สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 725-2 เปิดเผยชาติกำเนิด (2)
บทที่ 725 เปิดเผยชาติกำเนิด (2)
“เอ๋ สามีเล่า” กู้เจียววางกล่องยาลงบนโต๊ะด้วยกัน
เพิ่งจะเอ่ยจบ เซียวเหิงก็หิ้วตะกร้ายาเดินเข้ามา
สีหน้าเขาค่อนข้างซับซ้อน
พอเห็นกู้เจียว เขาก็ชะงักไป ก่อนจะมองซ่างกวานเยี่ยนบนเตียง “พวกเจ้า…เป็นอย่างไรบ้าง”
ไม่ใช่ซ่างกวานเยี่ยนเป็นอย่างไรบ้าง แต่เป็นพวกเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง
ไม่ได้เป็นห่วงคนที่ได้รับบาดเจ็บมากกว่าแค่คนเดียวเท่านั้น
กู้เจียวเอ่ยอย่างเอ้อระเหย “ข้าไม่เป็นอะไร นางก็สบายมาก ผ่าตัดสำเร็จลุล่วงดี”
“อีกสองสามวันตัดไหมก็ไม่เป็นอะไรแล้วใช่หรือไม่” เท่าที่เซียวเหิงจำได้ การผ่าตัดต้องตัดไหมทุกครั้ง ปกติแล้วตัดไหมเสร็จก็หายดีแล้ว
“ไม่ต้องตัดไหม” กู้เจียวส่ายหน้า “แต่ครึ่งปีถึงหนึ่งปีต้องมาเอาตะปูออก หลักๆ คงต้องดูการฟื้นตัวของนาง”
“ตะปูรึ” เซียวเหิงนัยน์ตาหดเกร็ง
กู้เจียวเอ่ย “สันหลังนางมีตะปูแปดตัวยึดเอาไว้”
เซียวเหิงนัยน์ตาเย็นเยียบ ฝ่ามือกำเป็นหมัดแน่น
ภาพแผ่นหลังของนางยามยามตั้งอกตั้งใจคว้านแตงโมผุดขึ้นมาในหัวของเขา รวมถึงท่าทางยามยื่นแตงโมให้เขาแต่กลัวถูกเขาปฏิเสธ กับแววตาเศร้าโศกของนางตอนที่เขาไม่ได้ยื่นมือไปรับ
เขาไม่รู้ว่านางจะกลายเป็นเช่นนี้ เขาไม่รู้…
กู้เจียวคว้ามือเย็นเฉียบของเซียวเหิงเอาไว้อย่างแผ่วเบา “นางจะดีขึ้น”
เซียวเหิงจับมือกู้เจียวไว้ ราวกับคว้าแสงสว่างและสติสายสุดท้ายในความมืดมิดเอาไว้
อารมณ์เขาค่อยๆ สงบลง
“อืม นางจะต้องหายดี”
เขาวางตะกร้ายาลงบนโต๊ะ
มือของทั้งคู่ไม่ได้คลายจากกัน ต่างฝ่ายต่างมองกัน ก่อนจะเอ่ยขึ้นพร้อมกัน “เท้าของเจ้า…”
คนหนึ่งเท้าเคล็ด คนหนึ่งถลอกเป็นแผล ตอนแรกไม่ได้แสดงออกชัดเจน ทว่าหลังจากยืนอยู่นาน เท้าของทั้งคู่ก็บวมเป่งขึ้นมาก แทบจะระเบิดออกจากรองเท้า
“ข้าดูหน่อย”
“ข้าดูหน่อย”
ทั้งคู่เอ่ยขึ้นพร้อมกันอีกครา
กู้เจียวหยักยกมุมปากพลางเอ่ย “ไม่เป็นไรแล้ว ข้าทายาแล้ว”
“ข้าก็ทายาแล้ว” เซียวเหิงบอก
แม้จะเอ่ยเช่นนั้น แต่ทั้งคู่ก็ยังมองบาดแผลของกันและกันอยู่ดี
แม้เท้าของกู้เจียวจะบวมจนน่าตกใจ แต่ความจริงไม่ได้ร้ายแรง แผลของเซียวเหิงค่อนข้างลึก กู้เจียวจึงทายาและพันแผลให้เขาใหม่
กู้เจียวเก็บผ้าพันแผลกับกรรไกรเรียบร้อย
เซียวเหิงมองเงาร่างเล็กที่วุ่นจับนู่นจับนี่ของนาง พลางถาม “เจ้าสลัดหันเย่หลุดได้อย่างไร”
กู้เจียวเล่าเรื่องที่กู้ฉังชิงปรากฏตัวขึ้นให้ฟัง “…ที่น่าเสียดายก็คือ จู่ๆ ฉีเซวียนก็ปรากฏตัวขึ้น ช่วยหันเย่หนีไป”
ไม่เช่นนั้นเขาคงตายใต้คมดาบของกู้ฉังชิงแน่
แน่นอนว่าหันเย่ก็ไม่ได้เหลิงดีใจเร็วนัก กู้ฉังชิงฟันกระบี่ใส่เส้นเอ็นเท้าสองข้างของเขาขาดแล้ว ต่อให้เขาไม่ตายก็กึ่งพิการไปแล้ว
“จริงสิ นี่คืออะไรหรือ” กู้เจียวนั่งลงบนม้านั่งข้างกายเซียวเหิง ชี้ตะกร้ายาบนโต๊ะพลางถาม
เซียวเหิงเอ่ย “เย่ชิง ลูกศิษย์ใหญ่ตำหนักกั๋วซือเมื่อครู่นี้มาหา บอกว่าใต้เท้ากั๋วซือเตรียมสมุนไพรไว้ให้เจ้า”
“หืม ข้าไม่ได้ขอสมุนไพรกับเขาเลยนะ” กู้เจียวหอบตะกร้ายามาวางบนตัก คว้ามาพลิกๆ ดู “ไม่ใช่สมุนไพรที่จำเป็นมากมายอะไร ไม่ได้ใช้หรอก”
ดูท่าเย่ชิงให้สมุนไพรจะเป็นเรื่องเท็จ แต่ส่งข่าวให้เขาจะเป็นเรื่องจริง
เป็นความตั้งใจของเขาเอง หรือใต้เท้ากั๋วซือวานให้ทำกันนะ
หากเป็นเจตนาของกั๋วซือ แล้วไยกั๋วซือต้องทำเช่นนี้ด้วย
ซ้ำยังจงใจให้เขาได้เห็นภาพเหมือนของพระนัดดาองค์โตด้วย
หากเขาเป็นแค่เด็กจัดยาธรรมดาๆ คนหนึ่งจริงๆ กั๋วซือไม่มีทางทำเช่นนี้แน่
แต่ตนแปลงโฉมแล้วแท้ๆ กั๋วซือจำได้ได้อย่างไร
หรือว่าจะเป็นดังที่ลือกันในหมู่ชาวบ้าน กั๋วซือแคว้นเยี่ยนผู้นี้หยั่งรู้ฟ้าดิน ดูดวงได้ คำนวณลิขิตสวรรค์เป็น
ปัง ปัง ปัง
เสียงเคาะประตูดังขึ้นด้านนอก
“ข้าอวี๋เหอ ลูกศิษย์ของตำหนักกั๋วซือ ท่านชายเซียวอยู่หรือไม่ ข้าให้ห้องครัวทำอาหารมาให้ จึงนำมาให้พวกท่าน”
กู้เจียวหาวหวอด “เข้ามาสิ”
อวี๋เหอสาวเท้าเข้ามาด้านใน วางกล่องอาหารลงบนโต๊ะ “ข้าอยู่ห้องข้างๆ นี่เอง ท่านชายเซียวมีอะไรเรียกข้าได้ตลอดขอรับ”
“ได้” กู้เจียวเอ่ย
อวี๋เหอมองชายชาตรีสองคนจับมือกันแน่น ก็อ้าปากพะงาบ ไม่ได้เอ่ยคำใด หันหลังเดินออกไปเลย
แม้จะเป็นบุรุษ แต่ก็…เหมาะสมกันดีพิลึก
เซียวเหิงไม่อยากอาหาร
แต่เห็นแก่กู้เจียวที่ไม่ได้กินอะไรมาทั้งวัน เขาจึงถาม “หิวหรือไม่”
กู้เจียวหาวขึ้นอีกหน “อืม…พอทำเนา”
เซียวเหิงถามเสียงเบา “เหนื่อยแล้วใช่หรือไม่”
กู้เจียวนั่งตัวตรง ถลึงตาโตเป็นระฆังสำริด “ข้าไม่เหนื่อย!”
เซียวเหิงเอ่ย “เช่นนั้นก็กินอะไรสักหน่อยค่อยนอน”
กู้เจียว “ได้”
ครู่ต่อมา ไหล่ของเซียวเหิงพลันหนักอึ้ง จู่ๆ ศีรษะน้อยของกู้เจียวก็พิงลงมา นางหลับปุ๋ยไปแล้ว
เซียวเหิงรู้สึกสงสารระคนปวดใจอยู่เนืองๆ
เขาวางฝากล่องอาหารลง ใช้มือรองศีรษะกู้เจียวไว้ ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน สองแขนโอบแผ่นหลังกับข้อพับของนาง อุ้มนางมายังเตียงเล็กๆ สำหรับเฝ้าไข้แผ่วเบา
กำลังวังชาของนางเหลือล้นพอกันกับเสี่ยวจิ้งคง น้อยนักที่นางจะเหนื่อยถึงเพียงนี้ ปากนางเอ่ยอย่างสบายๆ แต่สู้กับหันเย่คงไม่ได้ง่ายดายเพียงนั้น
เซียวเหิงค่อยๆ ถลกแขนเสื้อนางขึ้นอย่างแผ่วเบา ก่อจะเห็นบาดแผลฉกรรจ์อย่างที่คิดไว้จริงๆ
หนึ่งแผล สองแผล สามแผล
นางใช้เท้าบวมเป่งยืนในห้องผ่าตัดอยู่อย่างนั้น ใช้สองแขนอันอ่อนล้าที่เต็มไปด้วยรอยแผลถือมีดผ่าตัด
เซียวเหิงขอบตาร้อนผ่าว หน้าอกคับแน่นเป็นระลอก
คงจะมีแค่ตอนนี้เท่านั้นกระมัง ที่เขากล้าเผยอารมณ์ในแววตาออกมาโดยไม่ปิดบัง
เขาไม่อยากยืนอยู่แต่ข้างหลังมองดูคนข้างกายเขาได้รับบาดเจ็บไปทีละคนอีกแล้ว
ในเมื่ออยู่นอกวังวนนี้ไม่ได้ เช่นนั้นก็ให้ตระกูลหัน ไท่จื่อ… คนที่คิดจะเหยียบย่ำเขา… ตกลงไปด้วยแล้วกัน!
“พระนัดดาองค์โตอายุเท่าใด”
“สิบเก้า”
“รู้เวลาประสูติโดยละเอียดหรือไม่”
“เหมือนจะเป็นเดือนสิบสอง”
“บังเอิญจริง วันเกิดข้าก็เดือนสิบสองเช่นกัน วันที่สามสิบเอ็ด เดือนสิบสอง”
เซียวเหิงนั่งอยู่ข้างโต๊ะเงียบๆ มองภาพเหมือนที่เอามาจากหอตำราด้วย
จากนั้นเขาก็ฝนหมึก หยิบพู่กันข้างมือขึ้นมาเงียบๆ จุ่มน้ำหมึกเล็กน้อย
…
“ฝ่าบาท!”
รถม้าคันหนึ่งจอดลงหน้าตำหนักกั๋วซือ ลูกศิษย์ตำหนักกั๋วซือรีบขึ้นหน้าไปถวายคำนับ
ฮ่องเต้จูงมือองค์หญิงน้อยวัยสี่ขวบลงจากรถม้า
จางเต๋อเฉวียนติดตามรับใช้อยู่ข้างๆ
ฮ่องเต้ชี้ประตูใหญ่สูงตระหง่านเบื้องหน้าพลางเอ่ย “นี่คือตำหนักกั๋วซือที่เจ้าอยากมา”
องค์หญิงน้อย “ว้าว!”
ฮ่องเต้แค่นเสียงตรัส “ว้าวอะไร ไม่ใหญ่โตเท่าวังหลวงเสียหน่อย”
“ถึงอย่างนั้นก็ยังต้องว้าวอยู่ดี!”
นางเป็นเด็กน้อยที่รู้จักเพิ่มสีสันให้แก่ชีวิตของตัวเองคนหนึ่ง
หลังจากฮ่องเต้ลงจากรถม้าก็ปล่อยมือองค์หญิงน้อย ให้แม่หนูน้อยเดินเอง
ฝีเท้าพระองค์ก้าวยาวกว่าปกติ แม่หนูน้อยเดินตามเหนื่อยไม่น้อย
ฮ่องเต้ตรงไปยังตำหนักฉีหลิน
เพิ่งจะถึงหน้าประตู ก็เจอพวกไท่จื่อเข้า
คำว่า ‘พวก’ นี้หมายถึงมีไท่จื่อ องครักษ์ประจำจวนไท่จื่อ และคนรับใช้หอบกล่องผ้าไหมอยู่สองสามคน
หมิงจวิ้นอ๋องไม่ได้มาด้วย เพราะเขาถูกฮ่องเต้กักบริเวณ
ไท่จื่อเห็นฮ่องเต้ก็รีบถวายบังคมอย่างนอบน้อม “เสด็จพ่อ!”
องค์หญิงน้อยทักทายอย่างมีมารยาท “ท่านพี่ไท่จื่อ”
ไท่จื่อยิ้มแย้มแจ่มใส่เอ่ย “เสี่ยวเสวี่ยก็อยู่ด้วยหรือนี่”
องค์หญิงน้อยพยักหน้า “อื้อ ข้ามาเล่น!”
“เจ้ามาทำอะไร” ฮ่องเต้ถามไท่จื่อ
ไท่จื่อทูล “ทูลเสด็จพ่อ ลูกมาเยี่ยมพี่สามพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้สีพระพักตร์พลันทะมึน ตรัสกับไท่จื่อ “ใครบอกเจ้าว่านางยังเป็นพี่สาวเจ้าอยู่”
ไท่จื่อรีบค้อมกายคำนับ “เสด็จพ่อโปรดระงับโทสะด้วย! ลูกพลั้งปากไป ขอเสด็จพ่อทรงลงโทษด้วย”
“เหอะ” ฮ่องเต้เข้าไปในห้องโถงของตำหนักฉีหลินอย่างเย็นชา ก่อนเดินไปยังทางเดินฝั่งขวา
ไท่จื่อเดินตามข้างกายฮ่องเต้อย่างนอบน้อม รั้งหลังฮ่องเต้ครึ่งฝีก้าว เดินไปพลาง เอ่ยคล้ายไม่ตั้งใจไป “เมื่อครู่นี้ลูกได้รับข่าวว่า หันเย่เขา…เกิดเรื่อง”
ฮ่องเต้ตรัสเสียงนิ่ง “เขาจะเป็นอะไรได้ เมื่อเช้ายังอยู่ในวังอยู่เลย”
ไท่จื่อตรัสโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า “เกิดเรื่องหลังออกจากวังพ่ะย่ะค่ะ ระหว่างทางกลับจวนเขาโดนลอบทำร้าย สองเท้าบาดเจ็บสาหัส มือสังหารยามนี้ยัง…”
ยังตรัสไม่ทันจบ ฮ่องเต้ก็เปิดห้องปีกข้างที่ซ่างกวานเยี่ยนพักรักษาตัวออก
พวกเขาเห็นเงาร่างสูงโปร่งบริสุทธิ์นั่งอยู่ข้างเตียง
อีกฝ่ายสวมเสื้อยาวสีขาวสะอาด ผมดำขลับดุจน้ำหมึก มัดด้วยผ้าผูกผมสีขาวขนาดเท่านิ้วมือไว้ตรงท้ายทอย
ลมอ่อนโชยมา พัดเอาเส้นผมและผ้าผูกผมของเขาจนพลิ้วขึ้น แผ่กลิ่นอายบัณฑิตดุจภาพวาดสีหมึกออกมาไม่ขาดสาย ทว่าก็แฝงไว้ด้วยความสูงส่งของราชวงศ์
“เจ้าเป็นใคร” ไท่จื่อขมวดคิ้วถาม
อีกฝ่ายลุกขึ้นยืน หันกลับมาอย่างไม่รีบไม่ร้อน
จู่ๆ ไท่จื่อก็เกิดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมาในใจ
จะให้เขาหันกลับมาไม่ได้! ไม่ได้!
ไม่…
น่าเสียดาย สายไปเสียแล้ว
เขาหันกลับมาไม่พอ ยังเผยดวงหน้าเด็กหนุ่มที่เหมือนกับภาพเหมือนใบนั้นทุกกระเบียดนิ้วด้วย
ดวงตาหงส์ ไฝรองน้ำตา
ดวงหน้างามวัยสิบเก้ามีกลิ่นอายของเด็กหนุ่มสะอาดบริสุทธิ์
ไท่จื่อสีหน้าพลันเปลี่ยน!
ฮ่องเต้มองเซียวเหิงด้วยความตกตะลึง ก่อนจะค่อยๆ เดินไปหาเขาทีละก้าว