สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 732-2 หลงอี (2)
บทที่ 732 หลงอี (2)
ใต้เท้ากั๋วซือเอ่ยเสียงเรียบ “ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องใส่ใจ เขาเป็นเพียงบัณฑิตจากแคว้นเจาเท่านั้น นอกจากเชี่ยวชาญด้านการแพทย์ ตีคลีเป็น ทั้งยังวิชาอื่นติดตัวอีกนิดหน่อย นอกจากนั้นก็ไม่มีอะไรอีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ขมวดคิ้ว “ท่านยอมรับเขาถึงขั้นนี้แล้ว ยังเรียกว่าไม่มีอะไรอีกหรือ”
ใต้เท้ากั๋วซือดูเหมือนอารมณ์ดีไม่น้อย หัวเราะพลางเอ่ย “นับแต่โบราณกาล วีรบุรุษนั้นปรากฏตัวตั้งแต่เยาว์วัย”
ฮ่องเต้ไม่ได้ตรัสอะไรต่อ
ใต้เท้ากั๋วซือยกมือขึ้น
ศิษย์คนหนึ่งที่ยืนรออยู่ข้างๆ เดินเข้ามาตั้งใจจะจัดเรียงกระดานหมากรุกใหม่ ฮ่องเต้โบกพระหัตถ์ “ช่างเถิด ไม่เล่นแล้ว ดึกแล้ว ข้าควรกลับวังได้แล้ว”
“ฝ่าบาท” ใต้เท้ากั๋วซือมองไปที่หวังซวี่ที่อยู่ด้านข้าง
ฮ่องเต้เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าหวังซวี่มาเข้าเฝ้าตั้งแต่เมื่อครู่ แต่เขาจดจ่ออยู่กับการเล่นหมากรุกมากเกินไป จึงปล่อยให้หวังซวี่รออยู่จนถึงตอนนี้
ฮ่องเต้กำลังจะตรัสว่า ‘มีธุระอันใด’ แต่เสียงของค้างอยู่ที่ลำคอ ขมวดคิ้ว “เหตุใดเจ้าถึงมีสภาพเช่นนี้”
หวังซวี่เปลี่ยนกลับมาใส่ชุดแม่ทัพของตัวเองแล้ว แต่ใบหน้าบูดบวมเหมือนหัวหมูนั้นไม่สามารถกลับคืนสู่สภาพเดิมได้ทันที
ขำไม่อยากโทษพระนัดดาองค์โตของฮ่องเต้ เขาจึงเอ่ยแก้เก้อ “ลื่นล้มพ่ะย่ะค่ะ”
ใต้เท้ากั๋วซือดื่มชาพลางเอ่ยติดตลก “คนมีวรยุทธ์ย่อมแรงเยอะ ลื่นล้มคราหนึ่งจึงรุนแรกกว่าคนธรรมดา”
คนธรรมดาที่ไหนจะล้มแล้วหน้าบวมเป่งขนาดนี้… หวังซวี่รู้สึกอับอายในใจ แต่ถึงกระนั้นบอกว่าตัวเองหกล้มก็ยังดีกว่าบอกว่าโดนซ้อมเป็นไหนๆ
หวังซวี่กลับประเด็น โค้งคำนับแล้วทูลรายงาน “กระหม่อมได้สอบสวนคดีองค์หญิงได้รับบาดเจ็บ พบเบาะแสบางอย่างแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“โอ้” ฮ่องเต้เพิ่งจะยกแก้วชาขึ้นดื่ม เมื่อได้ยินดังนั้นจึงวางแก้วลง “ว่ามา”
หวังซวี่ล้วงผ้าสะอาดผืนหนึ่งออกมาจากอก เขาเปิดออกแล้วเผยให้เห็นเส้นไหมหม่อนบางๆ หนึ่งเส้น “นี่คือสิ่งที่ข้าน้อยพบบนหนามของพุ่มไม้ในที่เกิดเหตุ น่าจะมาจากผ้าของคนร้ายพ่ะย่ะค่ะ”
จางเต๋อเฉวียนหยิบผ้าผืนนั้นขึ้นมาแล้วยื่นให้ฮ่องเต้และใต้เท้ากั๋วซือ
ใต้เท้ากั๋วซือเหลือบมองพลางเอ่ย “มันเป็นผ้าจากอำเภอหัวหยาง คุณภาพปานกลาง ตำหนักกั๋วซือก็ใช้ผ้าชนิดนี้ทำเสื้อผ้าฤดูร้อนให้กับศิษย์เช่นกัน”
ผ้าที่ศิษย์ตำหนักกั๋วซือสวมใส่นั้นไม่ใช่ผ้าธรรมดา
ฮ่องเต้ยังคงมองไปที่ใต้เท้ากั๋วซือ
ใต้เท้ากั๋วซือหยิบขึ้นมาดม “ไม่มีกลิ่นหอมของตำหนักกั๋วซือของข้า ไม่ได้เป็นคนของกั๋วซือของข้า”
ฮ่องเต้คิดในใจ ใครสงสัยตำหนักกั๋วซือของเจ้ากันเล่า
ใต้เท้ากั๋วซือมองไปที่จางเต๋อเฉวียน “ในวังมีใครใส่ผ้าไหมหม่อนแบบนี้บ้าง”
“เอ่อ…” แค่เส้นไหมหม่อมเส้นเดียว จางเต๋อเฉวียนเองก็ดูไม่ออก
ใต้เท้ากั๋วซือเอ่ยกับศิษย์ที่อยู่ข้างๆ “ไปเอาผ้าไหมหม่อนที่เหมือนกันมา”
“ขอรับ” ลูกศิษย์ตอบแล้วหันหลังเดินออกไป
ไม่นานเขาก็ถือผ้าไหมหม่อนผืนยาวมา
จางเต๋อเฉวียนเดินไปเข้าไปใกล้ก่อนจะสัมผัส พลางเอ่ยด้วยความประหลาดใจ “ข้อน้อยก็ใส่ผ้าแบบนี้เหมือนกันพ่ะย่ะค่ะ!”
ใต้เท้ากั๋วซือเอ่ย “ดูเหมือนจะเป็นขันทีในวังหลวง หรือไม่ก็เป็นขันทีที่มียศศักดิ์เช่นเดียวจางเต๋อเฉวียน”
หวังซวี่เสริม “อีกฝ่ายไม่ได้ทิ้งรอยเท้าไว้ในที่เกิดเหตุเลย กระหม่อมเดาว่าอีกฝ่ายน่าจะมีวรยุทธ์สูงมากเช่นกัน”
ขันทีที่มีวรยุทธ์สูงและมียศศักดิ์นั้นหายาก ไม่แน่ว่าอีกฝ่ายอาจซ่อนความลับเอาไว้
ฮ่องเต้ตรัสด้วยเสียงหนักแน่น “ให้เวลาเจ้าหนึ่งคืน หากข้าไม่เห็นตัวคนร้ายในวันพรุ่งนี้ แม่ทัพเช่นเจ้าคงต้องสิ้นชื่อแล้ว!”
แค่หนึ่งคืนเท่านั้นเองหรือ นี่มันเกินไปหรือเปล่า……
แต่ฮ่องเต้ตรัสจริงทำจริง หากข้าไม่สามารถสืบสวนได้จริงๆ พรุ่งนี้ข้าก็ต้องถูกปลดจากตำแหน่ง
ขาโค้งคำนับรับคำสั่ง “กระหม่อมรับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ!”
….
ท้องฟ้ามืดแล้ว ฮ่องเต้ควรกลับแล้ว
“องค์หญิงน้อยอยู่ที่ไหน” เขาถามจางเต๋อเฉวียน
จางเต๋อเฉวียนตอบ “ดูเหมือนจะเล่นอยู่ในสวนกับเพื่อนๆ เสี่ยวเจิ้งก็ติดตามไปด้วยขอรับ”
เสี่ยวเจิ้งเป็นยอดฝีมือภายในวัง
ที่นี่เป็นตำหนักกั๋วซือ ฮ่องเต้ไม่ได้กังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยขององค์หญิงน้อย แต่เขากังวลว่าตัวเองละเลยนางมานานขนาดนี้ นางจะรู้สึกเสียใจหรือน้อยใจ
หากเสียใจขึ้นมาเมื่อไหร่นางจะร้องไห้ ทว่าร้องไห้ทีหนึ่งเหมือนฟ้าถล่มดินทลาย
“ขนมอยู่ไหน” ฮ่องเต้ตรัสถาม
“อยู่นี่พ่ะย่ะค่ะ” จางเต๋อเฉวียนชี้ไปที่กล่องขนมที่เตรียมไว้ตั้งแต่เช้า
“อืม” ฮ่องเต้พร้อมกับจางเต๋อเฉวียนและขนมเดินไปหาองค์หญิงน้อยที่สวน
บังเอิญมากที่กู้เจียวก็กำลังตามหาเสี่ยวจิ้งคงเช่นกัน นางได้ยินมาว่าเด็กทั้งสองเล่นอยู่ในสวนในช่วงบ่าย หลังจากออกจากห้องเก็บตำรา นางก็ตรงมาที่สวนแห่งนี้
ใครจะไปคาดคิดกันว่านอกจากจะไม่เจอเสี่ยวจิ้งคงแล้ว แต่กลับเจอฮ่องเต้แทน
ฮ่องเต้เห็นกู้เจียว ประโยคนั้นของกู้เจียวก็ผุดขึ้นมาในหัวโดยไม่รู้ตัว “รักษาหากแล้ว พระองค์เสด็จมาขอบคุณใช่หรือไม่”
ไฟในใจของเขาลุกโชนขึ้น
ซ่างกวานเยี่ยนบาดเจ็บจึงก่อเรื่องไม่ได้ เดิมทีเขาคิดว่าคงไม่ใช่ยั่วโมโหเขาได้อีกแล้ว แต่ตอนนี้กลับมีเซียวลิ่วหลังที่ไม่รู้ว่าโผล่มาตั้งแต่ตอนไหน
ใต้เท้ากั๋วซือว่าไว้ไม่มีผิด แววตาของเด็กคนนี้ไม่มีความเกรงกลัวต่ออำนาจกษัตริย์เลยแม้แต่นิด เช่นนั้นแล้วก็ย่อมไม่มีเกรงกลัวฮ่องเต้อย่างตนแน่นอน
เขายืนตระหง่านอยู่ตรงนั้น ทันใดนั้น ฮ่องเต้ก็เหมือนเห็นเงาของเซวียนหยวนเซิ่งในอดีตทับซ้อนขึ้นมา
เหตุใดไม่ใช่เซวียนหยวนลี่ อาจเป็นเพราะเมื่อฮ่องเต้รู้จักเซวียนหยวนลี่ เซวียนหยวนลี่ก็ไม่ใช่เด็กอีกต่อไปแล้ว
เขาเคยเห็นเซวียนหยวนเซิ่งในวัยหนุ่มที่แต่งกายหรูหราและสง่างาม
“เหตุใดไม่คุกเข่าลงเมื่อเห็นเรา”
“เหตุใดต้องคุกเข่า”
“ข้าคือฮ่องเต้”
“พระองค์ไม่ใช่ฮ่องเต้ของกระหม่อม กระหม่อมเป็นคนแคว้นเจา”
ฮ่องเต้มีชีวิตอยู่มาครึ่งชีวิต ยังไม่เคยเห็นคนหยิ่งยโสแบบนี้มาก่อน
พระเนตรของฮ่องเต้เริ่มตื่นตระหนกขึ้น
ทันใดนั้น ขันทีน้อยก็รีบเดินเข้ามากระซิบกับจางเต๋อเฉวียน จางเต๋อเฉวียนเหมือนได้รับการปลดปล่อยในที่สุด ทูลฮ่องเต้ “ฝ่าบาท! องค์หญิงน้อยอยู่ที่ตำหนักฉีหลิน! รีบไปหานางกันเถอะพ่ะย่ะค่ะ! ไม่อย่างนั้นถ้านางไม่เห็นพระองค์ นางก็จะร้องไห้อีก! พอตกกลางคืน นางก็จะมาหาพระองค์ ท่านลืมไปแล้วหรือ”
ฮ่องเต้นึกถึงภาพองค์หญิงน้อยที่กำลังร้องไห้ เขาจึงตัดสินใจที่จะปล่อยเด็กคนนี้ไปก่อน
เขาเดินหน้าบึ้งตึงไปตำหนักฉีหลิน
กู้เจียวก็กำลังจะกลับตำหนักฉีหลินเช่นกัน
ถ้าองค์หญิงน้อยอยู่ที่นั่น แน่นอนว่าเสี่ยวจิ้งคงก็ต้องอยู่ที่นั่นด้วย
ฮ่องเต้คิดว่านางกำลังจะไปดูแลองค์หญิง เขาขมวดคิ้ว แต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไร
ตอนนี้ท้องฟ้ามืดสนิทแล้ว ปกติในเวลานี้ ถ้าองค์หญิงน้อยไม่เห็นเขา นางจะร้องไห้จนทั้งวังไม่สงบ
พอคิดแบบนี้ ฮ่องเต้จึงเร่งฝีเท้า
เขาคิดถึงวิธีปลอบโยนองค์หญิงน้อยร้อยวิธีในหัวของเขา แต่ผลที่ตามมาเมื่อเขามาถึงประตูตำหนักฉีหลิน เขาก็ตกตะลึงกับสิ่งที่เห็นตรงหน้า
องค์หญิงน้อยและเสี่ยวจิ้งคงยืนอยู่ตรงประตู ทั้งสองตัวยืนตัวตรง สองแขนไขว้หลัง เหมือนกับสองตัวนำโชคตัวน้อย
หัวทั้งสองของสั่นไหวตามจังหวะและร้องเพลงอย่างน่ารัก
“เจ้ารักข้า ข้ารักเจ้า~ ดาดาดาดา หวานชื่น~ เจ้ารักข้า ข้ารักเจ้า~ ดาดาดาดา หวานชื่น~”
ร้องมาครึ่งชั่วโมงแล้ว จนทั้งตำหนักกั๋วซือต่างร้องตามได้
ฮ่องเต้ “…”
กู้เจียว “…”