สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 726 นับญาติ
บทที่ 726 นับญาติ
เสื้อผ้าอาภรณ์ของเซียวเหิงนั้นหาใช่เนื้อผ้าชั้นดีแต่อย่างใด ทว่าชุดเรียบง่ายแสนธรรมดากลับยังสง่างามดั่งต้นหยกเล่นลมยามอยู่บนตัวเขา
ภายในห้องเงียบสงัด
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะตกตะลึงที่ได้เห็นเขา หรือปฏิกิริยาของฮ่องเต้ทำให้ทุกคนไม่กล้าหายใจแรง
หรืออาจจะทั้งคู่
ไท่จื่อเรียกความกล้าเรียกเอ่ย “สะ…เสด็จพ่อ”
ฮ่องเต้ไม่ได้ยิน หรือได้ยินแล้วแต่ไม่สนใจเขา
ระยะแสนสั้นเพียงสิบกว่าก้าวจากหน้าประตูไปยังเตียง ฮ่องเต้กลับเยื้องย่างเสียเนิ่นนาน
พระองค์เลยวัยที่จะตื่นเต้นดีใจเพราะเรื่องบางเรื่องแล้ว พระองค์ซุกซ่อนทุกอารมณ์ไว้ในดวงเนตรที่ผ่านโลกมาอย่างโชกโชนคู่นั้น
พระองค์หยุดตรงหน้าเด็กคนนั้น
ครั้งสุดท้ายที่ทั้งคู่เผชิญหน้ากันเช่นนี้ พระนัดดาองค์โตยังเป็นเด็กวัยห้าขวบเท่านั้น เขากลับไปเซิ่งตูกับซ่างกวานเยี่ยนตั้งแต่ยังไม่ถึงสองขวบ
สามขวบ ตระกูลเซวียนหยวนก็ก่อกบฏ
สี่ขวบ ตระกูลเซวียนหยวนโดนฆ่าล้างตระกูล
ห้าขวบ ถูกขังในสุสานกษัตริย์ด้วยกันกับองค์หญิง
ตั้งแต่นั้นมา ฮ่องเต้ก็มักจะเห็นเขาจากที่ไกลๆ ในตำหนักกั๋วซือในทุกๆ สองปี
แต่ทุกคราฮ่องเต้ล้วนให้ใต้เท้ากั๋วซือวาดภาพเหมือนของเขาเอาไว้เสมอ ดังนั้นพระองค์จึงจำเด็กคนนี้ได้ ไม่ว่าจะอยู่ไกลหรือใกล้ก็ล้วนแต่จำได้ทั้งนั้น
ฮ่องเต้ชะงักฝีเท้า มองเซียวเหิงนิ่ง “…ชิ่งเอ๋อร์”
ความตื่นตระหนกวาบผ่านแววตาของเซียวเหิง “ฝ่าบาท”
ทุกคนตกตะลึง
ฮ่องเต้ตรัสอย่างเหลือเชื่อ “เจ้ายังจำเราได้หรือ”
เซียวเหิงคิดในใจ ช้าก่อน หรือว่า ‘ข้า’ ไม่ควรจำท่านได้อย่างนั้นรึ ‘ข้า’ กลับเซิ่งตูทุกๆ สองปี หรือว่าพวกท่านปู่หลานไม่ได้พบหน้ากันเลย
ทว่าเหตุการณ์เล็กน้อยเช่นนี้ย่อมทำอะไรเซียวเหิงไม่ได้
เซียวเหิงปรายตามองไท่จื่อที่ยังไม่หลุดจากภวังค์ตรงหน้าประตู ก่อนเอ่ยโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า “คนผู้นั้นเรียกท่านว่าเสด็จพ่อ กระหม่อมว่านอกจากฝ่าบาทแล้ว แคว้นเยี่ยนนี้ก็ไม่มีใครได้รับคำเรียกนี้อีกกระมัง”
ฮ่องเต้ได้สติ “ที่แท้เพิ่งจะจำได้นี่เอง มิน่าบนรถม้าคราก่อน เจ้าจากไปอย่างเด็ดเดี่ยวนัก”
เซียวเหิงชะงักไปนิดหน่อยจึงได้สติว่าอะไรคือรถม้า และคราก่อนคืออะไร
ไม่กระมัง
ตาเฒ่าหัวล้านนั่นคือท่านหรอกรึ
นี่เป็นตอนที่เขาโดนหันเย่ไล่ล่าในคืนนั้น หน่วยกล้าตายที่มาช่วยเขาโยนเขาใส่รถม้าคันหนึ่ง รถม้าโดนผ่าเป็นสองเสี่ยง เขาจำจางเต๋อเฉวียนได้
ฮ่องเต้ตรัสถาม “ในเมื่อเจ้ามาเซิ่งตูแล้ว ไยไม่ปรากฏตัวเลยเล่า ไยไม่กลับมาหาเราบ้าง”
เซียวเหิงหลบตาลง เอ่ยด้วยสีหน้าเศร้าหมอง “เพราะมีคนไล่สังหารข้า ท่านแม่ให้ข้าซ่อนตัวไว้อย่าได้ออกมา แต่ข้าได้ยินว่าท่านแม่ได้รับบาดเจ็บ หากหมดหนทางแล้วจริงๆ ค่อยหลบเลี่ยงต่อ”
สีพระพักตร์ของฮ่องเต้พลันทะมึนขึ้นมา
ไท่จื่อกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
อันดับแรก เขาจำเซียวเหิงไม่ได้ แวบแรกที่เห็นอีกฝ่าย เขานึกจริงๆ ว่าซ่างกวานชิ่งกลับมาแล้ว
จนกระทั่งได้ยินคำว่าไล่สังหาร เขาจึงได้ตื่นจากฝัน
เขาไม่ได้ส่งคนไปไล่สังหารซ่างกวานชิ่ง ตั้งแต่ต้นจนจบคนที่เขาคิดจัดการมีแค่เซียวลิ่วหลังเท่านั้น
ไอ้เด็กนั่นเดิมมีนามว่าเซียวเหิง บิดาคือเซียวจี่ เซวียนผิงโหวแห่งแคว้นเจา ตอนอายุสิบสี่ปีเขาส่งคนไปลอบสังหารเซียวเหิง ไหนเลยจะรู้ว่าเซียวเหิงจะแกล้งตายหนีไปได้ ใช้ชีวิตรอดมาได้ในนามของเซียวลิ่วหลัง
บางคราไท่จื่อก็จะชินเรียกเขาว่าเซียวลิ่วหลัง
แต่ก็แปลกอยู่ดี ไฝน้ำตาที่ใต้ตาขวาของเซียวเหิงถูกกำจัดออกไปแล้วมิใช่หรือ
ดังนั้น นี่เป็นซ่างกวานชิ่งหรือว่าเซียวเหิงกันแน่
เขารู้สึกว่าเซียวเหิงเป็นไปได้มากกว่า อย่างไรเสียเซียวเหิงก็อยู่ที่เซิ่งตู ซ่างกวานชิ่งกลับไร้ข่าวคราวมานานแล้ว
แต่เซียวเหิงไม่รู้ชาติกำเนิดของตัวเองไม่ใช่หรือ
เขาวิ่งมาปลอมตัวเป็นซ่างกวานชิ่งได้อย่างไร
สมองไท่จื่อสับสนวุ่นวาย ไม่รู้จะเรียบเรียงความคิดของตัวเองเช่นไรในสถานการณ์นี้
กลับเป็นองค์หญิงน้อยที่อยู่ข้างๆ กระโดดโลดเต้นเดินเข้ามา
ฮ่องเต้แนะนำ “เสี่ยวเสวี่ย เขาคือซ่างกวานชิ่ง…ตามลำดับอาวุโสแล้ว ต้องเรียกเจ้าว่าท่านอาน้อย”
ไปเรียนหนังสือที่สำนักบัณฑิตหลิงโปอยู่นาน คบหากับเสี่ยวจิ้งคงที่วัยเดียวกันอยู่บ่อยๆ องค์หญิงน้อยเกือบลืมไปแล้วว่าตัวเองเป็นผู้อาวุโสน้อย
นางรีบยืดสันหลังตรง ตีสีหน้าน้อยๆ ให้เคร่งขรึม เชิดหน้ามองเซียวเหิงพลางเอ่ย “ข้าคือซ่างกวานเสวี่ย…”
ว้าววว!
คนผู้นี้หน้าตาหล่อเหลาเอาการนัก!
อยากข่วนหน้าตัวเองแล้วกรีดร้องออกมา!
อันที่จริงองค์หญิงน้อยเคยเจอกับเซียวเหิงแล้วตั้งแต่วันที่ไปเรียน ณ สำนักบัณฑิตหลิงโปวันแรก แต่ตอนนั้นเซียวเหิงสวมเครื่องแบบสำนักบัณฑิตสตรีชังหลัน ซ้ำยังมีผ้าคลุมหน้าไว้ ทำให้ไม่เห็นใบหน้า
เซียวเหิงแสร้งทำเป็นเหมือนเคยเจอองค์หญิงน้อยครั้งแรก คุกเข่าลงข้างหนึ่ง อยู่ในระดับสายตาเดียวกันกับแม่หนูน้อย ก่อนยิ้มจางๆ เอ่ย “คารวะท่านอาเสี่ยวเสวี่ย”
องค์หญิงน้อยมีฟองสีชมพูลอยฟูฟ่องเหนือศีรษะเต็มไปหมด
หลานชายคนนี้น่ารักยิ่งนัก!
ไม่เหมือนเจ้าคนน่ารำคาญหมิงจวิ้นอ๋องนั่น!
ตั้งแต่นี้ต่อไป นางจะปกป้องเขาเอง!
แววตาองค์หญิงน้อยเป็นประกายระยับดุจดวงดารา แต่สีหน้าพยายามสงบเสงี่ยมไว้ พยายามเอ่ยอย่างราบเรียบ “อื้ม สวัสดีหลานชายน้อย”
ซ่างกวานชิ่งใช้แซ่ตามมารดา ค่อนข้างจะคล้ายลูกของลูกเขยแต่งเข้า ดังนั้นเขาไม่ใช่หลานชายของฮ่องเต้ ไม่เรียกฮ่องเต้ว่าท่านตา แต่ควรเรียกว่าเสด็จปู่
เพียงแต่ว่ายามนี้เซียวเหิงไม่มีทางเรียก ‘เสด็จปู่’ ออกมาง่ายๆ
เนื่องจากท่าทีที่ฮ่องเต้มีต่อตน เซียวเหิงจึงพอจะรู้คร่าวๆ แล้วว่าในสายพระเนตรของฮ่องเต้นั้นพระนัดดาองค์โตมีความสำคัญมากน้อยเพียงใด ฮ่องเต้ทรงห่วงใยพระนัดดาคนนี้มาก มากเสียยิ่งกว่าที่ตนคิดไว้เสียอีก
การวิเคราะห์ของเซียวเหิงอันที่จริงเสี่ยงมาก เกิดฮ่องเต้ไม่ต้อนรับซ่างกวานชิ่ง เช่นนั้นตนก็เปิดโปงตัวตนโดยไร้ความหมาย
บนเตียงสองหลังในห้องมีคนสองคนนอนอยู่ คนหนึ่งคือซ่างกวานเยี่ยนที่เพิ่งผ่าตัดเสร็จยังไม่ได้สติ อีกคนคือกู้เจียวที่เหนื่อยจนผล็อยหลับไป
สายพระเนตรฮ่องเต้กวาดมองทั้งคู่ สุดท้ายมาตกบนร่างซ่างกวานเยี่ยน พระองค์ตรัสถาม “หมอได้บอกหรือไม่ว่าแม่เจ้าอาการเป็นอย่างไร”
เซียวเหิงมองกู้เจียวที่หลับสนิท กำหมัดแน่นเอ่ย “ได้ยินหมอแซ่เซียวผู้นี้บอกว่า ท่านแม่สันหลังหักสองแห่ง เพื่อช่วยชีวิตท่านแม่ไว้ สันหลังท่านแม่ถูกตอกตะปูยึดไว้แปดตัว”
ตอกตะปูเข้ากระดูก!
ฮ่องเต้พลันแผ่กลิ่นอายเย็นยะเยือกออกมา ไอสังหารอบอวลเต็มห้องในชั่วพริบตา
คนที่ไม่กลัวพระองค์อย่างองค์หญิงน้อยยังสัมผัสได้ จึงกระโดดไปข้างๆ เซียวเหิง หันไปมองฮ่องเต้พลางกอดต้นขาเซียวเหิงไว้ ทำตัวเป็นพู่ห้อยบนต้นขาของหลานชาย
เซียวเหิงนิ่งงัน ปล่อยให้นางห้อยโหน
ฮ่องเต้กริ้วมากที่องค์หญิงบาดเจ็บสาหัสเพียงนี้ ไม่ว่านี่จะเป็นเพราะความรักที่เหลืออยู่ระหว่างพ่อกับลูกสาว หรือเพราะศักดิ์ศรีของกษัตริย์แห่งแคว้นถูกท้าทาย ไม่ต้องเดาก็รู้
เซียวเหิงแอบวางแผนในใจเงียบๆ ว่าต่อไปควรพูดอะไรดี
“ข้าได้ยินว่าท่านแม่ลื่นล้มลงมาจากเนินเขาเอง”
ฮ่องเต้หันมาทอดพระเนตรเขา
“ตอนนั้นก่อนที่ท่านแม่จะไปสุสานกษัตริย์ก็ถูกถอดวรยุทธ์ออกแล้ว” เรื่องนี้ใครๆ ต่างก็ทราบกันดี ไม่นับว่าเป็นความลับอะไร เซียวเหิงสืบรู้ตั้งแต่แรกแล้ว แต่สองสามประโยคหลังจากนี้คงต้องอาศัยเซียวเหิงเดาเอาจากสีหน้าของซ่างกวานเยี่ยนที่หอเทียนเซียงเอาแล้วล่ะ “แต่หลายปีมานี้ท่านแม่จะฝึกวรยุทธ์เป็นเพื่อนข้า เพื่อให้ร่างกายข้าได้ออกกำลังกาย ข้าไร้สามารถ ไม่อาจเรียนให้สำเร็จได้ ท่านแม่แอบฝึกจนมีฝีมือติดตัวนิดหน่อย”
หากบอกไปตามตรงว่าซ่างกวานเยี่ยนฝึกวรยุทธ์ใหม่ จะเหมือนนางแฝงเจตนาไม่ดีไว้ชัดเจนเกินไป แต่หากบอกว่านางทำเพื่อชี้แนะซ่างกวานชิ่งที่มีร่างกายอ่อนแอขี้โรค ก็ไม่มีอะไรน่าสงสัยแล้ว
ฮ่องเต้นึกย้อนถึงท่าทางกระโดดข้ามกำแพงตำหนักเย็นของซ่างกวานเยี่ยน เป็นฝีมืออันน้อยนิดจริงๆ
น่าจะไม่ได้เก่งกาจอะไร ไม่เช่นนั้นก็คงไม่ถึงขั้นต้องมุดรูสุนัขออกจากวัง
อาจารย์แม่หนานก็เป็นคนที่ถูกปลดวรยุทธ์เช่นกัน เซียวเหิงรู้ว่าการฝึกวรยุทธ์ใหม่อย่างมากที่สุดจะไปได้ถึงขั้นไหน ดังนั้นเขาจึงไม่ได้สนับสนุนให้ซ่างกวานเยี่ยนมีวรยุทธ์ที่สูงส่งมากขึ้น
เขาเล่าต่อ “ท่านแม่ปราดเปรื่องยิ่ง ซ้ำยังมีวรยุทธ์ติดตัวด้วยนิดหน่อย ข้าไม่เชื่อว่านางจะล้มลงมาเองได้เช่นนี้”
“นั่นมันวังหลวงเชียวนะ จะมีใครกล้าลงมือกับแม่เจ้าในวังเลยหรือ” ไท่จื่อคิดอยากจะเอ่ยเช่นนี้ แต่หากเอ่ยออกไป ก็จะเห็นได้ชัดว่าตนมีความสงสัย
ไท่จื่อสาวเท้าก้าวขึ้นหน้า ยกม้านั่งมาให้ฮ่องเต้นั่งลงข้างเตียงด้วยตัวเอง
เหอะ อย่างไรเสียเรื่องกตัญญูนั้นข้าก็เป็นที่หนึ่ง
นึกไม่ถึงว่าจะให้ฮ่องเต้ยืนอยู่ตั้งนาน
“เสด็จพ่อ” ไท่จื่อพยุงฮ่องเต้ให้นั่งลง พลางเอ่ยด้วยสีหน้าเศร้าโศก “ลูกก็รู้สึกว่าเรื่องนี้มีจุดน่าสงสัย ในเมื่อท่านกักบริเวณท่านพี่… ซ่างกวานเยี่ยนแล้ว ลูกเชื่อว่านางไม่มีทางหนีออกจากตำหนักเจาหยางโดยพลการหรอกพ่ะย่ะค่ะ บางทีอาจจะเจอคนน่าสงสัยเข้า จึงได้ไล่ตามออกไป”
พ่อคนดี ปากบอกว่าซ่างกวานเยี่ยนได้รับบาดเจ็บน่าสงสัย แต่ความจริงกลับแอบเน้นย้ำว่าซ่างกวานเยี่ยนฝ่าฝืนคำสั่งของฮ่องเต้
ใครให้เจ้าวิ่งออกจากตำหนักเจาหยางดึกๆ ดื่นๆ กันเล่า
เชื่อฟังคำสั่งฮ่องเต้เสียแต่โดยดีก็ไม่เกิดเรื่องแล้ว
นี่ไม่ใช่หาเรื่องใส่ตัวแล้วจะเป็นอะไรได้อีก
องค์หญิงน้อยไม่เข้าใจว่าพวกเขากำลังคุยอะไรกัน นางห้อยอยู่บนขาของหลานชายน้อยนิ่งๆ เป็นผลไม้น้อยห้อยโตงเตง
แววตาเซียวเหิงเย็นเยียบขึ้น เจือกลิ่นอายและแฝงความมุทะลุของเด็กหนุ่มเอาไว้ในน้ำเสียง “ไท่จื่อทรงทราบได้อย่างไรว่าท่านแม่ข้าโดนคนล่อออกไป ไม่ใช่ถูกคนลักพาตัวออกไป”
ไท่จื่อสะอึก “เรื่องนี้…”
เซียวเหิงเอ่ยเสียงเย็น “ข้าได้ยินว่าท่านแม่กลับวังมาไม่นาน องค์ไท่จื่อก็ให้องครักษ์ใต้บัญชาทำร้ายท่านแม่ข้าบาดเจ็บแล้ว”
ไท่จื่อโต้แย้ง “ข้าเปล่า! ทหารลงมือเองต่างหาก! ข้าอยากห้ามก็ไม่ทันการณ์แล้ว! สาเหตุเพราะแม่เจ้าผลักข้า! นางผลักข้าลงมาจากบันไดศาลารับลม! เจ้ารู้หรือไม่ว่าศาลานั่นมันสูงเพียงใด”
เซียวเหิงย้อนถาม “ดังนั้นไท่จื่อจึงเคียดแค้นอยู่ในพระทัย ให้คนผลักท่านแม่ข้าลงมาจากเนินเขาสูงอย่างแรง”
ไท่จื่อแววตาสั่นไหว น้ำเสียงสูงขึ้นทันควัน “ข้าเปล่า!”
“พอแล้ว หยุดทะเลาะกันได้แล้ว!” ฮ่องเต้เอ่ยขึ้นอย่างเคร่งขรึม
องค์หญิงน้อยใช้นิ้วอุดหูน้อยๆ ไว้
ฮ่องเต้ตรัสกับจางเต๋อเฉวียน “พาองค์หญิงน้อยออกไป”
“พ่ะย่ะค่ะ” จางเต๋อเฉวียนเดินมาหา อุ้มองค์หญิงน้อยออกไป
“มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ รอแม่เจ้าฟื้นก็รู้แล้ว แล้วร่างกายเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” ฮ่องเต้ตรัสถามเซียวเหิง
เซียวเหิงกำลังจะบอกว่าตนไม่เป็นอะไร วาจาอยู่ริมฝีปากแล้วมานึกขึ้นได้ว่าซ่างกวานชิ่งเป็นคนขี้โรค เขาจึงเปลี่ยนมาดจากเด็กหนุ่มขะมักเขม้นมีกำลังวังชา เอ่ยอย่างอ่อนล้า “เหมือนเดิม”
ฮ่องเต้ตรัส “ในเมื่อมาแล้ว เดี๋ยวก็ให้กั๋วซือดูให้เจ้าหน่อย”
เซียวเหิงไม่ได้เอ่ยคำใด
ฮ่องเต้ขมวดคิ้วมองเขา “เป็นอะไรไป”
เซียวเหิงหลบตาลง เอ่ยเสียงแผ่ว “อย่างไรก็รักษาไม่หายอยู่ดี ไม่ต้องเปลืองสมุนไพรกับข้าหรอก”
ฮ่องเต้ทอดพระเนตรหลานชายคนโตผู้อ่อนแอขี้โรค ก่อนจะหันไปทอดพระเนตรซ่างกวานเยี่ยนที่บาดเจ็บสาหัสสลบอยู่ยังไม่ฟื้น ก็ยิ่งขมวดคิ้วมุ่นกว่าเดิม
ภายในห้องตกสู่ความเงียบสงัดอย่างแสนพิลึกอีกหน
ไท่จื่อเริ่มกังวลพระทัยขึ้นมา
ฮ่องเต้พระชนมายุมากแล้ว แม้จะยังคงเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย อารมณ์ร้อนเป็นนิสัย แต่ในพระทัยของพระองค์ก็ยังคงมีบางส่วนที่อ่อนโยนอยู่บ้าง
ข้อนี้เขาแอบเห็นจากท่าทางที่พระองค์มีต่อองค์หญิงน้อย
พระองค์ไม่เคยอะลุ่มอล่วยต่อซ่างกวานเยี่ยนในวัยเด็กเลย
เพราพระองค์ทรงโปรดองค์หญิงน้อยมากกว่าหรือ
ไม่ใช่ พระองค์ไม่ได้โหดเหี้ยมเหมือนสมัยหนุ่มๆ แล้วต่างหาก
อาการบาดเจ็บของซ่างกวานเยี่ยน อาการป่วยของพระนัดดาองค์โต ล้วนแต่ทิ่มแทงหัวใจของพระองค์
ตระกูลเซวียนหยวนช่างถูกล้างตระกูลได้เหมาะเจาะนัก หากเป็นยามนี้ เซวียนหยวนฮองเฮาทูลอ้อนวอน ใครจะรับประกันได้ว่าฮ่องเต้จะยังสามารถหันกระบี่ใส่ตระกูลเซวียนหยวนได้ แม้แต่ทารกในห่อผ้าอ้อมก็ยังไม่ปล่อยไป
ไท่จื่อประสานมือคำนับเอ่ย “เสด็จพ่อ เรื่องนี้มอบให้ลูกไปสืบสวนเถิด ลูกจะสืบหาความจริงเมื่อคืนนี้ให้เจอให้ได้ เพื่อทวงคืนความเป็นธรรมให้กับพี่สาม”
ครานี้ฮ่องเต้ไม่ได้แก้คำเรียก ‘พี่สาม’ ของเขา
ไท่จื่อลอบกำหมัดแน่น
“เรื่องนี้เราจัดการเอง” ฮ่องเต้ปฏิเสธ
ไท่จื่อไม่แปลกใจกับการตัดสินพระทัยของเสด็จพ่อของตน
เขาไม่ได้คิดจะไปสืบหาความจริงจริงๆ หรอก แค่แสดงท่าทีต่อหน้าพระพักตร์เสด็จพ่อเท่านั้น
สีพระพักตร์ฮ่องเต้ซับซ้อนมองซ่างกวานเยี่ยน ตรัสกับเซียวเหิง “ดูแลแม่เจ้าให้ดี…ตำหนักบรรทมเจ้ายังอยู่”
ถ้อยคำสุดท้ายหมายถึงจะรับพระนัดดาองค์โตกลับวังโดยไม่ต้องสงสัย
เซียวเหิงเอ่ยโดยแทบไม่ยั้งคิด “ไม่ต้องหรอก ข้าอยากอยู่ดูแลท่านแม่ที่ตำหนักกั๋วซือ”
ฮ่องเต้ไม่ได้ตรัสอะไรมาก ลุกขึ้นเดินออกไปทางประตู
ไท่จื่อให้คนทิ้งของบำรุงไว้ ก่อนจะหันหลังสาวเท้าตามไป
ในขณะที่ก้าวข้ามธรณีประตู ฝีเท้าฮ่องเต้ชะงักเล็กน้อย คล้ายกำลังรอคอยบางอย่าง
ทว่าสุดท้ายพระองค์ก็รออย่างสูญเปล่า
เซียวเหิงจงใจ เขารู้ว่าฮ่องเต้กำลังรอคำเรียกเสด็จปู่ อันที่จริงยามนี้เป็นแค่การแสดง ให้เขาเรียกสักร้อยรอบก็ยังได้ แต่เขาไม่อยากให้ฮ่องเต้ได้สมพระทัยเร็วเกินไปนัก
อย่างไรเสีย สิ่งที่ได้มาอย่างง่ายดายย่อมไร้คุณค่า
เซียวเหิงนึกย้อนสีหน้าเมื่อครู่อย่างละเอียด เมื่อแน่ใจว่าตัวเองไม่ได้เผยพิรุธ
ความรู้สึกระหว่างปู่หลานที่ฮ่องเต้มีต่อซ่างกวานชิ่งเป็นความปรีดาที่เหนือความคาดหมาย หนึ่งในสาเหตุที่ฮ่องเต้ลำเอียงโปรดปรานซ่างกวานชิ่งน่าจะเพราะซ่างกวานชิ่งอายุไม่ยืน
ฮ่องเต้หวาดกลัวทุกคนที่เกี่ยวข้องกับตระกูลเซวียนหยวน แต่หลานชายที่อายุไม่ยืนคนหนึ่งไม่ได้สร้างภัยคุมคามอันใดต่ออำนาจกษัตริย์ของพระองค์เลย
วันนี้ไท่จื่อแสดงออกอย่างเป็นปกติ หุนหันพลันแล่น แค่ยั่วยุก็ขึ้นแล้ว ข่มอารมณ์ไว้ไม่อยู่
แต่เมื่อรวมกับการกระทำเล็กๆ น้อยๆ ที่ไท่จื่อแอบทำแล้ว เขาเดาว่านี่เป็นแค่การเสแสร้งแสดงของไท่จื่อเท่านั้น
เป้าหมายเพื่อให้คนรู้สึกว่าเขาไม่รู้จักเก็บซ่อนความรู้ไว้ในใจ เล่นลูกไม้ตุกติกไม่เป็น
เซียวเหิงลูบไฝน้ำตาที่ใช้น้ำหมึกแต้มตรงใต้ตาขวา ก่อนเอ่ยเสียงนิ่ง “เช่นนั้นก็ลองดูว่าใครจะเล่นละครได้เก่งกว่ากัน”