สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 734 คนร้ายตัวจริง
บทที่ 734 คนร้ายตัวจริง
หวังซวี่มองกู้เจียวอย่างตะลึงงัน “เจ้าฝังเข็มเขาทำไม”
“เค้นคำสารภาพน่ะ” กู้เจียวเอ่ย
“ฝังแค่เข็มเดียวก็เค้นคำสารภาพได้หรือ” หวังซวี่ไม่เชื่อ
กู้เจียวไม่ได้บอกเขาว่าเป็นยาหลอนประสาท เพื่อไม่ให้เขาคิดว่ากู้เจียวกำลังควบคุมคำสารภาพของคนร้าย
กู้เจียวมองคนร้ายตรงที่นอนอยู่บนพื้น ร่างที่เกร็งแน่นของเขาค่อยๆ คลายลง กู้เจียวเข้าใจว่าเขากำลังเกิดภาพหลอน
ห้ามไม่ให้เขาเข้าสติหลอนจนเกินไป มิฉะนั้นเขาอาจสูญเสียการติดต่อกับโลกภายนอกและไม่สามารถได้ยินเสียงจากโลกภายนอกได้
กู้เจียวใช้ไม้นวดแป้งเคาะที่ไหล่ของเขาพลางเอ่ยเสียงจริงจัง “ถ้าไม่อยากเจ็บปวดอีกก็รีบบอกมาสิว่าคนร้ายคือใคร”
กู้เจียวตีเขาจนสลบไปตั้งแต่แรกแล้ว และรอให้หวังซวี่มาถึงจึงบอกข่าว เพื่อให้หวังซวี่ได้ฟังชื่อคนร้ายด้วยตัวเอง
คนร้ายไม่ได้ขัดขืนอะไรมาก เขาสารภาพอย่างตรงไปตรงมา
แต่ชื่อที่คนร้ายสารภาพออกมากลับไม่ใช่คนที่อยู่ในใจกู้เจียวและกู้ฉังชิง
“หลี่ผิงคือใคร” กู้เจียวถามหวังซวี่
หวังซวี่คิดอยู่ครู่หนึ่ง “ที่เขาเอ่ยไม่น่าใช่หลี่ผิง แต่หมายถึงหลี่ผิน พระสนมในวัง”
เพื่อยืนยันการคาดเดาของเขา หวังซวี่จึงถามเขาเกี่ยวกับรายละเอียดที่หลี่ผินสั่งให้เขาทำ
ตอนนี้เขาอยู่ในสภาพสับสน แต่หากเขาจำอะไรได้ก็จะเอ่ยออกมาโดยไม่ปิดบัง
จากคำให้การที่สารภาพออกมา ดูเหมือนว่าหลี่ผินแห่งวังหลังเป็นผู้สั่งให้เขาลอบสังหารซ่างกวานเยี่ยนจริงๆ
หลี่ผินไม่ได้บอกเขาว่าทำไมถึงต้องฆ่าซ่างกวานเยี่ยน หลี่ผินกับเขาเดิมไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกัน แต่บังเอิญพบเห็นความสัมพันธ์ลับๆ ระหว่างเขากับนางสนมคนหนึ่งครั้งหนึ่ง
ในวังหลวงห้ามขันทีและนางสนมรับประทานอาหารร่วมกัน หากถูกพบเห็นจะโดนลงโทษร้ายแรง
หลี่ผินใช้เรื่องนี้เป็นข้อต่อรอง ให้เขาช่วยตัวเองกำจัดซ่างกวานเยี่ยน
“หลี่ผินกับซ่างกวานเยี่ยนเคยมีเรื่องบาดหมางกันหรือไม่” กู้เจียวถาม
หวังซวี่เงียบไป
หลี่ผินเพิ่งเข้าวังมาได้ไม่กี่ปี ซ่างกวานเยี่ยนถูกกักขังอยู่ในสุสานกษัตริย์เมื่อสิบกว่าปีก่อน ทั้งสองไม่เคยมีความสัมพันธ์กันแม้แต่น้อย
หากจะบอกว่าเคยมีเรื่องบาดหมางกันคงเป็นไปไม่ได้
แต่ที่หวังซวี่เงียบไม่ใช่เพราะเหตุนี้ แต่เป็นเพราะ… หลี่ผินสนิทกับพระสนมนางหนึ่งในวังหลังเป็นอย่างมาก
กู้เจียวมองไปที่หวังซวี่ “ใครกัน”
หวังซวี่เอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “หวั่นเฟย”
หวั่นเฟย สกุลเดิมว่ามู่ เป็นธิดาคนโตของนายใหญ่มู่เป็นพี่น้องแท้ๆ กับมารดาของมู่ชิงเฉิน
หลี่ผินอยู่ในวังหลวงลำพัง ไม่มีที่พึ่ง ชีวิตแรกเริ่มลำบากยากเข็ญ จนกระทั่งได้พึ่งบารมีของหวั่นเฟย จึงกลายเป็นนางสนมคนสำคัญของวังหลวงในปัจจุบัน
กู้เจียวสงสัย “หวั่นเฟยกับซ่างกวานเยี่ยนมีเรื่องบาดหมางกันหรือไม่”
“เคยมีเรื่องบาดหมางกันจริงๆ ” หวังซวี่ถอนหายใจ “เรื่องเกิดขึ้นตอนที่ซ่างกวานเยี่ยนเพิ่งพาพระนัดดาอายุหนึ่งขวบกว่ากลับเมืองเซิ่งตู หวั่นเฟยแอบคุยกับข้ารับใช้ บอกว่าไม่รู้เด็กคนนี้เป็นลูกนอกไส้หรือเปล่า ซ่างกวานเยี่ยนซึ่งตอนนั้นยังเป็นองค์หญิงได้ยินเข้า จึงตบหวั่นเฟยหนึ่งฉาด แต่ก็ยังไม่พอใจจึงลงโทษให้หวั่นเฟยไปคุกเข่าในสวนหลวง เพื่อเป็นการเตือนสติคนอื่นๆ ตอนนั้นหวั่นเฟยยังเป็นแค่หวั่นผินแต่ก็น่าอับอายอยู่ดี”
กู้เจียวลูบคางพลางเอ่ย “อำนาจของไท่หนี่ว์ยิ่งใหญ่ขนาดนี้เลยเหรอ”
หวังซวี่ตอบ “เพราะมีเซวียนหยวนฮองเฮาและตระกูลเซวียนหยวนหนุนหลัง อำนาจของนางจึงยิ่งใหญ่ ที่สำคัญ นางเป็นธิดาคนเดียวที่เกิดจากราชวงศ์ ในรัชสมัยนี้ นางจึงมีศักดิ์สูงที่สุด”
นี่คือวิธีการของตระกูลเซวียนหยวน
ดูท่าซ่างกวานเยี่ยนจะปกป้องเซียวชิ่งอย่างสุดกำลัง
กู้เจียวเอ่ย “พวกเรามานั่งเดาอยู่ที่นี่ก็เปล่าประโยชน์ หลี่ผินถูกหวั่นเฟยสั่งให้ทำจริงหรือไม่ ต้องไปถามหลี่ผินเอง”
หวังซวี่เห็นด้วยอย่างมาก “ข้าจะเข้าไปในวังเดี๋ยวนี้เลย”
“ช้าก่อน” กู้เจียวรั้งเขาไว้
“หืม” หวังซวี่ชะงักไป
กู้เจียวชี้ไปที่แขนของเขา “แผลของเจ้า”
“เอ่อ อันนี้” หวังซวี่ลืมไปว่าเขายังบาดเจ็บอยู่ เขารู้สึกอึดอัดเล็กน้อย ไอเบาๆ แล้วเอ่ย “ไม่ร้ายแรงอะไรหรอก”
แม้ว่าจะเอ่ยอย่างนั้น เมื่อกู้เจียวถือกระเป๋าปฐมพยาบาลเดินมาหาเขา เขายื่นแขนให้อย่างไม่เต็มใจนัก
กู้เจียวหยิบสำลีที่มีไอโอดีนในตัวออกมาจากกระเป๋าปฐมพยาบาล ทำความสะอาดบาดแผลให้เขาแล้วเย็บสามเข็ม
เพราะใช้ยาชา จึงไม่เจ็บเลย
หวังซวี่มองกู้เจียวด้วยสีหน้าที่ซับซ้อน รู้สึกซาบซึ้งใจ “ขอบ…ขอบคุณมาก”
กู้เจียวยื่นมือออกไป “หนึ่งอัฐเงิน”
หวังซวี่ “….”
….
หวังซวี่จ่ายเงินแล้ว พาคนร้ายกลับไปที่จวนแม่ทัพด้วยสีหน้าขรึม
มองดูร่างของทั้งสองที่หายลับไปในสายหมอก กู้ฉังชิงถาม “คนร้ายคือเขาสินะ”
เขาหมายถึงขันทีคนนั้น
กู้เจียวเอ่ย “ใช่ เขาคนนั้นแหละ ข้าดูหลังมือขวาของเขาแล้ว มีรอยแผลเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยวอย่างที่ซ่างกวานเยี่ยนบอก”
เมื่อครู่ซ่างกวานเยี่ยนฟื้นขึ้นมาครู่หนึ่ง กู้เจียวจึงถือโอกาสถามนางเกี่ยวกับคนร้าย ซ่างกวานเยี่ยนไม่ได้เห็นหน้าตาของคนร้ายชัดนัก แต่นางจับมือคนร้ายไว้และสัมผัสได้ถึงรอยแผลที่หลังมือของเขา
กู้ฉังชิงมองด้วยสายตาลึกซึ้ง “ไม่น่าเชื่อว่าไม่ใช่หันกุ้ยเฟย”
ใช่แล้ว พวกเขาต่างก็คิดว่าผู้อยู่เบื้องหลังในครั้งนี้ต้องเป็นแม่เลี้ยงของไท่จื่อแน่นอน
…
หวังซวี่พาคนร้ายกลับไปที่จวนแม่ทัพและขังเขาไว้ในคุก จากนั้นจึงรีบไปรายงานฮ่องเต้
ฮ่องเต้ให้จางเต๋อเฉวียนเรียกตัวหลี่ผินมา แต่จางเต๋อเฉวียนกลับนำข่าวที่หลี่ผินฆ่าตัวตายมาบอกแทน “ฝ่าบาท หลี่ผินผูกคอตายแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
หลังจากได้รับอนุญาตจากฮ่องเต้ หวังซวี่ได้ขอยืมหมอนิติเวชที่มีประสบการณ์มากจากกรมยุติธรรมมาชันสูตรศพหลี่ผินอย่างละเอียด พบว่าหลี่ผินฆ่าตัวตายเอง ไม่ได้ถูกคนบีบคอหรือฆ่าตายแล้วจึงแขวนคอ
เบาะแสที่หามาได้อย่างยากลำบาก กลับขาดหายไปในทันที
เมื่อคนตายไปแล้ว ก็ทำได้เพียงสืบจากข้าวของที่หลี่ผินทิ้งไว้และคนใกล้ชิดของนางเท่านั้น
หลังจากสืบสวนอย่างหนักหน่วงตลอดทั้งคืน ในที่สุดขันทีหนุ่มคนหนึ่งก็ทนไม่ไหว สารภาพว่าหลี่ผินเคยให้ไปฝากตั๋วเงินที่เฉียนจวง เป็นสามพันตำลึง
หลี่ผินได้รับเงินเดือนปีละเพียงสามร้อยตำลึง เงินจำนวนนี้ต้องไม่ได้กินไม่ได้นอนถึงสิบปีจึงจะเก็บได้ แต่นางเพิ่งมาทำงานที่นี่ไม่ถึงสิบปี เงินเดือนส่วนใหญ่ก็หมดไปกับค่าใช้จ่ายประจำวัน เช่น ค่าจ้างคนใช้ และค่าตอบแทนให้กับพระสนมที่มีตำแหน่งสูงกว่า
ตัวเองก็อยู่อย่างลำบากแล้ว จะมีเงินเหลือจากไหนอีก
หวั่นเฟยที่ใกล้ชิดกับหลี่ผิน กลายเป็นผู้ต้องสงสัยคนแรก
หวั่นเฟยกรีดร้องประท้วงว่าตนโดยใส่ร้าย นางอ้างว่าไม่เคยให้เงินจำนวนนั้นหลี่ผิน แต่หลังจากฮ่องเต้ทรมานเพื่อเค้นความจริงจากสาวใช้ของหวั่นเฟย สาวใช้จึงยอมรับสารภาพทั้งหมด
ความจริงแล้วเงินนั้นเป็นของหวั่นเฟย ไม่มีขาดไม่มีเงิน สามพันตำลึงพอดิบพอดี
“ฝ่าบาท…” หวั่นเฟยคุกเข่าอยู่บนพื้นหินอ่อนเย็นยะเยือกอันแข็งกระด้าง หินอ่อนที่ขัดเงางามสะท้อนให้ใบหน้าน้ำตาคลอเบ้าของนาง
ฮ่องเต้นั่งอยู่บนเก้าอี้ หวังซวี่และจางเต๋อเฉวียนยืนอยู่ด้านข้างทั้งสองฝั่ง
ฮ่องเต้ตวาด “เจ้าจะยอมรับเองหรือจะให้เราสั่งให้ตรวจบัญชีที่เจ้ากับตระกูลมู่มีต่อกัน!”
เงินเดือนของหวั่นเฟยนั้นไม่น้อยเลย แต่นางมีรายจ่ายมากมาย หากไม่มีเงินบำรุงจากตระกูลมู่ นางจะเอาเงินสามพันตำลึงมาจากไหนภาพในพริบตาเดียว
หวั่นเฟยจึงยอมสารภาพความจริง “…ข้าน้อย…ได้ให้เงินหลี่ผินสามพันตำลึง… นั่นเป็นเพราะนางบอกข้าว่าพ่อของนางป่วย… ต้องการเงินจำนวนหนึ่งเพื่อรักษาพยาบาล…”
ฮ่องเต้ตวาดเสียงเย็น “โรคอะไรที่ต้องใช้สามพันตำลึง”
หวั่นเฟยหน้าบึ้งตึง “น้ำแกงนกนางแอ่นชามเดียวก็หนึ่งร้อยตำลึงแล้ว สามพันตำลึงมันมากนักหรือเพคะ”
หวั่นเฟยเป็นลูกสาวของตระกูลมู่ เติบโตมาในครอบครัวที่ร่ำรวย นางจึงเคยกินแต่น้ำแกงนกนางแอ่นทองคำ แต่หากเป็นร้านค้าทั่วไปหนึ่งตำลึงก็สามารถซื้อได้หม้อหนึ่งแล้ว
นางไม่เข้าใจความทุกข์ยากของประชาชน สามพันตำลึงไม่เพียงแต่รักษาโรคในอำเภอเล็กๆ อย่างเจียงหยางเท่านั้น แต่สามารถรักษาคนได้ทั้งเซิ่งตูด้วยซ้ำ
ฮ่องเต้สงสัยถาม “แล้วเหตุใดเมื่อครู่เจ้าถึงปฏิเสธ”
หวั่นเฟยสะอื้นไห้ “ก็ไม่ใช่เพราะหลี่ผินก่อเรื่องหรือเพคะ ข้ากับนางสนิทกัน กลัวจะโดนหางเลขไปด้วย เลยรีบตัดขาดความสัมพันธ์กับนาง”
ฮ่องเต้จ้องลึกเขาไปในดวงตาของนาง แววตาเต็มไปด้วยความโกรธ “หวั่นเฟย เราไม่เชื่อ”
…
รุ่งเช้าวันรุ่งขึ้น ทั่วทั้งวังหลวงต่างก็รู้กันหมดว่าหวั่นเฟยสั่งให้หลี่ผินลอบปลงพระชนม์ซ่างกวานเยี่ยน
หวั่นเฟยถูกลงโทษให้ไปอยู่ในตำหนักเย็น เดิมทีฮ่องเต้ยังจะปลดนางออกจากตำแหน่งพระชายา ถอดนางให้เป็นนางสนม แต่หวังเสียนเฟยเข้าข้างนาง จึงช่วยรักษาตำแหน่งของนางไว้ชั่วคราว
ซ่างกวานเยี่ยนไม่ใช่องค์หญิงอีกต่อไป เป็นเพียงสามัญชนคนหนึ่ง และนางก็ไม่ได้ตายจริงๆ การลงโทษเช่นนี้ถือว่าหนักมากสำหรับพระชายาคนหนึ่ง
หวั่นเฟยร้องไห้คร่ำครวญ
หวังเสียนเฟยขอให้นางอยู่ในตำหนักเย็นต่อไปสักระยะหนึ่งก่อน เมื่อฮ่องเต้อารมณ์เย็นลงแล้ว นางจะพยายามหาทางช่วยนางออกมา
“แม้แต่ฮองเฮาเข้าไปแล้วก็ยังออกมาไม่ได้ ข้าจะออกไปได้ไหมเจ้าคะ” หวั่นเฟยร้องไห้คร่ำครวญอยู่หน้าตำหนัก
หวังเสียนเฟยตบไหล่นางปลอบใจ “ฝ่าบาทกำลังกริ้ว เจ้าให้เวลาข้าหน่อย”
หวั่นเฟยจับมือหวังเสียนเฟยแน่น “ข้าไม่ได้ทำ… ไม่ใช่ข้าจริงๆ …ท่านพี่เชื่อข้านะ…”
หวังเสียนเฟยถอนหายใจ “ข้าเชื่อเจ้าก็ไม่มีประโยชน์ ต้องฝ่าบาทเชื่อเท่านั้น”
จางเต๋อเฉวียนเร่งเร้า “หวั่นเฟย เชิญพ่ะย่ะค่ะ…”
หวั่นเฟยจ้องมองจางเต๋อเฉวียนด้วยสายตาอาฆาต “ไอ้หมากระจอก!”
ปกติแล้วหวั่นเฟยเป็นเหมือนนางพญา แต่ตอนนี้นางกำลังจะเข้าตำหนักเย็นแล้ว แม้แต่ความเป็นนางพญาก็ไม่เหลือแล้ว!
รถม้าหรูหราที่สี่คนหามค่อยๆ เคลื่อนผ่านหน้าตำหนักหวั่นเฟย บนรถม้า หันกุ้ยเฟยผู้แสนสง่างามโบกมือให้ขันทีผู้ติดตาม
รถม้าหยุดลง
หันกุ้ยเฟยและหวังเสียนเฟยต่างก็เป็นกลุ่มคนที่รับใช้ฮ่องเต้มาตั้งแต่แรก มีหลานกันแล้วด้วยซ้ำ แต่เนื่องจากดูแลตัวเองเป็นอย่างดี จึงดูราวกับอายุเพียงสี่สิบต้นๆ
นางมองหวั่นเฟยด้วยสายตาที่คล้ายจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม “หวั่นเฟย กำลังจะไปแล้วเหรอ”
หวังเสียนเฟยกำลังหมดความนิยม จึงพาลูกสาวของตระกูลมู่เข้ามาในวังเพื่อเป็นกำลังให้ตัวเอง หากปราศจากหวั่นเฟย หวังเสียนเฟยก็เหมือนขาดแขนข้างหนึ่ง
หวั่นเฟยโกรธจัด นางก้าวเข้ามาใกล้และชี้ไปที่หันกุ้ยเฟย “ต้องเป็นเจ้าแน่! เจ้าใส่ร้ายข้า! เจ้าฆ่าหลี่ผิน! เจ้า! ทั้งหมดเป็นเจ้า!”
หันกุ้ยเฟยยกคางขึ้น ยิ้มอย่างเยาะเย้ย “เรื่องนี้หวั่นเฟยไปเอ่ยกับฝ่าบาทสิ หากฝ่าบาทคิดว่าเป็นข้าทำ ข้าก็จะไม่รอให้ฝ่าบาทสั่ง ข้าจะขนของย้ายไปอยู่ตำหนักเย็นเป็นเพื่อนเจ้าเอง”
“เจ้า!”
หวังเสียนเฟยส่ายหน้าให้หวั่นเฟย บอกให้นางใจเย็น
หันกุ้ยเฟยสะบัดผ้าเช็ดหน้าในมือ มองไปข้างหน้า เอ่ยอย่างไม่ใยดี “อย่าลืมพกผ้าห่มไปหลายผืนหน่อยละ ได้ยินมาว่าตำหนักเย็นหนาวเย็นนัก”
หวั่นเฟยแทบจะระเบิดด้วยความโกรธ แต่ตอนนี้ความโกรธก็ไม่มีประโยชน์อะไร นางถูกผู้หญิงต่ำช้าคนนี้ใส่ร้ายจนต้องเข้าไปอยู่ในตำหนักเย็น!
จางเต๋อเฉวียนเร่งรัดอีกครั้ง
“รบกวนจางกงกงรอสักครู่” หวังเสียนเฟยเอ่ยอย่างสุภาพ ให้คนรับใช้มอบถุงทองคำให้จางเต๋อเฉวียน
จางเต๋อเฉวียนรับถุงทองคำแล้วเอ่ยเสียงกระซิบ “อีกสิบห้านาที เกินกว่านี้ไม่ได้แล้ว กระหม่อมยังต้องกลับไปรายงานกับฝ่าบาท”
หวังเสียนเฟยพยักหน้าและปลอบหวั่นเฟยอีกสักพัก
หวั่นเฟยใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดน้ำตา เอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ท่านพี่เซียนเฟย ช่วยข้าดูแลองค์ชายหกด้วย คนชั่วนั่นใจเหี้ยมโหด นางกล้าทำข้าขนาดนี้ ข้ากลัวว่านางจะทำอะไรไม่ดีกับองค์ชายหก”
องค์ชายหกเป็นพระราชโอรสที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะเพียงคนเดียวในวังหลวง เป็นโอรสองค์เล็กของฮ่องเต้
หวังเสียนเฟยจับมือนางไว้แน่นพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะพาเขาไปอยู่ที่ตำหนักเสียนฟู่ จะไม่ให้ใครทำร้ายเขา ฟังข้านะ เมื่อเจ้าไปอยู่ที่ตำหนักเย็น ห้ามเอาแต่ใจตัวเองเด็ดขาด”
หวั่นเฟยถูกจางเต๋อเฉวียนพาตัวไป
หวังเสียนเฟยสั่งให้ขันทีข้างกายไปรับองค์ชายหกที่สำนักบัณฑิตหลวง
ขณะที่นางกำลังเดินกลับตำหนักของตน นางก็พบกับหันกุ้ยเฟยที่กำลังชมดอกไม้อยู่ในสวนหลวง
หวังเสียนเฟยมองหันกุ้ยเฟยด้วยสายตาเย็นชาพลางเอ่ย “ครั้งนี้เจ้าทำเกินไปจริงๆ ”
หันกุ้ยเฟยมองนางพลางหัวเราะเยาะ “ฮึ”
…
เมื่อฟ้าสาง ตำหนักกั๋วซือก็ได้รับข่าวว่าหวั่นเฟยถูกลงโทษ
ซ่างกวานเยี่ยนยังไม่ตื่น
ในห้อง เซียวเหิง กู้เจียว และกู้ฉังชิง นั่งประจันหน้ากัน
“ไม่คิดว่าหวั่นเฟยจะเป็นคนรับเคราะห์” กู้เจียวเอ่ย “ช่างสมกับเป็นวิธีการของตระกูลหัน”
ชอบทำให้ผู้อื่นรับเคราะห์แทน
“ศัตรูแข็งแกร่งนัก” กู้ฉังชิงเอ่ย “ไม่ใช่ความแข็งแกร่งทางกำลัง แต่เป็นชั้นเชิงและเล่ห์เหลี่ยม”
ตระกูลที่มีคนแบบนี้อยู่คนหนึ่งก็ไม่น่ากลัวเท่าไหร่ แต่ถ้าทุกคนมีหัวสมองที่เฉียบแหลมแบบนี้ ก็ไม่น่าแปลกใจที่จะสามารถแย่งชิงตำแหน่งตระกูลชั้นสูงอันดับหนึ่งมาได้
นี่ก็เป็นตระกูลชั้นสูงที่ต่อกรด้วยยากยิ่ง
แต่เซียวเหิงกลับไม่รู้สึกกลัวแม้แต่น้อย กลับมีความรู้สึกแปลกประหลาดบางอย่างที่หยั่งรากลึกอยู่ในสายเลือดของเขา นั่นคือความปรารถนาที่จะแข่งขันและชิงอำนาจ
นี่คงเป็นอารมณ์ที่กู้เจียวรู้สึกเมื่อเห็นคนที่เก่งกว่า
เพียงแต่กู้เจียวต้องการแข่งขันอย่างบริสุทธิ์ใจเท่านั้น เขาเป็นคนดำมืดกว่า เขาต้องการกินรวบทุกอย่างโดยไม่เหลือแม้แต่กระดูก
ตระกูลหันและตระกูลหวังเป็นปลาตัวใหญ่สองตัว ตระกูลหันต้องการกินปลาตัวอื่นๆ ทั้งหมด ก็ปล่อยให้มันกินไปเถอะ
ตระกูลชั้นสูงทั้งสิบตระกูลล้วนไม่บริสุทธิ์ ตระกูลเซวียนหยวนถูกสังหารหมู่ องค์หญิงถูกกดขี่ข่มเหง ตระกูลชั้นสูงทุกตระกูลต่างก็มีส่วนร่วม
เขาไม่สงสารหวั่นเฟย
เช่นเดียวกับในอดีต ไม่มีใครสงสารเซวียนหยวนฮั่นเหยียนที่ถูกส่งไปตำหนักเย็น
“ตระกูลหันเป็นกระบี่ชั้นยอด” เซียวเหิงก้มหน้าลง ลูบไล้ใบมีดในมือของเขา “หลังจากนี้ ก็ทำให้กระบี่เล่มนี้คมขึ้นอีกหน่อย”