฟิ่งและคนอื่นๆ ถูกปลดแล้ว ถ้าคราวนี้พวกเราผิดพลาดในการช่วยเหลือองค์หญิงอีก ตระกูลของเราต้องเป็นอันเดือดร้อนแน่” นายใหญ่หันเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
ครั้งก่อนตระกูลหันถูกคาดโทษเพราะก่อเรื่องลอบปลงพระชนม์พระราชนัดดา พวกเขาไม่อาจถูกฝ่าบาทลงโทษซ้ำสองอีก
หันเหล่ยเพิ่งกลับมาจากวัง นอกจากเขาและนายใหญ่หันแล้ว ยังมีนายสามตระกูลหันหันน้องชายของเขาอยู่ในห้องอีกด้วย
นายสามตระกูลหันมีนิสัยเสเพลไปวันๆ แต่ไหนแต่ไร เมื่อคืนก็ขลุกอยู่ในห้องของอนุทั้งคืน สภาพของเขาตอนนี้แทบดูไม่ได้ และนั่นทำให้หันเหล่ยรู้สึกขัดใจยิ่งนัก
พูดถึงความสามารถ ต่อให้มีนายสามตระกูลหันสิบคนก็สู้นายรองคนเดียวไม่ได้ เขาควรออกหน้าแทนหันเย่ด้วยซ้ำ
อย่างน้อยจะได้เป็นการตัดเสี้ยนหนามออกไปบ้าง!
แต่ถึงกระนั้น ในเมื่อมีศักดิ์เป็นลูกโดยชอบธรรม ต่อให้ทำตัวเกียจคร้านแค่ไหนก็รอดอยู่ดี!
หันเหล่ยพยายามยั้งมือของตัวเองไม่ให้เผลอเข้าไปต่อยหน้าอีกฝ่าย
“ท่านพ่อ” หานเหล่ยข่มอารมณ์ของตัวเองไว้และพยายามเข้าเรื่อง “เรื่องนี้ไม่ชอบมาพากลแน่นอนขอรับ”
“อย่าเพิ่งสงสัยอะไรเลย ก่อนอื่นต้องตามหาองค์หญิงให้เจอก่อน จะได้ผ่อนหนักเป็นเบา!” นายใหญ่หันกำไม้เท้าแน่นพร้อมกับถลึงตาใส่เขาราวกับนกอินทรี
“ขอรับ ท่านพ่อ ข้าจะให้คนรีบออกตามหาโดยเร็ว” หันเหล่ยน้อมรับคำสั่ง
“จำไว้ ต้องเป็นคนของตระกูลเราเท่านั้นที่ช่วยเหลือองค์หญิง!” นายใหญ่หันย้ำ
“ลูกเข้าใจขอรับ”
“เจ้าเองก็ด้วย!” นายใหญ่หันตะคอกเสียงใส่นายสามตระกูลหัน
นายสามตระกูลหันถูกดุจนลุกขึ้นยืนยกมือเช็ดน้ำลายจากมุมปาก “ขะ ขะ ขะ…ข้าก็จะไปเหมือนกัน!”
นายใหญ่หันพูดด้วยความโกรธ “เจ้าจะไปไหน! อยู่ที่จวนนิ่งๆ ไม่ต้องไปไหน! อย่าหาเรื่องออกนอกจวนแม้แต่ก้าวเดียว!”
นายสามตระกูลหันน้ำตาเกือบเล็ด
เหตุใดเขาถึงถูกกักบริเวณอีกแล้วเล่า
หันเหล่ยเรียกฉู่หนานและขอให้เขาไปที่ค่ายทหารเพื่อเลือกม้าศึกที่ดีที่สุด เขาและกองทหารม้าจะอาสาออกตามหาองค์หญิงเอง
“ท่านพ่อ”
ขณะที่หันเหล่ยเตรียมออกเดินทาง ก็เจอกับหันเย่ที่เพิ่งควบม้ากลับมาที่จวนพอดี
“เจ้ายังไม่หายดีนี่ ออกไปข้างนอกได้อย่างไร” หันเหล่ยทักหลังจากเห็นใบหน้าที่อิดโรยของเขา
“ท่านพ่อ ข้าขอไปด้วยคนขอรับ” หันเย่ข่มความเจ็บปวดทั้งหมดและร้องพอผู้เป็นพ่อ
“ไร้สาระน่า! สภาพแบบนี้น่ะหรือจะออกไปไหนได้ หมอบอกให้เจ้าพักผ่อนให้เต็มที่มิใช่รึ หากใครมารู้เข้าว่าขาแข้งของเจ้าแทบจะใช้งานไม่ได้แล้ว คิดหรือว่าจะรักษาตำแหน่งหน้าที่ได้อีกนานน่ะ”
คำพูดของหันเหล่ยราวกับมีดคมแทงทะลุหัวใจของหันเย่ไม่ปาน
คมดาบของกู้ฉังชิงในครั้งนั้น ทำเอาเขาสาหัสมาจนถึงทุกวันนี้
ฝ่าบาททรงไม่เก็บคนไร้ประโยชน์ไว้ใกล้ตัวเสียด้วย
หันเย่ไม่กล้าแม้แต่จะขอเข้ารับการรักษาที่ตำหนักกั๋วซือ ก็เพราะไม่อยากให้ฝ่าบาทมารู้ความจริง!
เขาไม่ยอมรับความจริงที่ว่าเขากลายเป็นคนไร้ประโยชน์ไปแล้ว!
เขายังขี่ม้าได้!
เขาใช้หอกและดาบได้!
หันเหล่ยเข้าใจดีว่าลูกชายผู้ซึ่งหยิ่งผยองมาโดยตลอดไม่สามารถทนต่อความรู้สึกอับอายนี้ได้ เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน “เย่เอ๋อร์ เจ้าอยู่ที่จวนไปก่อน แล้วข้าจะหาวิธีรักษาเจ้าให้ได้”
“จริงรึ” หันเย่เอ่ยด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง
หันเหล่ยพยายามโน้มน้าว “ข้าเคยได้ยินว่ามีหมอเทวดาคนหนึ่งที่เคยรักษาเส้นเอ็นแขนของเซวียนหยวนลี่ได้”
“ใครกัน กั๋วซือรึ” แววตาของหันเย่ส่องประกายเล็กน้อย
หันเหล่ยส่ายศีรษะ “ไม่ใช่ ตอนเรื่องเกิดตอนนั้นยังไม่มีตำหนักกั๋วซือเลย ข้าเองก็ไม่รู้ว่าหมอเทวดาคนนั้นคือใคร แต่ถ้าข่าวลือเป็นจริง ข้าจะตามหาเขาให้เจอแน่นอน! ข้าจะยอมแลกทุกอย่างเพื่อขอให้เขารักษาเจ้าให้ได้ ต่อให้ต้องยอมถวายหัวตลอดชีวิต!”
นี่เป็นครั้งแรกที่หันเย่รู้สึกถึงความห่วงใยอย่างไม่มีเงื่อนไขจากบิดา
เมื่อก่อนมีแต่ลุงรองที่ดีกับเขา
“เรื่องมันก็ผ่านมานานแล้ว หมอคนนั้นจะยังอยู่หรือไม่ก็ไม่รู้” หันเย่เอ่ย
“อย่าเพิ่งหมดหวังสิ เจ้าเป็นทายาทของตระกูลหัน เจ้าจะยอมแพ้ไม่ได้เด็ดขาด” หันเหล่ยยื่นมือกุมหัวไหล่ลูกชาย
“ข้าผิดไปแล้วท่านพ่อ” หันเย่เอ่ย
หานเห่ยหัวเราะให้กับลูกชายด้วยท่าทีปลอบโยน “รีบกลับไปพักผ่อนเถิด เรื่องนี้พ่อจัดการเอง”
จากนั้นบ่าวรับใช้ก็มาพยุงร่างของหันเย่เข้าไปในจวน
เขานอนลงบนเก้าอี้หวายและมองดูทิวทัศน์ในสวนหย่อม
ฉีเซวียนตบยุงบนตัวของเขาแล้วพูดกับหันเย่ “เอาละ ไม่ต้องกังวล ข้าจะออกตามหาให้”
“ขอบคุณท่านอาจารย์เป็นอย่างสูง” หันเย่เอ่ย
ฉีเซวียนวางมือไว้ด้านหลังแล้วถอนหายใจ “พวกเราก็เป็นครูศิษย์กันมานาน ข้าไม่อยากเห็นตระกูลของเจ้ามีปัญหา”
หันเย่เงียบอยู่พักหนึ่ง ก่อนเอ่ยถามต่อ “อาจารย์”
“มีอะไรรึ”
หันเย่พูดด้วยความงุนงง “ข้าได้ยินมาว่าเซียวลิ่วหลังเป็นอาจารย์ขององค์หญิงน้อย ท่านคิดว่าเขาจะพลาดโอกาสนี้หรือไม่”
“เจ้าคาดหวังให้ข้าตามหาองค์หญิงเจอก่อนเขาใช่ไหม”
หันเย่หลบตาลง พร้อมกับบี้เจ้ายุงตัวร้ายที่ตกอยู่บนขาของเขา “ข้าหวังเช่นนั้น แล้วก็ หากท่านเจอเขา โปรดกำจัดมันแทนข้าด้วยขอรับ”
“ได้สิ” ฉีเซวียนยิ้มและตอบรับอย่างไร้กังวล
ณ ป่าไผ่หลังตำหนักกั๋วซือ อวี้เหอถือกล่องอาหารเย็นไปที่บ้านไม้ไผ่หลังเล็กในป่า
“ทูลท่านกั๋วซือ อวี้เหอได้ส่งซุปหวานมาให้ท่านเพื่อคลายความร้อนขอรับ” ลูกศิษย์ที่เฝ้าประตูเอ่ยขึ้น
“ให้เขาเข้ามาได้” กั๋วซือเอ่ยอย่างเหนื่อยหน่าย
“ขอรับ”
ลูกศิษย์เปิดม่านออกแล้วพยักหน้าส่งสัญญาณให้อวี้เหอ
พอเข้ามาด้านใน ถอดรองเท้าออก และเปลี่ยนเป็นรองเท้าสีขาวสะอาด จากนั้นค่อยๆ ย่องเข้าไป
“ท่านอาจารย์” อวี้เหอถวายบังคม
มีเพียงสาวกโดยตรงของกั๋วซือเท่านั้นที่มีคุณสมบัติที่จะเรียกเขาว่าปรมาจารย์ ขณะที่สาวกคนอื่นเรียกเขาว่าท่านกั๋วซือตามปกติ
“ท่านอาจารย์กำลังทำนายดวงชะตาอยู่หรือ ไยกระดานหกเหลี่ยมถึงเป็นแบบนี้” อวี้เหอเอ่ยถามหลังจากที่เห็นกระดองตะภาพบนโต๊ะ
ด้วยความที่เขาเป็นศิษย์เอก จึงมีความรู้ติดตัวพอสมควร และมองออกในทันทีว่ามันล้มเหลว
แต่ก็น่าแปลกใจตรงที่
มีคนที่ปรมาจารย์ทำนายไม่ได้ด้วยรึ
กั๋วซือทอดถอนใจ “ข้าไม่สามารถดูดวงชะตาของนางได้เลย ไม่ว่าจะพยายามกี่ครั้ง”
นางรึ
หรือว่า ท่านอาจารย์จะหมายถึง องค์หญิงน้อย
ต้องใช่แน่ๆ เพราะช่วงนี้เกิดเรื่องขึ้นกับองค์หญิง ไม่อย่างนั้นจะเป็นใครได้อีก
“อาจเป็นเพราะอากาศร้อนเกินไปน่ะขอรับ ดื่มน้ำเย็นๆ ก่อนแล้วค่อยทำนายต่อดีไหมขอรับ” อวี้เหอพูดอย่างใจเย็น
“ไม่เกี่ยวกับอากาศหรอก ข้าพยายามทำนายคนคนนี้มาหลายปีแล้ว” กั๋วซือถอนหายใจ
โถท่าน จะไม่เกินไปหน่อยหรือ องค์หญิงน้อยทรงมีพระชนมายุเพียงสี่พรรษเองนะขอรับ
อวี้เหอนั่งลงตรงข้ามเขา เปิดฝากล่องอาหาร ตักถั่วเขียวต้มหนึ่งชามแล้วยื่นด้วยมือทั้งสอง “นี่ขอรับ ท่านอาจารย์”
หลังจากกั๋วซือซดถั่วเขียวต้มเสร็จ ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรต่อ