สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 723 พี่ใหญ่ออกโรง
บทที่ 723 พี่ใหญ่ออกโรง
การสลัดลูกสมุนอีกสองคนของหันเย่ออกไม่ใช่เรื่องยากเกินไปสำหรับกู้เฉิงเฟิง เวลานี้เกรงว่าพวกเขาน่าจะเดินทางถึงตำหนักกั๋วซือเป็นที่เรียบร้อย
กู้ฉังชิงแบกกู้เจียวไว้ที่หลังและมุ่งหน้าเดินต่อ
“รถม้าของข้าอยู่ด้านหน้านู่น เดินพ้นป่าออกไปก็ถึง มีพรรคพวกของข้าคนอื่นๆ ที่สนามประลองใต้ดินรออยู่ด้วย”
กู้ฉังชิงอธิบายทุกอย่างเพื่อไม่ให้กู้เจียวตกใจตอนเจอคนแปลกหน้า
หากเขารู้ว่ากู้เจียวไม่อยากเจอคนของเขา เขาจะได้ให้กู้เจียวรออยู่อีกที่แล้วค่อยเอารถม้ามารับทีหลัง
“อื้อ เข้าใจแล้ว” กู้เจียวไม่มีความเห็นอะไร
กู้ฉังชิงนึกอะไรขึ้นได้จึงถาม “อ้อ จริงด้วย พวกคนที่พวกเราปะทะเมื่อครู่นี้เป็นใครรึ นอกจากฉีเซวียน อีกคนคือใคร”
กู้เจียวเอ่ย “เขาคือหันเย่ บุตรชายคนโตของตระกูลหัน”
กู้ฉังชิงร้องอ๋อ “เครือญาติของไท่จื่อสินะ”
กู้เจียวชะงักไป โอบรอบลำคอของเขา ก่อนหันไปมองเขาอย่างประหลาดใจ “เจ้ารู้เรื่องนี้ด้วยหรือนี่”
กู้ฉังชิงเงยหน้าไปหานาง “ข้าพอได้ข่าวมาบ้างตอนอยู่สนามประลองใต้ดินน่ะ”
สักพักเขาก็นิ่งไป ก่อนจะถามต่อ “เหตุใดเขาถึงตามฆ่าเจ้า”
กู้เจียวตอบ “องค์หญิงทรงบาดเจ็บสาหัส ฝ่าบาทมีรับสั่งให้ข้าเข้าไปช่วยรักษา เขาก็เลยมาขัดขวางข้า แต่อันที่จริงยังมีคดีเก่าระหว่างข้ากับตระกูลหันอีกไม่น้อยเลย”
กู้ฉังชิงขมวดคิ้วแน่น “คดีเก่ารึ”
“เรื่องมันยาวน่ะ” กู้เจียวไม่ใช่คนที่ถนัดเล่าเรื่องนัก ดังนั้นนางพยายามเล่าให้กระชับได้ใจความมากที่สุด
พอกู้ฉังชิงฟังจบถึงกับพูดไม่ออก
เขาคาดไม่ถึงว่ากู้เฉิงเฟิงจะใช้วิธีแบบนั้นเข้ามาที่แคว้นเยี่ยน
แม้ว่าเขาจะสังเกตเห็นการเติบโตของเจ้าน้องชายคนรองตั้งแต่ช่วงสงครามชายแดน แต่ก็ไม่คาดคิดว่าเขาจะโตเร็วขนาดนี้
ในความเป็นจริง กู้เฉิงเฟิงไม่จำเป็นต้องทำตัวเข้มแข็งแบบนั้น แม้แต่ท่านปู่เองก็ไม่เคยคาดคั้นอะไรจากหลานชายคนรอง ขอแค่ให้เขาเป็นท่านชายที่มีความสุขก็เพียงพอ
ทั้งที่ไร้แรงกดดันใด แต่เขากลับแบกรับทุกอย่างด้วยตัวของเขาเอง
ความคิดที่จะปกป้องคนที่ตัวเองรักนี้เองที่ทำให้เขาเติบโตขึ้น
เรื่องน่าตื่นตกในเกิดขึ้นมากมาย นอกจากเรื่องที่กู้เฉิงเฟิงไปเป็นแรงงานทาสแล้ว ยังมีเรื่องระหว่างกู้เจียวกับหันเช่อ และกู้เจียวกับท่านชายใหญ่หัน ไหนจะเรื่องของเซียวเหิงและราชวงศ์ของแคว้นเยี่ยนอีก
ชีวิตของพวกเขาในแคว้นเยียนต่อจากนี้คงไม่ราบรื่นเสียแล้ว
และแล้วพวกเขาก็เดินมาถึงจุดที่รถม้าจอดอยู่
มีรถม้าทั้งหมดสามคัน คันสุดท้ายเป็นคันที่ใช้สำหรับขนสัมภาระ ส่วนรถม้าคันกลางซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดเป็นของกู้ฉังชิง ขณะที่คันแรกเป็นรถม้าโดยสารธรรมดาของผู้ดูแลสนามประลองใต้ดิน นามว่าผังไห่
เขาคือคนที่แนะนำให้กู้ฉังชิงเดินทางมาที่เมืองเซิ่งตู
ในเมื่อกู้ฉังชิงแนะนำให้กู้เจียวรู้จักกับเขา เท่ากับว่าคนคนนี้เชื่อถือได้
ผังไห่เป็นชายอายุสามสิบ ทว่ารูปลักษณ์เหมือนกับคนอายุสี่สิบ
เมื่อผังไห่เห็นว่ากู้ฉังชิงกำลังอุ้มใครบางคนไว้บนหลัง และมีใครอีกคนหนึ่งเดินอยู่ข้างๆ เขา ก็รีบเดินเข้าไปหาทันที
ตอนแรกเขาเผลอคิดว่าตัวเองตาฝาดไปด้วยซ้ำ
จู่ๆ เข้าไปในป่าแล้วจู่ๆ ก็ออกมาพร้อมกับคนแปลกหน้าอีกสองคน แถมหนึ่งในนั้นถูกแบกอยู่บนหลังของเขาเนี่ยนะ!
หากผู้ใดเข้าใกล้จอมมารแห่งนรกผู้นี้เกินสามนิ้วละก็ มีหวังโดนอัดน่วมจนร้องเอ๋งไปแล้วมิใช่หรือ
ไม่อย่างนั้นเขาจะได้ฉายาจอมมารแห่งนรกมาได้อย่างไร
ยิ่งไปกว่านั้น ดูเหมือนเขาจะไม่หงุดหงิดอะไรกับคนที่เดินถือใบบัวให้เขาทั้งๆ ที่ก็เดินชนเขาตั้งหลายครั้งจากการที่ไม่ทันได้มองทางข้างหน้าเพราะมัวแต่ระวังใบบัวบนหัว
ผังไห่แทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เห็น
ผังไห่เดินลงมาจากรถม้าเข้ามาถามเขา “เกิดอะไรขึ้นรึฉังชิง”
กู้ฉังชิงตอบด้วยสีหน้าราบเรียบ “มีชาวบ้านเจอโจรในป่า ข้าก็เลยเข้าไปถาม พบว่าเขาเป็นชาวบ้านจากแคว้นเจา ซ้ำยังได้รับบาดเจ็บด้วย”
สารถีคิดในใจ สรุปไม่ใช่พี่น้องกันแล้วหรือ
แน่นอนว่าเขาพูดอะไรออกมาไม่ได้อยู่ดี เขาไม่กล้ายุ่มย่ามเรื่องส่วนตัวของเจ้านายหรอก
หากอยากทำมาหากินในเมืองเซิ่งตู ย่อมต้องหลับหูหลับตาให้เป็น
หลังจากชั่งน้ำหนักข้อมูลที่เขาได้รับจากกู้เจียวอย่างรอบคอบแล้ว กู้ฉังชิงจึงก็ตัดสินใจซ่อนความสัมพันธ์ของเขากับนางไว้ก่อนชั่วคราว
ผังไห่คิดในใจ เชื่อก็แย่แล้ว ออกอาการพิรุธขนาดนี้!
กู้ฉังชิงไม่สนว่าอีกฝ่ายจะเชื่อหรือไม่ อย่างไรเสียเขาก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี
พวกเขาทั้งสองเดินทางมาที่เมืองเซิ่งตูด้วยกัน ผังไห่เป็นผู้จัดการของเขา หากเกิดอะไรขึ้นกับเขา ผังไห่ย่อมหนีไม่พ้น
หรือจะเรียกว่าพวกเขากำลังลงเรือลำเดียวกันก็ได้
ผังไห่หัวเราะเจื่อน แล้วเอ่ยทักทายกู้เจียว “ข้าชื่อผังไห่ มาจากตระกูลผัง ดูเหมือนเจ้าจะเด็กกว่าข้าสินะ เรียกข้าว่าพี่ใหญ่ก็ได้ หรือจะเรียกพี่ไห่ก็ได้”
กู้เจียวคิดในใจ “พี่อ้วนไห่อย่างนั้นรึ”
มีคนชื่อพิลึกแบบนี้ด้วยรึ
ผังไห่ “…”
“ขายาทาแผลหน่อย” กู้ฉังชิงบอกกับผังไห่ “ข้าต้องการส่งเพื่อนร่วมแคว้นผู้นี้โดยสวัสดิภาพ ดังนั้นเจ้าช่วยพาสารถีคนนี้ไปส่งที แล้วเดี๋ยวเจอกันที่โรงเตี๊ยม”
“เจ้ารู้ชื่อโรงเตี๊ยมใช่ไหม” ผังไห่ถาม
“หอฟูอวิ๋น” กู้ฉังชิงตอบ
เมื่อผังไห่เห็นว่าเขาจำได้ จึงเดินเข้าไปในรถม้าเพื่อหยิบขวดยา
เขาเลือกขวดที่ดีที่สุด
พอเขาออกมาจากรถม้าอีกที ก็เห็นภาพตอนที่กู้ฉังชิงอุ้มร่างของกู้เจียวขึ้นรถม้า
ข้อเท้าซ้ายของกู้เจียวบวมมากจนรองเท้าของนางแทบปริ
กู้ฉังชิงนั่งลงข้างกู้เจียว ยกเท้าของนางขึ้นมาแล้ววางลงบนตัก “ขอข้าดูหน่อย ทนเจ็บนิดนึงนะ”
ผังไห่ที่กำลังจะเดินเข้าไปในรถ ทว่าหลังม่านที่แหวกออกนั้นเขาก็เหลือบไปเห็นฉากที่กู้ฉังชิงกำลังถอดรองเท้าของอีกฝ่าย ทั้งยังยกเท้าขาวนวลของอีกฝ่ายขึ้นด้วยฝ่ามือแกร่งของตัวเอง พร้อมทั้งสายตาและท่าทางที่อ่อนโยน
ผังไห่ถึงกับลมจับ
อะไรกันนี่
พวกเจ้า…คงไม่ได้ชอบเขาหรอกใช่ไหม
มิน่าล่ะกู้ฉังชิงถึงไม่ยอมเข้าใกล้สตรีใดเลย แม่เจ้าโว้ย ที่แท้เขานิยมชายหรอกหรือ!
แถมยังชอบกินหญ้าอ่อนเสียด้วย!
นี่มัน ไร้ยางอายชัดๆ !
ไม่แปลกที่ผังไห่จะเข้าใจผิด ด้วยความที่กู้ฉังชิงเป็นคนมีนิสัยประหลาด มีอยู่ครั้งหนึ่งที่นางโลมต้องการจะเข้าหาเขา แต่เขากลับเข้าใจผิดคิดว่าเป็นมือสังหารและเผลอทำร้ายนางโลมคนนั้นจนสาหัส!
ตอนนี้นางโลมคนนั้นยังคงอยู่ในสภาพซี่โครงหักสามซี่และนอนเป็นผักอยู่เลย
นับวันยิ่งอยู่ยากขึ้นจริงๆ !
ผังไห่รีบวางขวดยาแล้วรีบเดินออกไปอย่างไม่หันหลังกลับมามอง!
…
ณ ตำหนักเจาหยาง
ชีพจรของซ่างกวานเยี่ยนเริ่มอ่อนลง แม้กั๋วซือจะใช้โอสถเพื่อต่อลมหายใจของนางแล้วก็ตาม แต่ไม่เป็นผล
วันนี้ฝ่าบาทไม่ไปที่ท้องพระโรง
ทรงทอดพระเนตรที่ประตูอย่างจดจ่อพระทัย
ดวงตาของพระองค์เริ่มเผยให้เห็นความเย็นชา ขึ้นชื่อว่าเป็นฮ่องเต้จอมเผด็จการแล้ว ไม่มีใครคาดเดาได้ว่าพระองค์คิดจะทำอะไรหากทรงกริ้วถึงขีดสุด
บ่าวทั้งหลายต่างพากันคอหด
“นี่ตกลงว่าเขาจะมาหรือไม่มากันแน่ ลูกศิษย์ของท่านตายแล้วหรือไร!” ทรงถามอย่างหมดความอดทน
ด้วยความที่กั๋วซือเป็นผู้มีอำนาจในแคว้น แม้แต่ฮ่องเต้เองก็ไม่สบายพระทัยที่จะชักสีหน้าใส่
จางเต๋อเฉวียนรีบวิ่งออกไปแล้วบอกขันทีที่ประตู “เจ้าไปดูทีว่าลูกศิษย์ของกั๋วซือเดินทางมาแล้วหรือยัง”
ไม่นาน ฮ่องเต้ก็เริ่มหมดความอดทนและตรัสกับกั๋วซืออย่างไม่สบอารมณ์ “ข้าบอกแล้วว่าให้หวังซวี่จัดการแต่แรก! แต่ท่านกลับดึงดันจะให้ลูกศิษย์ของท่านไปพาตัวเขามา!”
“เกรงว่าหวังซวี่คงเอาเด็กคนนั้นไม่ลงหรอกขอรับ” กั๋วซือเอ่ย
“เหอะ!” ฮ่องเต้ทรงพระพักตร์บูดบึ้ง
“มาแล้วขอรับ!” จางเต๋อเฉวียนรีบวิ่งเข้ามาแจ้งข่าว “ลูกศิษย์ของกั๋วซือพาคนมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
“ยังไม่รีบพาพวกเขาเข้ามาอีก!” ฮ่องเต้ย่นคิ้ว
“พ่ะย่ะค่ะ!” จากนั้นจางเต๋อเฉวียนก็รีบตะโกนออกไปข้างนอก “เร่งมือเร็วเข้า เร็วเข้าพวกเจ้า!”
ลูกศิษย์กั๋วซือรวมถึงเซียวเหิงต่างก็รีบวิ่งมาที่ตำหนักเจาหยางอย่างสุดแรงเกิด
แม้กู้เจียวจะเคยเข้ามาในวังแล้ว ทว่ายังไม่เคยได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้ ดังนั้นฮ่องเต้จึงไม่รู้ว่า ‘เซียวลิ่วหลัง’ เป็นใคร
ทรงทอดพระเนตรไปที่ชายหนุ่มหน้าตาธรรมดา “เจ้าคือเซียวลิ่วหลังรึ”
เซียวเหิงหันไปทางฉากกั้นเตียงครู่หนึ่ง ก่อนหันมาตอบฮ่องเต้ “ทูลฝ่าบาท กระหม่อมเป็นหมอยาของเซียวลิ่วหลัง ระหว่างทางที่มา พวกกระหม่อมถูกมือสังหารไล่ล่า เซียวลิ่วหลังถูกพวกมันรังควาน จึงส่งตัวกระหม่อมมาที่นี่ก่อน และนี่ก็คือกล่องยาของเขาขอรับ”
เอ่ยจบ เซียวเหิงก็ถอดตะกร้าออกแล้วยื่นให้จางเต๋อเฉวียน
นี่เป็นมารยาทพื้นฐานของหมอยา คือการยื่นของให้กับคนที่มีตำแหน่งใกล้เคียงกัน
แต่ในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ ไม่มีใครสนใจเรื่องพิธีรีตองแล้ว
ฝ่าบาทต้องการให้หมอมาทำการรักษา ทว่าหมอกลับถูกลอบโจมตีระหว่างทาง คงไม่มีใครเชื่อถ้าบอกว่าเป็นเรื่องบังเอิญ!
“ไปตามหวังซวี่มาเดี๋ยวนี้!” ฝ่าบาทตรัสด้วยโทสะ
“พ่ะย่ะค่ะ!” จางเต๋อเฉวียนน้อมรับ
ส่วนกั๋วซือคอยสังเกตการณ์เซียวเหิงอยู่ห่างๆ
หางตาของเซียวเหิงก็เบนไปทางอีกฝ่ายเช่นกัน
เขามีลักษณะคล้ายกับที่กู้เจียวเคยเล่าไว้ถึงรูปพรรณสัณฐานของเขา บุรุษที่สามารถยืนเคียงข้างฮ่องเต้ได้โดยไม่แสดงอาการเยินยอหรือหวาดกลัวแม้แต่นิด
ท่านผู้นี้ก็คือกั๋วซือสินะ
ขณะเดียวกัน กั๋วซือไม่เคยเห็นหน้าค่าตาหมอยาหนุ่มผู้นี้ก่อน ตอนที่กู้เหยี่ยนผ่าตัดก็ไม่ยักปรากฏตัวให้เห็น
เซียวเหิงสามารถอธิบายแก้ต่างให้ตัวเองว่าเป็นหมอยาที่เข้ามาทำงานใหม่ก็ย่อมได้
ไม่ว่ากั๋วซือจะเชื่อหรือไม่ก็ตามแต่
“กล่องยา” กั๋วซือเอ่ย
จางเต๋อเฉวียนยื่นกล่องยาให้
กั๋วซือเดินเข้าไปที่หลังฉากกั้น
ไม่รู้เป็นเพราะเหตุใด ขณะที่เซียวเหิงมองตามกั๋วซือเข้าไป แขนขาของเขาก็เกิดความรู้สึกอ่อนแรง
“หมอยาคนนั้นน่ะ มาช่วยข้าที”
กั๋วซือเอ่ยเสียงนิ่ง
ดวงตาของเซียวเหิงสว่างวาบ ก่อนตัดสินใจเดินเข้าไป ไม่ว่าฮ่องเต้จะเห็นด้วยหรือไม่ก็ตาม
กั๋วซือวางกล่องยาใบน้อยไว้บนเก้าอี้ข้างเตียงแล้วเอ่ยขึ้น “เปิดมันสิ”
นี่ท่านกำลังขอให้ข้าเปิดโดยที่ตัวเองยังไม่ได้ลองเนี่ยนะ ไม่ดูขี้เกียจเกินไปหน่อยรึ หรือเป็นเพราะท่านรู้ว่าข้าเป็นคนเดียวในที่นี้ที่สามารถเปิดมันได้
เซียวเหิงนึกสงสัยในใจ
ว่ากันตามตรง ตัวเขาเองก็ไม่มั่นใจเหมือนกันว่าจะเปิดได้ไหม
หากว่าเปิดไม่ออก เขาจะต้องเขวี้ยงกล่องยาต่อหน้ากั๋วซือจริงๆ รึ
โชคดีที่เขาไม่ต้องทำเรื่องแบบนั้น เพราะเพียงแค่เซียวเหิงสะกิดมันเบาๆ กล่องยาก็เปิดออกอย่างง่ายดาย
ไม่เห็นยากนี่นา…
สีหน้าของกั๋วซือยังคงราบเรียบดังเดิม เขาหยิบยาห้ามเลือด และยาหลายชนิดที่เซียวเหิงไม่เคยเห็นมาก่อนจากกล่องยา
แล้วก็เริ่มทำความสะอาดแผลของซ่างกวานเยี่ยน
นางได้รับบาดเจ็บและมีแผลทั่วร่างกาย หลังจากจัดการกับแผลขนาดเล็กเสร็จ อันดับต่อมาคือจัดการแผลขนาดใหญ่ที่บริเวณช่วงบั้นเอว
สถานการณ์ตอนนี้ไม่สู้ดีนัก ต่อให้มียาที่สามารถยื้อชีวิตไว้แต่คงได้แค่ชั่วคราว
“องค์หญิงต้องเข้ารับการผ่าตัดขอรับ” กั๋วซือเอ่ยกับฝ่าบาท
“เช่นนั้นก็เริ่มการผ่าตัดเลยเสียสิ!” เสียงของฮ่องเต้ดังลอดเข้ามาจากอีกฝั่งของฉากกั้น
“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมทำการผ่าตัดนี้ไม่ได้ขอรับ มีเพียงเซียวลิ่วหลังเท่านั้นที่ทำได้ ยิ่งไปกว่านั้น พระองค์มีเวลาไม่มาก หากไม่สามารถทำการผ่าตัดได้ภายในครึ่งชั่วยาม จะทรงสูญเสียโอกาสสุดท้ายในการรักษา”
ครึ่งชั่วยามรึ…
เซียวเหิงเริ่มกำมือแน่น
ฮ่องเต้มีรับสั่งให้หวังซวี่และลูกศิษย์ของกั๋วซือไปตามเซียวลิ่วหลังมาที่นี่ หากทำไม่ได้ก็อย่าหวังว่าจะมีชีวิตรอด
ไม่มีใครรับประกันได้ว่าเซียวลิ่วหลังยังมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว
แค่เดินทางจากพระราชวังไปยังจุดเกิดเหตุก็กินเวลาเกินครึ่งชั่วยามแล้ว ต่อให้พวกเขาขี่เจ้าม้าเฮยเฟิงจนขาขวิดก็ไม่มีทางพาตัวคนมาได้ทันเวลา
บรรยากาศในตำหนักเจาหยางเต็มไปด้วยความอึมครึม
เวลาของซ่างกวานเยี่ยนค่อยๆ หมดลง
เซียวเหิงหัวใจเต้นถี่รัว เขาเริ่มหายใจไม่ทั่วท้อง
เป็นเพราะเขากังวลความปลอดภัยของกู้เจียว
หรือเพราะ…
กั๋วซือคว้าข้อมือของซ่างกวานเยี่ยนแล้ววัดชีพจร “แย่แล้ว ชีพจรไม่เหลือแล้ว!”
นัยน์ตาเซียวเหิงเริ่มสั่นคลอ
“ฝ่าบาท! มาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
น้ำเสียงตื่นเต้นของจางเต๋อเฉวียนดังขึ้น
หวังซวี่กำลังพาใครบางคนเข้ามาในเขตพระราชฐาน
เรื่องมีอยู่ว่า ขณะที่พวกเขาเพิ่งถึงประตูวัง ก็เจอกับกู้เจียวที่เพิ่งลงจากรถม้าพอดี
“พวกเจ้าออกไปให้หมด” กู้เจียวเดินตรงปรี่เข้าไปด้านในตำหนัก
ฮ่องเต้ “ข้า…”
กู้เจียว “รวมถึงฝ่าบาทด้วย”
ฮ่องเต้ “…”
ฮ่องเต้และคนอื่นๆ ถูกต้อนออกจากห้อง
ภายในห้องเหลือเพียงเซียวเหิงและกั๋วซือ
กู้เจียวให้เซียวเหิงรออยู่ด้านนอกฉากกั้น
ไม่มีความจำเป็นที่เขาต้องมาเห็นภาพที่ไม่น่าอภิรมย์เช่นนี้
กู้เจียวเปิดกล่องยาออก ใช้น้ำยาฆ่าเชื้อทำความสะอาดมือตัวเอง
ระหว่างนั้นกั๋วซือก็เล่าถึงอาการของซ่างกวานเยี่ยน
ไม่นานกู้เจียวก็ได้ข้อสรุป “กระดูเอวหักสองจุด เนื้อเยื่ออ่อนได้รับความเสียหายหลายจุด ยังไม่นับภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น…เตรียมเปลขนย้าย สถานที่นี้ไม่อำนวยต่อการผ่าตัด”
กั๋วซือจ้องเข้าไปในดวงตาอีกฝ่ายพร้อมกับเอ่ยเตือน “พระองค์ไม่มีชีพจรหลงเหลือแล้วนะ”
หลังสวมถุงมือเสร็จ กู้เจียวมองดูใบหน้าและผิวพรรณที่ซีดเผือดไร้ชีวิตชีวาของคนบนเตียง ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและเฉียบขาด “เข้าใจแล้ว ต้องกู้ชีพจรให้ได้ก่อน อิพิเนฟรีนหนึ่งมิลลิกรัม พร้อมกระตุ้น”