สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 732 หลงอี (1)
บทที่ 732 หลงอี (1)
ลี่
นี่เซวียนหยวนลี่หรือ
เซวียนหยวนลี่เป็นสหายร่วมรุ่นกับฮ่องเต้ หากเขายังมีชีวิตอยู่น่าจะอายุใกล้เคียงกับฮ่องเต้
นี่น่าจะเป็นภาพวาดสมัยหนุ่มของเขา
เหตุใดถึงรู้สึกคุ้นเคยราวกับเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
อาจเป็นเพราะไฝน้ำตาหรือเปล่า เพราะเซียวเหิงเองก็มี
หรือจะเป็นทวนพู่แดงในมือของเขา
“นี่คือเซวียนหยวนลี่ อดีตประมุขตระกูลเซวียนหยวน” เย่ชิงเห็นนางจ้องภาพวาดอย่างเหม่อลอย จึงแนะนำให้นางรู้จัก
ตระกูลเซวียนหยวนเป็นสิ่งต้องห้าม ที่คนในแคว้นเยี่ยนไม่กล้าเอ่ยถึง เย่ชิงเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของตำหนักกั๋วซือจึงกล้าเอ่ยถึงเรื่องนี้
กู้เจียวดูภาพวาดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเก็บภาพวาดอย่างระมัดระวัง แล้วเปิดภาพวาดอีกภาพหนึ่งต่อ
คราวนี้นางดูชื่อเป็นอันดับแรก ชื่อของเขาคือเซวียนหยวนเซิ่ง
ภาพนี้เป็นภาพวาดสมัยหนุ่มของเขาเช่นกัน ดูแล้วน่าจะอายุประมาณยี่สิบปี
เขาสวมชุดเกราะสีเงิน ถือทวนพู่แดงในมือ หน้าตาคล้ายกับเซวียนหยวนลี่มาก หล่อเหลายิ่งนัก มีไฝเม็ดหนึ่งตรงกลางหน้าผาก
ถ้าถอดชุดเกราะออก คงจะเป็นหนุ่มรูปงามราวเทพบุตรคนหนึ่ง
เย่ชิงมองดูภาพวาดพลางเอ่ย “ตอนเซวียนหยวนเซิ่งเป็นเด็ก ร่างกายอ่อนแอมาก บวกกับไฝตรงกลางหน้าผาก จึงมักถูกเด็กผู้ชายรุ่นเดียวกันล้อเลียนว่าเหมือนเด็กผู้หญิง ต่อมาเขาติดตามผู้เป็นพ่อเพื่อฝึกฝนวรยุทธ์ พยายามที่จะแข็งแกร่งขึ้น และในที่สุดก็กลายเป็นยอดนักรบที่สามารถสืบทอดตำนานเทพสงครามเซวียนหยวนลี่ได้”
กู้เจียวรู้สึกประทับใจมาก “ช่างเป็นเรื่องราวที่น่าประทับใจยิ่งนัก”
บุรุษในภาพวาดนั้นสูงใหญ่ ดวงตาดุดัน รังสีสังหารแผ่ซ่าน ใครจะคาดคิดว่าเขาจะเคยผ่านประสบการณ์เช่นนั้นในวัยเด็ก
กู้เจียวเปิดภาพวาดที่สามเป็นภาพของฮองเฮาเซวียนหยวนก่อนออกเรือน ชื่อใต้ภาพคือเซวียนหยวนหันเยียน
เป็นภาพวาดของนางที่กำลังตีคลีม้า สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของลูกสาวตระกูลนักรบ
ใบหน้างดงามเหลือเกิน
ซ่างกวานเยี่ยนหน้าตาเหมือนนางยิ่งนัก โดยเฉพาะดวงตาเฉี่ยวดุจหงส์
พอมาดูอีกที เซียวเหิงเองก็ใบหน้าคล้ายนางเหมือนกัน
กู้เจียวเปิดภาพวาดที่สี่ แต่ก็ยังภาพเป็นลูกสาวตระกูลเซวียนหยวนคนหนึ่ง ชื่อเซวียนหยวนจื่อ
“นางคือใครหรือ” กู้เจียวถามเย่ชิง
เย่ชิงเอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “เซวียนหยวนจื่อ เป็นธิดาคนโตของครอบครัวเซวียนหยวนลี่ เป็นน้องสาวแท้ๆ ของเซวียนหยวนเซิ่ง และเป็นภรรยาของท่านชายใหญ่จิ่ง”
กู้เจียวสงสัย “ภรรยาของ…ท่านชายใหญ่จิ่ง”
เย่ชิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งพลางเอ่ย “อ๋อ หมายถึงฮูหยินของอันกั๋วกงน่ะขอรับ นางเสียชีวิตในขณะที่ท่านชายใหญ่จิ่งยังไม่ยังได้สืบทอดตำแหน่งกั๋วกง ดังนั้นจึงได้รับการฝังศพด้วยศักดิ์ของภรรยาของท่านชายใหญ่จิ่ง”
กู้เจียวเอ่ยออกมาโดยไม่รู้ตัว “เป็นแม่ของจิ่งยินยินหรือ”
คราวนี้เปลี่ยนเป็นเย่ชิงที่สงสัย “เอ๊ะ ท่านชายเซียวรู้ด้วยหรือขอรับ”
กู้เจียวตอบ “จู่ๆ ก็ผุดขึ้นมาในหัวน่ะ”
เย่ชิงเข้าใจ “ท่านอยู่เมืองหลวงมานานขนาดนี้ น่าจะเคยได้ยินเรื่องอันกั๋วกงมาบ้างใช่ไหมขอรับ”
“อืม ก็ได้ยินมาบ้างน่ะ” จากนั้นกู้เจียวก็กลับมาดูภาพวาดของหญิงสาวอีกครั้ง
นี่คือใบหน้าที่บริสุทธิ์และงดงาม หากพินิจเครื่องหน้าแต่ละส่วนแยกจากกันแล้วก็ไม่นับว่างามนัก ทว่าหากมองประกอบกันแล้วกลับใช้ได้เลยทีเดียว
เป็นหน้าตาแบบที่กู้เจียวชอบ
กู้เจียวจ้องมองภาพวาดของเซวียนหยวนจื่ออยู่นานมาก นานจนแสงสุดท้ายของวันดับลง
ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงดังโครมครามมาจากบันไดชั้นสาม ลูกศิษย์คนหนึ่งทำภาพหลุดมือจนกลิ้งเกลื่อนเต็มพื้น
เย่ชิงรีบช่วยเขาเก็บ
ลูกศิษย์สองคนที่คอยเฝ้าเวรชั้นสองไม่ได้ขยับ
ในห้องเก็บตำรา ไม่ได้มีเพียงแค่หนังสือและเอกสารเท่านั้นที่ถูกแบ่งระดับ แม้แต่เหล่าศิษย์ก็เช่นกัน
ศิษย์ชั้นล่างไม่สามารถขึ้นไปชั้นสอง ไม่สามารถแอบดูสิ่งของของชั้นสองได้ ศิษย์ชั้นสองไม่สามารถขึ้นไปชั้นสามและสัมผัสกับสิ่งของที่เกี่ยวข้องกับชั้นสามได้
ดังนั้นจึงมีแค่เย่ชิงเท่านั้นที่เข้าไปช่วยได้
กู้เจียวเห็นสองคนที่คอยเฝ้าชั้นสองไม่ได้ขยับ คงเข้าใจว่าตัวเองก็ไม่เหมาะสมที่จะเข้าไปช่วย นางจึงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม
เพียงแต่ลูกศิษย์คนนั้นดูร้อนรนเหลือเกิน ภาพที่เพิ่งเก็บขึ้นมาได้ก็หล่นลงไปอีก เขารีบไปแย่งภาพวาดจนเกือบจะลื่นล้ม
เย่ชิงก็ทุลักทุเลเพราะเขาไม่ต่างกัน
ภาพวาดม้วนหนึ่งกลิ้งมาถึงเท้าของกู้เจียว กู้เจียวก้มลงเก็บภาพวาดม้วนนั้นขึ้นโดยไม่เปิดดู ก่อนจะเดินเข้าไปยื่นให้พวกเขา “นี่”
เย่ชิงรับมา “ขอบคุณขอรับ”
ภาพวาดม้วนหลายม้วนกระจัดกระจายอยู่บนพื้น กู้เจียวไม่ได้ตั้งใจจะมอง แต่หันหลังกลับเดินจากไป
ทว่าสายตาของนางก็เหลือบไปเห็นภาพวาดม้วนหนึ่งโดยไม่ได้ตั้งใจ
สัญชาตญาณแรกบอกให้นางเดินต่อไป แต่สัญชาตญาณครั้งที่สองกลับบอกให้นางหยุดลงอย่างกะทันหัน
คราวนี้ นางมองภาพวาดนั้นอย่างเปิดเผย ศิษย์คนนั้นก็รีบม้วนภาพวาดเก็บทันที
เขาเอ่ยขอโทษซ้ำไปซ้ำมา “ขอโทษขอรับ ศิษย์พี่ใหญ่”
เย่ชิงเอ่ยอย่างใจเย็น “ไม่เป็นไร คราวหน้าระวังหน่อย”
เขาเอ่ยอย่างทราบซึ้ง
“รับทราบขอรับ เช่นนั้นข้าขอตัวขอรับศิษย์พี่ใหญ่”
เย่ชิงพยักหน้า “ไปเถิด”
ศิษย์คนนั้นหอบทั้งหนังสือและภาพวาดม้วนลงจากชั้นสอง
ภาพวาดของชายหนุ่มคนนั้นยังคงวนเวียนอยู่ในความคิดของกู้เจียว
ไม่ใช่อย่างอื่น เพียงแค่ใบหน้าของชายหนุ่มนั้นคล้ายกับหลงอีมาก
ถ้าหลงอีย้อนกลับไปเมื่ออายุสิบสามหรือสิบสี่ปี คงจะหน้าตาแบบนั้น
คนธรรมดาไม่สามารถวาดภาพใบหน้าของใครบางคนในใจได้อย่างสมบูรณ์ แม้กระทั่งพ่อแม่ที่ใกล้ชิดที่สุด หากหลับตาก็จะเหลือเพียงโครงร่างที่คลุมเครือ
แต่กู้เจียวได้รับการฝึกฝนพิเศษ นางจดจำใบหน้าทั้งหมดที่เคยผ่านตาได้
นางไม่อาจหยุดเปรียบเทียบใบหน้าของหลงอีกับภาพวาดของชายหนุ่มผู้นั้นได้
ชายหนุ่มคนนั้นจะเป็นหลงอีเมื่อหลายปีก่อนหรือไม่ หรือเป็นเพียงคนที่หน้าตาคล้ายกับหลงอี
ถ้าเป็นอย่างหลังก็ช่างมันเถอะ แต่ถ้าเป็นหลงอีละก็…
หากดูจากวิธีการจัดวางของชั้นหนึ่งและชั้นสองแล้ว ยิ่งขึ้นไปชั้นบนก็ยิ่งเป็นความลับสินะ
ภาพวาดเมื่อกี้ถูกอุ้มลงมาจากชั้นสาม แม้แต่ภาพวาดของตระกูลเซวียนหยวนและตระกูลชั้นสูงสิบตระกูลก็อยู่ที่ชั้นสองเท่านั้น หลงอีจะมีระดับความลับสูงกว่าพวกเขาหรือไม่
…
ในห้องหนังสือชั้นสาม ฮ่องเต้และใต้เท้ากั๋วซือนั่งคุกเข่าบนเบาะเล่นหมากรุก
หวังซวี่รออยู่ข้างๆ พวกเขาเป็นเวลากว่าครึ่งชั่วยามแล้ว
จนกระทั่งกั๋วซือวางหมากตัวสุดท้ายลง ฮ่องเต้จึงถอนหายใจ “ท่านชนะอีกแล้ว”
ใต้เท้ากั๋วซือเอ่ย “ชนะแค่ครึ่งแต้มเองพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ฮึดฮัด “แค่ครึ่งแต้มก็ชนะแล้ว อย่าคิดเราไม่รู้นะว่าท่านอ่อนข้อให้ตลอด”
ใต้เท้ากั๋วซือมองฮ่องเต้แล้วเอ่ย “ฝีมือหมากรุกของฝ่าบาทมิได้แย่แต่อย่างใด ฝ่าบาทแค่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว กำลังเป็นห่วงองค์หญิงอยู่ใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าไม่ได้เป็นห่วงนางเลย!” ฮ่องเต้เอ่ยจบแล้วเว้นวรรค “นอกจากนี้ นางไม่ใช่องค์หญิงแล้ว”
ใต้เท้ากั๋วซือก็ไม่เอ่ยแย้งว่าเมื่อคืนท่านเองที่เรียกนางว่าองค์หญิง
ฮ่องเต้ลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วถาม “อาการบาดเจ็บของนาง… จริงๆ แล้วสามารถรักษาหายได้หรือไม่”
“ได้พ่ะย่ะค่ะ” กั๋วซืออย่างไม่ลังเล
ฮ่องเต้มองเขาอย่างสงสัย “ท่านมั่นใจขนาดนั้นเชียวหรือ”
ใต้เท้ากั๋วซือเอ่ย “เพราะเขาเป็นคนทำการผ่าตัด ดังนั้นกระหม่อมจึงมั่นใจพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ขมวดคิ้วแน่นขึ้น “กั๋วซือ เรารู้จักท่านมาสามสิบกว่าปี ท่านไม่เคยชมใครต่อหน้าข้าเลย เซียวลิ่วหลังคนนี้ จริงๆ แล้วเก่งขนาดนั้นเลยหรือ”
ใต้เท้ากั๋วซือเอ่ย “พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ไม่ชินกับการที่ใต้เท้ากั๋วซือยกย่องใครสักคนมากขนาดนี้ เขายังไม่เคยชมเซวียนหยวนลี่ขนาดนี้เลย
“แต่เราไม่ชอบเขาเท่าไหร่” ฮ่องเต้ตรัส
ใต้เท้ากั๋วซือรินชาให้ฮ่องเต้ “เพราะแววตาของเขาไม่มีความเกรงกลัวต่ออำนาจากษัตริย์เหมือนกับ…ตระกูลเซวียนหยวนในอดีต”
เมื่อเอ่ยถึงตระกูลเซวียนหยวน สีพระพักตร์ของฮ่องเต้ก็นิ่งลง