สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 735 หลงอ้าวเทียน! (1)
บทที่ 735 หลงอ้าวเทียน! (1)
ณ จวนตระกูลมู่ นายใหญ่มู่ทราบเรื่องที่หวั่นเฟยถูกส่งเข้าตำหนักเย็นแล้ว
ขันทีในวังแอบใช้เส้นสายในการส่งข่าวไปยังตระกูลมู่ระหว่างที่ฮ่องเต้กำลังลงทัณฑ์
นายใหญ่มู่ไม่พอใจเป็นอย่างมากถึงขั้นทุบกำปั้นลงโต๊ะ “ทรงทำแบบนี้ได้อย่างไร!”
พ่อบ้านประจำตระกูลรีบโน้มน้าว “นายท่านสงบจิตสงบใจก่อนขอรับ ประเดี๋ยวร่างกายท่านจะแย่เอา”
“แค่ก แค่ก แค่ก!” นายใหญ่มู่เริ่มรู้สึกระคายคอขึ้นมาในทันใด
ร่างกายของเขาไม่แข็งแรงนักในช่วงสองปีที่ผ่านมา สู้จิ้งจอกแก่ตระกูลหันไม่ได้เลย
พ่อบ้านรีบรินน้ำให้เขา “นายท่านดื่มน้ำก่อนขอรับ ทำใจร่มๆ ไว้”
นายใหญ่มู่กัดฟันแน่น “ลูกสาวข้าทั้งคนถูกส่งเข้าไปอยู่ในตำหนักเย็น จะไม่ให้ข้าโกรธได้อย่างไร! แล้วมู่เทาล่ะ”
“ข้าน้อยไปตามให้แล้วขอรับ” พ่อบ้านรีบตอบ
นายท่านครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนออกคำสั่ง “เจ้าไปส่งจดหมายให้ตระกูลซูที สองสามวันนี้นายใหญ่ซูไม่อยู่ในเมือง ให้ซูหยวนมาพบข้า!”
“ขอรับ!”
จากนั้นพ่อบ้านก็รีบเดินออกไปโดยไม่ทันได้สังเกตมู่ชวนที่ยืนแอบฟังอยู่นอกหน้าต่าง
หลังจากลังเลอยู่พักหนึ่งก่อนจะรีบวิ่งออกไปเช่นกัน
และแล้ว ทั้งซูหยวนและมู่ชิงเฉินต่างก็มาปรากฏกายที่จวนตระกูลมู่ในเวลาใกล้เคียงกัน
ผู้ที่เดินตามซูหยวนมาติดๆ คือซูเฮ่า ขณะที่มู่ชิงเฉินถูกมู่ชวนตามตัวตอนที่เขาอยู่ที่สำนักบัณฑิตเทียนฉง
ด้วยความที่ฟ้ายังไม่สาง มู่ชวนจึงต้องใช้ตราอาญาสิทธิ์ที่ยืมมาจากบิดาของเขา
“น้องสี่ก็มาด้วยรึ” ซูเฮ่าเอ่ยทักทายด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
มู่ชิงเฉินวางท่าทีเฉยเมย
“เจ้ามาทำไม” มู่ชวนถามกลับอย่างไม่สบอารมณ์
เป็นแค่ลูกนอกสมรสยังมีหน้ามาเหยียบจวนตระกูลมู่อีก หากไม่ใช่เพราะเจ้าบ้านี่ ท่านน้าก็คงไม่ต้องขุ่นเคืองแบบนั้น!
ซูเฮ่าเอ่ยอย่างรู้สึกผิด “น้องสี่ไม่ได้อยู่ที่จวนเกรงว่าคงไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้น เมื่อวานท่านพ่อได้รับบาดเจ็บขณะฝึกซ้อมการต่อสู้ ข้าไม่สบายใจเลยขอติดตามมาด้วย เป็นความผิดของข้าเอง อย่าตำหนิท่านพ่อเลย”
ทั้งสองหันไปมองทางซูหยวน และเห็นว่าที่เอวของเขามีผ้าพันแผลพันไว้อยู่
“เข้าไปกันเถอะ” ซูหยวนเอ่ยขึ้น
ณ ห้องรับแขก นายใหญ่มู่กำลังนั่งอยู่ที่เก้าอี้หลักด้วยสีหน้าเย็นชา โดยมีมู่เทานั่งอยู่ข้างๆ
“ท่านพ่อตา” ซูหยวนประสานมือคำนับให้กับนายใหญ่มู่
เขาขานรับเบาๆ
ในใจของเขาเต็มไปด้วยคำตำหนิติเตียนมากมายต่อลูกเขยคนนี้
นายใหญ่มู่มีบุตรสาวสองคน คนแรกแต่งเข้าวัง คนที่สองแต่งเข้าตระกูลซู
การที่ตระกูลซูได้แต่งงานกับบุตรสาวของตระกูลมู่นับว่าเป็นการได้ขึ้นชั้นบันไดสังคม ทว่าซูหยวนดันมีภรรยารองที่ให้กำเนิดบุตรก่อนภรรยาตัวจริงเพียงแค่หนึ่งวัน
ตระกูลซูมีทั้งหมดสามบ้าน ทั้งท่านชายใหญ่และท่านชายรองอยู่ที่บ้านรอง ขณะที่ซูเฮ่าและมู่ชิงเฉินอยู่บ้านใหญ่
ซูหยวนคือทายาทของตระกูลซู ตามหลักแล้ว มู่ชิงเฉินคือบุตรคนโตที่ชอบธรรมด้วยกฎหมาย แต่ดันถูกซูเฮ่าชิงเกิดตัดหน้าเสียก่อน
อย่างไรก็ตาม ซูหยวนยอมรับความผิดพลาดของเขา มู่ชิงเฉินขอใช้นามสกุลเดิมของมารดา ซูหยวนรับไว้แต่โดยดี และปฏิบัติต่อมู่ชิงเฉินอย่างดีมาโดยตลอด
ซูหยวนยังได้ชี้แจงอย่างชัดเจนว่ามีเพียงมู่ชิงเฉินเท่านั้นที่อยู่ในฐานะหัวหน้าตระกูลซูได้ โดยมีเงื่อนไขว่ามู่ชิงเฉินจะต้องเปลี่ยนนามสกุลของเขากลับในวันนั้น
นายใหญ่มู่จ้องไปที่เอวของซูหยวน พร้อมกับเอ่ยถาม “บาดเจ็บรึ”
ซูหยวนตอบ “ตอนฝึกไม่ทันระวังขอรับ บาดเจ็บเล็กน้อย ไม่เป็นปัญหาอะไรขอรับ”
“นั่งสิ” นายใหญ่มู่เอ่ยก่อนจะผายมือให้เขานั่งลง
จากนั้นซูหยวนก็เข้ามานั่งข้างเขา นายใหญ่มู่มีทั้งมู่เทาและซูหยวนนั่งประกบทั้งสองฝั่ง
จากนั้นนายใหญ่มู่ก็หันไปทางมู่ชิงเฉินด้วยสายตาที่อ่อนโยนลงเมื่อเทียบกับเมื่อครู่ “เจ้าผอมลงนะช่วงนี้ เรียนหนังสือหนักรึ”
“คงเป็นเพราะอากาศร้อนขอรับ” มู่ชิงเฉินตอบ
นายใหญ่มู่เอ็นดูเด็กคนนี้มาแต่ไหนแต่ไร เพียงแต่บัดนี้ไม่ใช่เวลาแห่งครอบครัวสุขสันต์ เขาเอ่ยกับทุกคนและโบกมือด้วยท่าทีเหนื่อยล้า “นั่งลงให้หมดสิ”
เขาไม่ได้เอ่ยกับซูเฮ่าโดยตรง แต่หันไปทางนอกประตู “เจ้าก็เข้ามาด้วยสิ”
มู่ชวนเอามือจับสันจมูกพร้อมกับเดินเข้าไปข้างในอย่างกระฟัดกระเฟียด
ไม่ว่าความสัมพันธ์ของสองพ่อลูกจะเป็นเช่นไร แต่มู่ชิงเฉินต้องนั่งลงข้างซูหยวนตามมารยาท
ขณะที่ซูเฮ่าเตรียมจะนั่งข้างมู่ชิงเฉิน กลับถูกมู่ชวนปาดน้า “ข้าจะนั่งกับพี่สี่!”
“มานั่งตรงนี้ เดี๋ยวนี้!” มู่เทาตะโกนเรียกลูกชาย
หลังจากถูกพ่อบังเกิดกล้าเอ็ดเข้าให้ มู่ชวนเม้มริมฝีปากอย่างขุ่นเคือง และนั่งลงข้างมู่เทาอย่างไม่เต็มใจ
นายใหญ่มู่เปิดประเด็นขึ้นทันที “เอาละ ข้าขอเข้าเรื่องเลยนะ ที่เรียกพวกเจ้ามากันแต่เช้าก็เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นที่วัง พวกเจ้าคงรู้เรื่องของหวั่นเฟยแล้วใช่ไหม”
ซูหยวนพยักหน้า “ระหว่างทาง พ่อบ้านหลิวได้เล่าให้ฟังแล้วขอรับ เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้อย่างไร ในเมื่อผู้กระทำผิดคือหลี่ผิน เกี่ยวอะไรกับหวั่นเฟยด้วย”
มู่ชิงเฉินรู้เรื่องนี้มาอีกทีจากมู่ชวนผู้ซึ่งเล่าได้ลึกกว่าพ่อบ้านหลิว
ด้วยความที่พ่อบ้านต้องระมัดระวังคำพูด ขณะที่มู่ชวนเล่าได้ออกรสกว่าและเต็มที่กว่า
เขาเล่าว่าเป็นฝีมือของพวกตระกูลหัน แต่ขณะเดียวกัน ท่านน้าของเขาเองก็ประมาทเกินไป ตระกูลมู่ส่งเงินให้ท่านน้าใช้ตั้งมากมายทุกเดือนก็เพื่อให้นางใช้เงินโดยไม่ต้องคิดอะไรมาก
จู่ๆ ท่านน้าก็เล่นเอาเงินตั้งสามพันตำลึงไปให้พ่อของหลี่ผินที่กำลังป่วย ท่านน้าจะรู้หรือไม่ว่าเงินจำนวนนั้นกว่าจะหามาได้ต้องลำบากแค่ไหน
มู่ชวนมีท่านน้าสองคน คนที่หนึ่งคือพระสนมหวั่นเฟย และคนที่สองก็คือแม่ของมู่ชิงเฉิน
“ข้ารู้แต่แรกแล้วว่าไม่ช้าก็เร็วท่านน้าจะต้องก่อเรื่อง ถ้าไม่ได้พระสนมเสียนเฟยช่วยดูแล ป่านนี้เรื่องคงเลยเถิดไปไกลแล้ว”
นี่เป็นคำจากปากของมู่ชวน
เขาหน่ายกับท่านน้าคนนี้เหลือเกิน
หลังจากนายใหญ่มู่ให้มู่เทาเล่าเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นยันปลายเสร็จ ก็ได้ข้อสันนิฐานว่าเป็นฝีมือของหันกุ้ยเฟย
หลี่ผินเป็นสนมที่ถูกหันกุ้ยเฟยซื้อตัวไป เรื่องที่ว่าพ่อของนางป่วยก็เป็นเรื่องที่กุขึ้น ที่ต้องออกอุบายให้หวั่นเฟยควักเงินออกมามากมายขนาดนั้นก็เพื่อให้ติดร่างแหชนิดที่ว่าดิ้นยังไงก็ไม่หลุด
ที่หลี่ผินเปิดโปงความสัมพันธ์ของขันทีหลังกับนางกำนัล ก็เป็นแผนของหันกุ้ยเฟยเช่นกัน
ไม่มีทางที่หันกุ้ยเฟยผู้ซึ่งกำกับดูแลวังหลังมานานหลายปีจะไม่ทราบถึงความเป็นไปของวังหลัง นางแค่รอโอกาสใช้พวกเขาเป็นกับดักก็เท่านั้น
ซูหยวนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “มันจะมากไปแล้วนะ เรื่องอะไรต้องลากหวั่นเฟยเข้ามาเอี่ยวด้วย พวกตระกูลหันกะใช้โอกาสนี้ทำให้ตระกูลมู่ต้องแปดเปื้อนหรืออย่างไร”
เรื่องของอดีตราชวงศ์กับวังหลังมีความเกี่ยวพันกันมาแต่ไหนแต่ไร มิอาจแยกออกจากกันได้
ในเมื่อเกิดเรื่องกับหวั่นเฟยแล้ว มีหรือตระกูลมู่จะไม่โดนร่างแหไปด้วย
นายใหญ่มู่เอ่ยเสียงแข็ง “เหอะ เป้าหมายของพวกตระกูลหันใช่ว่ามีแค่ตระกูลมู่เสียที่ไหน ถ้าถามข้านะ ทั้งตระกูลหวังและตระกูลซูเองก็ขว้างงูไม่พ้นคอหรอก!”
น้องสาวของนายใหญ่มู่แต่งงานเข้าจวนตระกูลหวัง ปัจจุบันได้เป็นหวังเหล่าไท่จวิน
ความเงียบเข้าครอบงำทั้งห้องรับแขก
สักพัก นายใหญ่มู่ก็เอ่ยขึ้น “ไม่มีอะไรต้องพูดถึงความบ้าบิ่นของพวกตระกูลหันอีก จะว่าไปแล้ว เรื่องนี้ยังมีตัวแปรสำคัญอีกหนึ่งคนด้วย”
“ใครรึ” ซูหยวนถามทันที
“เซียวลิ่วหลัง” นายใหญ่มู่เอ่ย