สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 735-2 หลงอ้าวเทียน! (2)
บทที่ 735 หลงอ้าวเทียน! (2)
ซูหยวนรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่าชื่อนี้ช่างคุ้นหูนัก “เขาคือ…”
นายใหญ่มู่อธิบาย “เขาเป็นบัณฑิตใหม่ของเทียนฉง เป็นคนจากแคว้นเจา วันนั้นองค์หญิงถูกขันทีวังหลังลอบทำร้ายจนปางตาย ขนาดระดับท่านกั๋วซือยังไร้หนทาง ทว่าพ่อหนุ่มนามเซียวลิ่วหลังผู้นี้กลับช่วยเหลือนางให้รอดพ้นจากยมโลกได้ ถ้าไม่ใช่เพราะเขา ป่านนี้พวกตระกูลหันคงได้ใจไปนานแล้ว นอกจากนี้ข้ายังไปได้ยินเรื่องน่าสนใจอีกอย่างหนึ่ง ขันทีคนนั้นมีวิทยายุทธ์เก่งกาจ และได้หลบหนีออกนอกวัง ก็ได้เซียวลิ่วหลังและหวังซวี่ช่วยกันตามจับและบังคับให้เขาสารภาพผิดจนได้”
“ถ้าไม่ได้เขา ป่านนี้คนร้ายคงหนีไปไกลแล้ว”
“ข้าได้ยินมาว่ากั๋วซือยกย่องเขาเป็นการส่วนตัว บ้านเมืองย่อมมีวีรบุรุษ กั๋วซือใช้ชีวิตอยู่ที่เซิ่งตูมานานกว่าสามสิบปี ไม่มีใครรู้ว่าเขามาจากไหนหรือบ้านของเขาอยู่ที่ไหน แต่ภูมิปัญญาของเขาเป็นที่รู้จักไปทั่วทั้งหกแคว้น คนเก่งแบบนั้นเคยเอ่ยปากชมใครจริงๆ จังๆ ที่ไหน”
ในที่สุดซูหยวนก็นึกออกแล้วว่าเขาเคยได้ยินชื่อเซียวลิ่วหลังจากปากของซูเสวี่ย
“พ่อตาหมายความว่า…”
นายใหญ่มู่เอ่ยต่อ “เซียวลิ่วหลังผู้นี้… ไม่ควรตกไปอยู่ฝ่ายเดียวกันกับตระกูลหัน เขาต้องอยู่ฝั่งพวกเราเท่านั้น! ในเมื่อเขาสามารถรักษาองค์หญิงได้ ข้าเดาว่าพระราชนัดดาคงคิดเหมือนกันกับที่ข้าคิด”
ซูหยวนย่นคิ้วลง “พระราชนัดดาเองก็อยากได้ตัวเขาอย่างนั้นรึ”
นายใหญ่มู่ได้แต่ถอนหายใจ “ความสัมพันธ์ระหว่างองค์หญิงกับพระราชนัดดาเปราะบางยิ่งกว่าอะไร หากได้คนดีๆ มาเป็นพวกก็เท่ากับได้ถือไพ่เหนือกว่า แม้จะไม่ได้สร้างประโยชน์อะไรมากมายก็ตาม”
ซูหยวนส่ายศีรษะ “แต่องค์หญิงไม่น่าจะมีโอกาสกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งแล้วนะขอรับ ยิ่งพระราชนัดดายิ่งไม่ต้องพูดถึง มีแต่พวกตระกูลหันนั่นแหละที่ระแวงกันเกินไป คิดเองเออเองอยู่ฝ่ายเดียว”
นายใหญ่มู่เอ่ยต่อ “ต่อให้องค์หญิงทรงสิ้นพระชนม์ ก็ไม่ส่งผลกระทบอะไรกับตระกูลเราอยู่ดี อย่าลืมสิว่าพวกเราเคยเข้าร่วมกับอีกสิบตระกูลเพื่อขับไล่ล้มล้างตระกูลเซวียนหยวน”
ซูหยวน “พวกตระกูลหันไม่มีความจำเป็นต้องสกัดพวกเราไว้เลยขอรับ”
พอพูดถึงเรื่องนี้ แววตาวาวโรจน์ของนายใหญ่มู่ก็ยิ่งชัดขึ้น “เรื่องนี้พวกตระกูลหันทำกันเกินไปจริงๆ ตระกูลมู่ของพวกเราจะไม่ยอมอยู่เฉยๆ แน่นอน!”
“ท่านพ่อตามีแผนการอันใดขอรับ” ซูหยวนถาม
นายใหญ่มู่กล่าวอย่างมีไหวพริบ “ก่อนอื่น พวกเราต้องคว้าเซียวลิ่วหลังคนนั้นให้มาอยู่ฝ่ายเดียวกับเรา ประการที่สอง ข้าต้องการทหารม้าวายุทมิฬของตระกูลหัน! ข้าต้องการให้ตระกูลหันรู้ว่าตระกูลมู่ไม่ใช่ตระกูลมู่คนเดิมอีกต่อไป พวกมันต้องชดใช้ที่บังอาจแตะต้องหวั่นเฟย!”
“ท่านหัวหน้าตระกูลขอรับ”
ซูเฮ่าก็เอ่ยเรียกนายใหญ่มู่เบาๆ
เขาจึงหันไปทางต้นเสียงด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ซูหยวนเองก็ขมวดคิ้วไม่พอใจ นี่เป็นการสนทนาระหว่างผู้อาวุโส และเห็นได้ชัดว่ายังไม่ใช่เรื่องของผู้เยาว์ที่จะขัดจังหวะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับลูกนอกสมรสอย่างซูเฮ่า
“ข้ามีเรื่องเล่า เกี่ยวกับเซียวลิ่วหลังขอรับ” ซูเฮ่าเอ่ยอย่างระมัดระวัง
พอนายใหญ่มู่ได้ยินดังนั้นก็เริ่มสนใจขึ้นมาบ้าง “ว่ามา”
ซูเฮ่ามองไปที่มู่ชิงเฉิน แล้วถามเบาๆ “ชิงเฉิน ข้าจำได้ว่ามีชื่อของเซียวลิ่วหลังอยู่ในผู้เข้าร่วมแข่งขันตีคลีด้วย เขาคือคนที่ผู้นำตระกูลมู่พูดถึงหรือไม่”
ทั้งนายใหญ่มู่ มู่เทา และซูหยวนพอได้ยินดังนั้นก็รีบหันไปทางมู่ชิงเฉินพร้อมๆ กัน
“ชิงเฉิน เป็นความจริงรึ” นายใหญ่มู่ถาม
ขณะที่มู่ชวนกำลังถลึงตาใส่ซูเฮ่าอย่างรุนแรง
ดูเหมือนซูเฮ่าจะไม่ทันเห็นสายตาอำมหิตของมู่ชวน เขายังคงยืนขึ้นและโค้งคำนับให้นายใหญ่มู่ ก่อนจะเล่าต่อ “ข้าได้ยินมาว่าเซียวลิ่วหลังไม่ได้เป็นแค่สหายร่วมแข่งขันของชิงเฉินเท่านั้น แต่ยังเป็นสหายร่วมชั้นอีกด้วย พวกเขานั่งเรียนด้วยกัน ถ้าชิงเฉินขอให้เขาอยู่ฝ่ายเรา เซียวลิ่วหลังจะต้องยอมฟังแน่นอนขอรับ”
มู่ชวนรีบลุกขึ้นแย้งทันที “อย่ามาทำเป็นรู้ดีหน่อยเลยซูเฮ่า พี่สี่ของข้าเป็นสหายกับเขาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน พวกเขาแค่ลงแข่งด้วยกันเท่านั้น! แล้วนี่อะไร มาพูดว่าพวกเขานั่งเรียนด้วยกัน เจ้าไม่รู้หรือไงว่าพี่สี่ของข้านั่งเรียนคนเดียวมาตลอด! ตกลงใครเรียนที่เดียวกับใครกันแน่ ทำมาเป็นพูดดี!”
“ข้า…” สีหน้าของซูเฮ่าในตอนนี้ราวกับคนขวัญเสีย
“นั่งลงเดี๋ยวนี้!” มู่เทาตะโกนสั่งลูกชาย
มู่ชวนได้แต่หัวเสีย
ถ้าพี่สี่ไม่ช่วยเดี๋ยวก็ถูกหาว่ากินบนเรือนขี้บนหลังคา หรือให้ออกตัวช่วยแล้วแต่อีกฝ่ายไม่ยินยอม ก็หาว่าพี่สี่ไร้ความสามารถอีก
สู่รู้นักเจ้าซูเฮ่า!
ซูหยวนหันไปทางมู่ชิงเฉิน “ซูเสวี่ยเคยเล่าให้ข้าฟังว่าเซียวลิ่วหลังเคยช่วยชีวิตนางไว้ เขาเป็นเพื่อนของชิงเฉินจริงๆ ”
กลายเป็นว่ายิ่งสนับสนุนคำพูดของซูเฮ่าเข้าไปอีก
นายใหญ่มู่ได้ยินดังนั้นก็คลี่ยิ้มออกมา นี่เป็นรอยยิ้มแรกที่เขาแสดงตั้งแต่ได้ยินข่าวร้ายเกี่ยวกับหวั่นเฟย “เยี่ยมมาก สหายชิงเฉินก็คือสหายของตระกูล พวกเราจะปฏิบัติต่อเขาเช่นแขกผู้มีเกียรติอย่างแน่นอน เช่นนั้นแล้วฝากเรื่องนี้ไว้ด้วยนะ ชิงเฉิน”
มู่ชวนหันไปมองพี่สี่ของเขาราวคนอกหัก
มู่ชิงเฉินเอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ “ขอรับ ชิงเฉินเข้าใจแล้ว”
….
ณ ตำหนักกั๋วซือ หลายคนยุ่งอยู่กับการทำงานเกือบทั้งคืน กู้เจียวฟุบหลับลงบนโต๊ะตอนช่วงฟ้าสาง
เซียวเหิงพากู้ฉังชิงออกไปส่ง
“นี่” เขายื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้กู้ฉังชิง
“อะไรรึ”
“บทพูดน่ะ” เซียวเหิงตอบ
กู้ฉังชิงกลับปฏิเสธเขา “ไม่เอา ข้าจะบอกว่าน้องของข้าเป็นคนเขียน”
เซียวเหิงยกมุมปากอย่างเหนื่อยหน่ายพร้อมเก็บกระดาษลง
ตามใจแล้วกัน
…
ณ จวนไท่จื่อ
ขณะที่ไท่จื่อเตรียมขึ้นท้องพระโรงช่วงเช้า จู่ๆ ก็มีบ่าวรีบวิ่งมารายงานข่าวกับเขา
เขานิ่งอึ้งไปพักหนึ่ง ก่อนจะยกมือขึ้นพร้อมเอ่ย “ข้ารู้แล้ว ออกไปได้แล้ว”
และในตอนที่เขากำลังจะออกไป ก็มีบ่าวอีกคนเดินมาด้วยท่าทีเคารพ “ฝ่าบาท มีชายคนหนึ่งมาจากข้างนอก บอกว่าต้องการพบพระองค์พ่ะย่ะค่ะ”
“ในเวลานี้รึ ผู้ใดกัน” ไท่จื่อถาม
“ทูลไท่จื่อ ชายคนั้นเขาบอกว่าชื่อของเขาคือผังไห่ มาจากโรงประลองใต้ดินพ่ะย่ะค่ะ”
ไท่จื่อสะดุ้งเล็กน้อย “รีบพาตัวเขามา!”
“พ่ะย่ะค่ะ”
จากนั้นบ่าวก็พาผังไห่เข้ามาหาไท่จื่อ
ผังไห่ไม่ได้มาแค่ตัวคนเดียว แต่มีนักดาบผู้โดดเดี่ยวร่วมด้วย
ผังไห่กล่าวถวายบังคม “กระหม่อม ผังไห่ เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เข้าเฝ้าฝ่าบาท ขอให้ฝ่าบาทอายุยืนหมื่นปี หมื่น ๆ ปี”
“ไม่ต้องพิธีรีตอง” ไท่จื่อเอ่ย
ขณะที่นักดาบผู้โดดเดี่ยวไม่ได้ถวายบังคมแต่อย่างใด เขาแค่ยืนนิ่งๆ ราวกับภูเขาน้ำแข็งที่ไม่สั่นคลอน
รังสีที่แผ่ออกมาจากตัวเขาไม่ธรรมดาเลยทีเดียว
“เขาคนนั้นคือ…” ไท่จื่อเอ่ยถามพร้อมกับเบนสายตาไปทางนักดาบผู้โดดเดี่ยว
“เขาเป็นนักสู้ฝีมือดีที่กระหม่อมคัดเลือกจากนักสู้หลายหมื่นพันคนขอรับ คราวก่อนที่นัดเจอกันกับท่านหมิงจวิ้นอ๋องที่หอเทียนเซียงแต่ดันล้มเหลวเพราะคนของวังดันปรากฏตัวที่นั่นเสียก่อน พวกเราเลยจำใจต้องรีบออกมาขอรับ แล้ววันนี้เขาก็มาที่วังพอดีขอรับ”
“เขาคือพญายมคนนั้นหรอกรึ” ไท่จื่อสะดุ้ง
ชื่อเสียงของพญายมผู้นี้เลื่องลือกึกก้องไปทั่วทั้งสนามต่อสู้ นักต่อสู้ชื่อดังจากแคว้นทั้งหกได้ไปรวมตัวประลองกันที่แคว้นเจา จากร้อยคนเหลือเพียงแค่ห้าคนที่ได้ไปต่อและเดินทางมาที่แคว้นเยี่ยนแห่งนี้
โดยที่สนามประลองใต้ดินของแคว้นเยี่ยนนั้นเต็มไปด้วยนักต่อสู้ที่ได้รับการคัดเลือกผ่านวิธีการที่โหดร้ายและไร้ซึ่งความปราณี
ทั้งห้าคนนั้นจะต่อสู้กันอย่างบ้าระห่ำ
และพญายมผู้นี้คือผู้ที่ทำคะแนนได้ดีที่สุด
“คือเขาขอรับ” ผังไห่เอ่ย
ไท่จื่อเดินเข้าไปหาบุรุษนักดาบผู้โดดเดี่ยว “เจ้ามีนามอันใด”
กู้ฉังชิงแสดงความเย่อหยิ่งผ่านคำพูดทีละคำ “นามของข้าก็คือ หลง อ้าว เทียน!”
ไท่จื่อ “…”