สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 725 เปิดเผยชาติกำเนิด (1)
บทที่ 725 เปิดเผยชาติกำเนิด (1)
ณ ห้องทรงอักษรของตำหนักจงเหอ ฮ่องเต้กำลังอ่านฎีกาที่กองพะเนินเป็นภูเขาเลากา
ฮ่องเต้เป็นกษัตริย์ผู้เหี้ยมโหดและบ้าคลั่ง แต่หาว่าด้วยความทุ่มเทในการปกครองบ้านเมืองนั้น พระองค์ไม่ได้นิ่งดูดายเลย
จางเต๋อเฉวียนไม่อยู่ เขาไปตำหนักกั๋วซือ คนที่คอยรับใช้ข้างกายพระองค์จึงเป็นบุตรบุญธรรมของจางเต๋อเฉวียน แซ่จางเช่นกัน คล่องแคล่วไหวพริบดี คนในวังต่างเรียกเขาว่าเสี่ยวจางจื่อ
เสี่ยวจางจื่อเรียนรู้วิธีการปรนนิบัติรับใช้ฮ่องเต้ในยามปกติจากพ่อบุญธรรม ยามที่ควรพัดวีก็พัดวี ยามที่ควรเติมชาให้เติมชา ไม่ปากมากพูดสอดแทรก
ทว่าในขณะที่เสี่ยวจางจื่อพัดวีอยู่นั้น จู่ๆ ฮ่องเต้ก็ตรัสขึ้นเสียงขรึม “ออกไป!”
เสี่ยวจางจื่อตกใจจนตัวสั่น
ฝ่าบาทเป็นอะไรไป
ตนปรนนิบัติได้บกพร่องหรือ
ฮ่องเต้ตรัสเสียงเย็น “ตามจางเต๋อเฉวียนมา!”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
“ช้าก่อน!”
“ฝ่าบาท”
“ช่างเถิด”
ช่างเรื่องใดเล่า
ช่างเถิดไม่พูดแล้ว เจ้าไปเถิด หรือว่าช่างเถิดไม่ต้องไปแล้ว
ถวายการรับใช้ฝ่าบาทไม่ใช่งานที่คนทั่วไปจะทำได้จริงๆ หากพ่อบุญธรรมของเขาอยู่ ต้องเข้าใจในพระประสงค์ของฝ่าบาทแน่ แต่เขาไม่เข้าใจนี่นา!
ไม่รู้ว่าฮ่องเต้ฝังขันทีน้อยน่ารำคาญไปกี่นายแล้ว จุดจบของตนจะต้องตายโดยไร้ดินกลบหน้าเหมือนเช่นคนอื่นหรือไม่
ไอ้หยา รู้อย่างนี้คงไม่ประจบพ่อบุญธรรมขอทำงานนี้แล้ว!
“ฝ่าบาท แม่ทัพประจำด่านขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีน้อยนอกประตูทูลขึ้น
“เข้ามา” ฮ่องเต้ตรัสพลางขมวดคิ้วปรายตามองเสี่ยวจางจื่อ “พัด”
เสี่ยวจางจื่อดุจยกภูเขาออกจากอก คว้าพัดมาพัดถวายฮ่องเต้ต่อ
หวังซวี่ แม่ทัพประจำด่านเข้าวังมาเพื่อจะกราบทูลความคืบหน้าการสืบคดีกับฮ่องเต้
หวังซวี่ประสานมือทูล “ทูลฝ่าบาท ข้าน้อยไปยังป่าที่พวกเขาโดนลอบสังหารแล้ว ไม่พบเบาะแสที่เป็นประโยชน์อะไรเลยพ่ะย่ะค่ะ เดิมทีคนของจวนแม่ทัพจะไปจับตัวเด็กจัดยาคนนั้นมาไต่สวน แต่ถูกคนของตำหนักกั๋วซือขวางไว้”
ฮ่องเต้แค่นเสียงเย็นตรัส “ไปจับคนที่ตำหนักกั๋วซือ เจ้าช่างกำเริบเสิบสานนัก”
หวังซวี่ก้มหน้าลง “ข้าน้อยสำนึกผิดแล้วพ่ะยะค่ะ”
แม้จวนแม่ทัพจะเป็นคนสนิทของฝ่าบาท แต่หากว่ากันเรื่องตำแหน่งในราชสำนักแล้วยังสู้ตำหนักกั๋วซือไม่ได้
การจับตัวเด็กจัดยามาไต่สวนนั้นไม่ได้มีความผิดอะไร จะผิดก็แต่เขาคิดจะไปจับตัวที่ตำหนักกั๋วซือ
แบบนี้จะให้ตำหนักกั๋วซือเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
อันที่จริงหากมิใช่อดีตองค์หญิงกำลังทำการผ่าตัดอยู่ เจ้าหนุ่มที่ชื่อเซียวลิ่วหลังนั่นก็คงโดนเรียกไปไต่สวนที่จวนแม่ทัพเช่นกัน
“สืบต่อไป” ฮ่องเต้บอก
“พ่ะย่ะค่ะ!” หวังซวี่ประสานมือ “กระหม่อมทูลลา”
ที่เขามาในยามนี้เพราะจะลองหยั่งเชิงพระประสงค์ของฝ่าบาทดู ว่าจะทรงอนุญาตให้ตนไปจับคนที่ตำหนักกั๋วซือหรือไม่
ดูท่าในพระทัยฝ่าบาทนั้นตำหนักกั๋วซือจะยังคงมั่นคงไม่อาจสั่นคลอนได้อยู่
หลังจากหวังซวี่กลับไป ฮ่องเต้ก็ฝืนข่มพระทัยตรวจฎีกาต่อ
ทันใดนั้น หนูน้อยคนหนึ่งก็ชะโงกหน้ามาจากนอกประตู
ราวกับอยากจะเข้ามา แต่ก็ลังเล
ฮ่องเต้หันไปทอดพระเนตร นางก็หดหัวกลับคืน
ฮ่องเต้ตรัสเสียงนิ่ง “เห็นเจ้าแล้ว เข้ามาสิ”
“ก็ได้” องค์หญิงน้อยกระโดดข้ามธรณีประตูสูงเข้ามา
นางไม่ได้อ้อมโต๊ะทรงอักษรมาออดอ้อนอยู่ข้างกายฮ่องเต้เหมือนที่ผ่านมา แต่ยืนอยู่ห่างจากโต๊ะทรงอักษรไกลเป็นหมื่นเป็นแสนลี้อย่างนอบน้อม (รู้สึกผิด) ฮ่องเต้ไม่มีทางตีก้นนางถึงได้แน่นอน
“วันนี้ไม่ไปเรียนรึ” ฮ่องเต้ตรัสถาม
“เลิกเรียนแล้ว” องค์หญิงน้อยบอก
“มีอะไรรึ” ฮ่องเต้ตรัสถาม
“ข้า…” องค์หญิงน้อยนิ้วชี้จิ้มกันไปมา ดวงตาลอกแลกขยับไหว “ข้าอยากไปเดินเล่นนอกวัง”
องค์หญิงน้อยไม่รู้เรื่องของซ่างกวานเยี่ยน ไม่มีใครบอกเรื่องพรรค์นี้กับเด็กเล็กคนหนึ่ง และไม่มีใครกล้าแพร่งพรายคำใดต่อหน้านางด้วย
ด้วยเหตุนี้นางจึงไม่รู้ความในใจของฮ่องเต้
สีพระพักตร์ฮ่องเต้บึ้งตึงเหมือนที่แล้วมา แต่พระองค์ไม่มีเรื่องในใจก็บึ้งตึงเช่นนี้ องค์หญิงน้อยจึงชินแล้ว
ฮ่องเต้ “เจ้าอยากไปไหนเล่า”
องค์หญิงน้อย “ตำหนักกั๋วซือ”
ฮ่องเต้ “ไปทำอะไรที่ตำหนักกั๋วซือ”
องค์หญิงน้อยเอ่ยอย่างรู้สึกผิด “ก็…ไปเล่น”
นางทำนกฮว่าเหมยของเสด็จลุงหาย ได้ยินมาว่าใต้เท้ากั๋วซือทำได้สารพัดอย่าง นางอยากขอให้เขาช่วยเสกนกฮว่าเหมยออกมาให้เหมือนทุกกระเบียดนิ้ว นางจะได้ไม่ต้องโกหกต่อว่าตัวเองให้เพื่อนร่วมชั้นยืมนกฮว่าเหมยไป
องค์หญิงน้อยเอ่ยด้วยเสียงเด็กเล็ก “เสด็จลุง ท่านพาข้าไปหน่อยสิ”
ฮ่องเต้หยิบฎีกาขึ้นมาฉบับหนึ่ง “ข้ายุ่งมาก”
องค์หญิงน้อยเอ่ยอย่างชาญฉลาด “ให้จางกงกงพาข้าไปแทนสิ”
เสี่ยวจางจื่อชะงัก
ฮ่องเต้ตรัส “จางเต๋อเฉวียนไม่อยู่”
องค์หญิงน้อยอ้าปากพะงาบ
ฮ่องเต้ปิดตายทางถอยของนางทันที “คนอื่นไม่ได้”
องค์หญิงน้อยปิดปากฉับ
ฮ่องเต้นึกว่าแม่หนูน้อยจะเปิดการโจมตีด้วยเสียงร้องงอแงไร้พ่ายของนาง ใครจะคิดว่าไม่ใช่
องค์หญิงน้อยหูลู่หางตก ก้มหน้าลง แขนน้อยๆ ตกข้างตัว เดินจากไปอย่างเสียใจสุดจะเปรียบ
ฮ่องเต้ “…”
เจ้าจะไม่พยายามสักหน่อยรึ
…
ณ ตำหนักกั๋วซือ
จางเต๋อเฉวียนเดินวนไปมาอยู่บนระเบียงทางเดินไม่รู้กี่รอบ เขารู้สึกว่าพื้นรองเท้าตัวเองสึกหมดแล้ว
เขาทอดมองประตูเหล็กที่ถูกหน่วยกล้าตายสองนายเฝ้าอยู่ พลางเอ่ยอย่างร้อนใจ “นี่ก็ผ่านไปหนึ่งชั่วยามกว่า แล้ว ไยจึงยังไม่ออกมาอีกเล่า หรือการรักษาจะไม่ราบรื่น”
หลังมือเขาฟาดฝ่ามือไปมา “แล้วจะทำอย่างไรดี จะทำอย่างไรดี”
ภายในห้องผ่าตัด การผ่าตัดมาถึงขั้นสุดท้ายแล้ว สกรูหัวขั้วถูกตอกเข้าไปในกระดูกสันหลังแล้ว ต่อไปเป็นการใช้เหล็กยึดกับพวกสกรูให้มั่น
การผ่าตัดตามตำราจะเป็นการผ่าตัดใหญ่ โดยเปิดผิวหน้าของบาดแผลทั้งหมด สามารถใส่ก้านยึดเข้าไปในรูของสกรูหัวขั้วได้โดยตรง
แต่ที่กู้เจียวทำเป็นการผ่าตัดแบบแผลเล็ก ดังนั้นต้องใช้ตัวสอดก้านแบบพิเศษสอดจากปลายสกรูหัวขั้วเข้าไป แล้วค่อยสอดผ่านรูช่องสกรูแต่ละอัน
นี่เป็นการสอดก้านใต้ผิวหนัง รูมีขนาดใหญ่มาก ดังนั้นกู้เจียวจะมือสั่นแม้แต่น้อยไม่ได้ ไม่เช่นนั้นจะสอดไม่ทะลุ
ใต้เท้ากั๋วซือมองกู้เจียวตาไม่กะพริบ
โชคดีที่กู้เจียวมือนิ่งมาก
“แคปซีล” กู้เจียวเอ่ย
ใต้เท้ากั๋วซือยื่นแคปซีลให้นาง
กู้เจียวอุดด้านที่ไม่มีก้านสอดให้แน่นเป็นอันดับแรก จากนั้นหยิบปลายก้านอีกด้านออกมา แล้วดึงตัวอุดอีกด้านหนึ่งขึ้น
สุดท้ายตัดก้านหางออกแล้วเย็บแผล
กู้เจียวหยิบไหมละลายออกมา เย็บหนังด้านในให้ซ่างกวานเยี่ยน แบบนี้ไม่ต้องตัดไหม หลังจากฟื้นตัวแล้วแผลก็จะสวย เหลือก็แต่งานใหญ่อย่างการเย็บผิวหนังด้านนอก
“เจ้าเอาใจใส่นางไม่น้อย” ใต้เท้ากั๋วซือเอ่ย
“พอทำเนา” กู้เจียวเอ่ย
ใต้เท้ากั๋วซือเก็บอุปกรณ์ทางการแพทย์ด้วยกันกับกู้เจียว พลางเอ่ยถาม “น้องชายเจ้าฟื้นตัวเป็นอย่างไรบ้าง”
กู้เจียวเลิกคิ้วเอ่ย “ไม่เลว”
ตอนที่กู้เจียวแนะนำกับใต้เท้ากั๋วซือ นางบอกว่าเป็นสหายของนาง แต่ในระหว่างผ่าตัดกู้เหยี่ยนเรียกนางว่าท่านพี่ กู้เจียวจึงปิดบังไม่ได้แล้ว
อย่างไรเสียเขาก็รู้หลายเรื่องแล้ว เรื่องแค่นี้จะเป็นอะไรไป
หลังจากผ่าตัดเสร็จ ใต้เท้ากั๋วซือก็เรียกลูกศิษย์ที่มีประสบการณ์ให้เข้ามาหา ใช้เตียงรถเข็นที่ตำหนักกั๋วซือใช้เฉพาะส่งซ่างกวานเยี่ยนไปยังห้องปีกข้าง
กู้เจียว “โอ๊ะ รู้จักทำเตียงรถเข็นเสียด้วย”
กั๋วซือขยันใช่เล่น
จางเต๋อเฉวียนเห็นซ่างกวานเยี่ยนถูกเข็นออกมา ก็รีบโผไปถาม “อดีตองค์หญิงไม่เป็นไรแล้วกระมัง”
ใต้เท้ากั๋วซือมองกู้เจียวแวบหนึ่งก่อนจะเอ่ย “โชคดีที่ได้หมอเซียว การผ่าตัดประสบความสำเร็จมาก”
“อ๋อ” จางเต๋อเฉวียนมองกู้เจียวอย่างนิ่งอึ้ง เขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าฝีมือการแพทย์ของเด็กหนุ่มคนนี่จะสูงส่งถึงเพียงนี้ ความยากในการผ่าตัดเขาไม่รู้หรอก อาจเพราะว่าเซียวลิ่วหลังเป็นคนแรกที่ถูกกั๋วซือเรียกว่า ‘หมอ’
“รบกวนหมอเซียวแล้ว” จางเต๋อเฉวียนก็เปลี่ยนคำเรียกเช่นกัน “ข้าจะไปทูลความดีความชอบของเจ้ากับฮ่องเต้”
กู้เจียวยื่นใบรายการให้เขาใบหนึ่ง
จางเต๋อเฉวียนชะงัก “นี่คือ…”
กู้เจียว “ค่ารักษา ค่ายา ให้ฮ่องเต้ของพวกเจ้าออก ห้ามค้างชำระเด็ดขาด”
จางเต๋อเฉวียน “…”
ใต้เท้ากั๋วซือยังมีงานเบ็ดเตล็ดในตำหนักต้องจัดการอีก เขาจึงขอตัวไปก่อน ก่อนจะไปก็ให้คนไปตามอวี๋เหอมา
กู้เจียวหิ้วกระเป๋ายาใบน้อยเข้าไปในห้อง
หลังจากลูกศิษย์อีกสองคนเคลื่อนย้ายซ่างกวานเยี่ยนมาบนเตียงเสร็จก็ออกมา
การผ่าตัดของกู้เจียวครานี้ลากยาวตั้งแต่เที่ยงจนถึงบ่าย อากาศค่อนข้างร้อน แต่โชคดีที่ในห้องลมพัดปลอดโปร่ง ลมอ่อนโชยกลิ่นไผ่ในห้องโชยมาเป็นระลอก ชวนให้ใจสงบ
ซ่างกวานเยี่ยนถูกวางยาสลบทั้งตัวในการผ่าตัด ยามนี้ยาสลบยังไม่หมดฤทธิ์ นางหลับสนิทมาก
บนโต๊ะมีตะกร้าสะพายของนาง แต่เซียวเหิงกลับไม่อยู่