สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 721 พี่ใหญ่มาแล้ว
บทที่ 721 พี่ใหญ่มาแล้ว
กู้เจียวไม่ประมาทให้แก่ศัตรู นางใส่แรงลงไปที่เท้าอย่างเต็มเหนี่ยว
หันเย่เติบโตในค่ายทหารและเคยไปสนามรบเล็กใหญ่มาหลายแห่งหน แต่เขาไม่เคยเห็นคนที่เด็ดเดี่ยวและโหดเหี้ยมขนาดนี้มาก่อน กลิ่นอายจิตสังหารของอีกฝ่ายทำเอาท่านชายใหญ่ตระกูลหันอย่างเขาถึงกับตัวสั่น!
ถึงกระนั้นหันเย่ก็มิใช่ยอดฝีมือธรรมดาทั่วไป เขาจึงตอบสนองอย่างรวดเร็ว เขาคว้าทวนในมือ จับมันแน่นด้วยมือทั้งสองข้าง และขวางเท้าของกู้เจียวไว้
สิ้นเสียงดังกรอบ หัวไหล่ซ้ายของเขาก็หลุดในทันที!
นี่มัน…
แรงเยอะอะไรปานนี้!
ต่อให้เขาไม่มีเพียงพอที่จะเวลารวบรวมพลังปราณภายใน แต่เด็กคนนี้เป็นคนแรกที่ทำให้ข้อไหล่ของเขาหลุดได้ขนาดนี้!
หันเย่ใช้แรงของแขนขวาผลักทวนอย่างแรง ทำให้กู้เจียวถอยหลังไปสองสามก้าว ขณะที่ตัวเขาเองก็ยืนขึ้นเหมือนปลาแล้งน้ำ
เขาปักทวนลงบนพื้นแล้วยกมือขึ้นเพื่อดันข้อไหล่ที่หลุดออกกลับเข้าที่!
อาการบาดเจ็บประเภทนี้ต้องอาศัยการพักผ่อน แต่เขาสามารถลืมความเจ็บปวดและเข้าสู่การต่อสู้ครั้งต่อไปได้อย่างรวดเร็ว
กู้เจียวหรี่ตามองเขาพลางคิดในใจ สมกับเป็นมือหนึ่งของเซิ่งตู
ครั้งก่อนที่กู้เจียวพยายามยัดเขาเข้าถุงกระสอบเป็นเพราะนางประเมินศัตรูต่ำไป นอกจากนี้ยังใช้วิธีช่วยมากมายเพื่อหลอกลวงเขาจนสำเร็จ แต่นั่นเป็นเพราะโชคช่วยเท่านั้น ไม่ได้แปลว่าเขาไร้น้ำยา
ครั้งต่อมาคือตอนที่อยู่ในตรอกหยางหลิ่ว ตอนนั้นเขาออกแรงไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำ อีกทั้งมีเจ้าเฮยเฟิงเข้ามาเอี่ยวด้วย พวกเขาเลยต้องหยุดสู้กัน
คราวนี้ล่ะ จะเป็นการต่อสู้ที่แท้จริงระหว่างพวกเขา
หันเย่คือคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งกว่าทุกคนที่กู้เจียวเคยเจอในแคว้นเยี่ยน
แต่สิ่งที่นางต้องเผชิญ ไม่ได้มีแค่หันเย่คนเดียว
ตามเส้นทางที่หันเย่ควบม้าเข้ามา ยอดฝีมืออีกสองคนปรากฏกายขึ้นในบัดดล
หันเย่ชี้ทวนไปจุดที่เซียวเหิงหลบอยู่พร้อมกับเอ่ย “จัดการคนที่เหลือให้สิ้นซาก!”
คนที่เหลือรึ
แปลว่าหันเย่ไม่รู้ว่าเซียวเหิงตัวจริงหลบอยู่ตรงนั้น คิดเพียงแต่จะฆ่าปิดปากทุกคนให้ได้เลยสินะ
อันที่จริงกู้เจียวก็อดสงสัยการกระทำของหันเย่ไม่ได้ หลังจากที่เกิดเรื่องกับตระกูลของเขาจนเรียกได้ว่าตกที่นั่งลำบาก แต่ก็ยังมีหน้ามาทำตัวกำเริบเสิบสาน ขัดขวางการช่วยเหลือองค์หญิงอย่างออกนอกหน้าแบบนี้
นี่เขาไม่กลัวตายเลยหรือไร
เขามั่นใจได้อย่างไรว่าจะจัดการเรื่องทุกอย่างได้โดยไม่ทิ้งร่องรอยไว้
หันเย่ไม่เหมือนกับหันเช่อตรงที่เขาเป็นคนรอบคอบกว่า แสดงว่าเขาต้องมั่นใจในตัวเองสูงว่าจะสามารถปิดปากกู้เจียวได้
หรือยิ่งไปกว่านั้น กู้เจียวสงสัยว่าหันเย่กำลังจนตรอกแล้วจริงๆ ถึงได้เลือกวิธีนี้
อีกนัยหนึ่งก็คือ ฝั่งไท่จื่อกำลังจนตรอกแล้วเช่นกัน
อุบัติเหตุขององค์หญิงเกิดขึ้นอย่างไม่ชอบมาพากล พวกเขาไม่ต้องการให้นางฟื้นก็เพราะอาจถูกเปิดโปงก็เป็นได้
ถ้าเป็นอย่างที่คิดไว้ ก็ไม่แปลกที่หันเย่จะบุกโจมตีกู้เจียวแบบนี้
ยอดฝีมือสองคนพุ่งตัวเข้าไปทางเซียวเหิง
กู้เจียวรีบขว้างลูกระเบิดออกไป
“รีบหลบเร็ว!”
หันเย่ตะโกนบอกพวกเขา!
ยอดฝีมือทั้งสองหลบอย่างสวยงาม
ดูท่าหันเย่จะเตรียมการรับมือมาอย่างดี
แค่หันเย่คนเดียวก็ยากต่อการรับมือแล้ว พอมีมือสังการเพิ่มมาอีกสองคน กู้เจียวเริ่มแบ่งรับแบ่งสู้ไม่ถูก
ยอดฝีมือพุ่งตัวเข้าไปทางเซียวเหิง กู้เจียวจึงรีบเข้าไปช่วย ทว่าถูกทวนของหันเย่สกัดไว้!
กู้เจียวกระโดดขึ้นไปยังกิ่งไม้ใหญ่เพื่อหลบอาวุธของอีกฝ่าย ก่อนจะม้วนตีลังกาลงมายังด้านหลังของหันเย่
กู้เจียวคว้าเข็มพิษสองเล่มแล้วเล็งไปที่ยอดฝีมืออย่างรวดเร็ว พวกเขาคิดว่าเป็นลูกระเบิดจึงรีบถอยออกไปอย่างรวดเร็ว
กู้เจียวรีบเข้าไปหาเซียวเหิง ยื่นตะกร้าให้เขาพร้อมกับเอ่ยขึ้น “เจ้าหนีไปก่อน ฝากเอากล่องยานี้ให้กั๋วซือด้วย”
“เขาจะเปิดมันได้รึ” เซียวเหิงถาม
เซียวเหิงรู้ดีว่านอกจากกู้เจียวแล้วไม่มีใครเปิดกล่องยานี้ได้
“ลองดูก่อนก็ได้ คราวก่อนเจ้าก็เขวี้ยงมันสุดแรงจนเปิดได้มิใช่รึ” กู้เจียวตอบ
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้ว ตอนที่พวกเขายังอยู่ที่ชนบทในแคว้นเจา กู้เจียวถูกท่านโหวกู้ทำร้ายมา เซียวเหิงจึงอาสาทำแผลให้นาง เขาเผลอกระแทกกล่องยาจนมันเปิดออกโดยบังเอิญ
และนั่นเป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นว่ากล่องยานั้นจุของได้เยอะแค่ไหน
เขาไม่เคยบอกเรื่องนี้กับนางเลยจนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ที่เขายอมเล่าให้ฟัง
“ไม่ใช่ว่าตอนนั้นเจ้าปิดมันไม่ดีรึ” เซียวเหิงถาม
“ข้าปิดดีแล้ว” กู้เจียวตอบ “ถ้าเปิดไม่ออก ก็ลองเตะๆ มันดูก็ได้”
เซียวเหิง “…”
กล่องยา “…”
ด้วยความที่เซียวเหิงอำพรางรูปลักษณ์ทำให้หันเย่จำเขาไม่ได้ แต่มีหรือที่หันเย่จะปล่อยให้เขารอดออกไปได้ง่ายๆ
“สหายของเจ้าหนีไปไหนไม่พ้นหรอก ยอมแพ้เสียเถอะ!” หันเย่แค่นเสียงหัวเราะอย่างเยือกเย็น
กู้เจียวกำกริชในมือไว้แน่น
กู้เจียวไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้กะทันหัน นางจึงไม่ได้พกอาวุธมามากมายนัก คงต้องใช้สิ่งนี้แก้ขัดไปก่อน
มีดสั้นปะทะทวนยาว เห็นได้ชัดว่าใครกำลังเสียเปรียบ
แต่ไม่ทันไร เสียงหวีดลมดังขึ้นจากทางพงป่าเบื้องหลัง
“รับไว้ซะ!”
กู้เจียวยื่นมือรับ
สิ่งนั้นก็คือทวนยาว!
ตามด้วยกู้เฉิงเฟิงที่ลอยโฉบเข้ามาด้วยวิชาตัวเบา
ก่อนที่ร่างของเขาจะถึงพื้น กู้เจียวรีบตะโกนบอกเขาอย่างไม่รอช้า “รีบพาเขาออกไปจากที่นี่!”
กู้เฉิงเฟิงพยักหน้าแล้วคว้าแขนของเซียวเหิงก่อนกระโดดข้ามหัวยอดฝีมือทั้งสอง
หนึ่งในยอดฝีมือเตรียมจะกระโดดตามออกไป แต่กลับถูกทวนของกู้เจียวโจมตีเข้าอย่างจัง!
ใจหนึ่งกู้เฉิงเฟิงอยากอยู่ช่วยกู้เจียว แต่เขารู้ดีว่านี่คือสิ่งที่ดีที่สุดที่เขาทำได้ในตอนนี้
“ตามพวกมันไป!” หันเย่แผดเสียงสั่งยอดฝีมือทั้งสอง
ยอดฝีมือทั้งสองรีบตามไปยังทิศที่กู้เฉิงเฟิงหนีออกไปโดยที่หนึ่งในนั้นยังคงบาดเจ็บจากการจู่โจมของกู้เจียวเมื่อครู่นี้
หันเย่มองไปรอบทิศ ก่อนจะหันกลับมาที่กู้เจียวแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงอาฆาต “ข้าไม่สนว่าเจ้าเป็นใคร ไม่สนว่าเจ้ามีพรรคพวกอีกกี่คน แต่วันนี้พวกเจ้าไม่มีทางรอดออกไปจากแห่งนี้ได้แม้แต่คนเดียว!”
“เช่นนั้นรึ” กู้เจียวกำทวนในมือไว้แน่น สิ้นแสงวาบในดวงตา กู้เจียวก็เริ่มตั้งท่าทันที
“ก็ดี เดี๋ยวข้าจะสั่งสอนเจ้าด้วยเพลงทวนเอง” หันเย่แสยะยิ้ม “ข้าจะให้โอกาศเจ้าอีกครั้งก็แล้วกัน ใครเป็นคนสอนกระบวนทวนนี้กับเจ้า”
กู้เจียวเรียนกระบวนท่ามาจากพระอาจารย์ แต่เหตุใดนางต้องบอกด้วยล่ะ!
คนอย่างเจ้าไม่สมควรที่ได้รับรู้!
นางจะไม่เปลืองน้ำลายกับพวกตระกูลหันอย่างเด็ดขาด!
ทันทีที่กู้เจียวเริ่มกระบวนท่า หันเย่สัมผัสได้ถึงจิตสังหารอันแรงกล้าจากอีกฝ่าย แม้ทวนนั่นจะไม่ใช่ทวนมาตรฐานที่ใช้ในการรบ แต่เหตุใดถึงทำให้มันดูน่ายำเกรงอย่างน่าเหลือเชื่อล่ะ
แล้วก็จริงอย่างที่ว่า ทวนที่กู้เฉิงเฟิงหยิบมาคือทวนที่เขาใช้ตอนเล่นมหรสพในหอเทียนเซียง
มีน้ำหนักเบากว่าทวนทั่วไป หากเทียบกับทวนพู่แดงยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่ามันเบากว่ากี่เท่า
แต่กระนั้น ขณะที่หันเย่กำลังสกัดแรงทวนจากอีกฝ่ายมือของเขาเริ่มรู้สึกชาขึ้นมาเล็กน้อย
เจ้าเด็กนี่… แรงเยอะขนาดนี้เชียว!
วันนี้เขาต้องฆ่าเจ้าเด็กนี่ทิ้งให้ได้ ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นเสี้ยนหนามของตระกูลหันในวันหน้า!
หันเย่ไม่ยื้อเวลาอีกฝ่ายและไม่คิดจะออมมือแม้แต่นิด “ที่ข้านำทวนมาก็เพื่อเรียนรู้กระบวนท่ากับเจ้า แต่ข้าจะบอกบุญไว้ให้นะ สิ่งที่ข้าเก่งที่สุด…คือการใช้กระบี่ต่างหากล่ะ!”
หลังเอ่ยจบ เขาก็วางทวนในมือลงบนพื้นแล้วดึงกระบราออกมาจากอานม้า
ลำแสงจากกระบี่ของเขาสะท้อนเข้าดวงตาของกู้เจียว
กู้เจียวฉุกคิดถึงเหตุการณ์วันนั้นที่เซียวเหิงถูกลอบสังหาร ตอนนั้นอาวุธของฝั่งตรงข้ามก็คือกระบี่
และแล้วทุกอย่างก็เริ่มปะติดปะต่อ
“คืนนั้นคือเจ้าสินะ!”
คนร้ายตัวจริงคือหันเย่ ใต้เท้ารองหันเป็นแค่แพะรับบาป!
หันเย่ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะตระหนักว่ากู้เจียวกำลังหมายถึงเรื่องอะไร
หันเย่ไม่ปฏิเสธ เพียงแต่เอ่ยออกไป “กะแล้วเชียวว่าเจ้ากับเซียวลิ่วหลังต้องเป็นอะไรกัน! เช่นนั้นข้ายิ่งต้องกำจัดเจ้า!”
เขาจะไม่ปล่อยให้เชื้อสายขององค์หญิงได้ครอบครองคนที่ทรงพลังเช่นนี้อยู่ในมืออย่างแน่นอน
การต่อสู้ของทั้งสองจึงเริ่มขึ้น
ปกติแล้ว เวลาเกิดข่าวลือเกี่ยวกับใครสักคน เรื่องราวมักถูกใส่ไข่เติมสีจนฟังดูใหญ่กว่าความเป็นจริง
แต่ข่าวลือแบบนั้นใช้ไม่ได้กับคนอย่างหันเย่ สิ่งที่คนอื่นลือกันฟังดูว่าเกินจริงแล้ว ตัวจริงของเขากลับเป็นมากกว่าที่เขาลือกันเสียอีก
กู้เจียวเพิ่งจะฟื้นฟูร่างกายได้ไม่นาน จึงไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่ของหันเย่ในตอนนี้
ร่างทั้งร่างของกู้เจียวกำลังอ่อนล้า
กู้เจียวใช้ทวนพยุงร่างกายที่เริ่มสูญเสียเรี่ยวแรง และยกมือขึ้นเพื่อเช็ดเลือดออกจากมุมปาก
สมกับเป็นมือหนึ่งของเซิ่งตู
“เจ้ายังหมกเม็ดอะไรไว้อีก คายออกมาให้หมด” หันเย่มองกู้เจียวด้วยสายตาเย่อหยิ่ง
“ข้ายังมีอะไรให้เจ้าดูอีกเยอะ แต่เกรงว่าเจ้าจะไม่ทันได้มีชีวิตอยู่เห็นน่ะสิ!”
“ปากดีนัก! ตายเสียเถอะ!”
หันเย่พุ่งกระบี่ตรงเข้าไปที่กู้เจียว
กู้เจียวยันทวนกับพื้น กระโดดขึ้นแล้วเกี่ยวเท้าเข้ากับกิ่งไม้เหนือหัว
ก่อนจะม้วนตัวลงมาด้วยท่วงท่าราวกับมังกรที่โฉบลงมหาสมุทร
หันเย่คว้ากระบี่ขึ้นมาสกัดทวนของนางอย่างรวดเร็ว!
ขณะที่ร่างของกู้เจียวค่อยๆ ลดระดับลงพื้น หันเย่พลิกทิศกระบี่และเล็งไปที่กลางอกของอีกฝ่าย
ทว่ากู้เจียวไม่มีท่าทีหลบแต่อย่างใด
ด้วยพลังของกู้เจียวที่มีจำกัด จึงต้องใช้อุบายยอมเสียเปรียบเพื่อหาทางโจมตีระยะประชิด กระบวนท่าเมื่อครู่นี้เป็นเพียงแค่การหลอกให้อีกฝ่ายตายใจเท่านั้น
กู้เจียวยอมให้กระบี่ของอีกฝ่ายแทงเข้าเนื้อตัวเองเพื่อที่จะใช้กริชของนางปาดเข้าไปที่ลำคอของเขา
หันเย่ที่เพิ่งตระหนักได้ว่ากู้เจียวกำลังทำอะไรก็เกิดผงะทันที
บ้าไปแล้ว!
เจ้าเด็กแคว้นเจาคนนี้เป็นบ้าไปแล้ว!
ลงทุนเสี่ยงชีวิตเพื่อแลกชีวิตเนี่ยนะ!
กู้เจียวมีโอกาสโจมตีเพียงครั้งเดียว แต่หันเย่ไม่ได้เป็นแบบนั้น เขาไม่จำเป็นต้องเสี่ยงขนาดนี้!
เขาเตรียมถอนมือออก
ทันใดนั้น กู้เจียวยื่นมือออกไปจับกระบี่ของเขาด้วยมือเปล่า!
เจ้าบ้านี่อยากมือพิการหรือไร!
หันเย่เริ่มใจคอไม่ดีกับความบุ่มบ่ามของอีกฝ่าย เขาไม่เคยเจอใครบ้ำระห่ำเช่นนี้มาก่อน!
กระบี่เล่มนี้ของเขาคมยิ่งกว่าอะไร เขารับประกันได้เลยว่ามือของอีกฝ่ายจะต้องหลุดขาดอย่างแน่นอน!
และในเสี้ยววินาทีที่กู้เจียวตัดสินใจจะใช้วิธี ‘ถ้าข้าตาย เจ้าก็ต้องตาย’ กับหันเย่ จู่ๆ ลำกระบี่ปริศนาอันทรงพลังก็พุ่งออกมาจากพงป่าและกระแทกเข้ากับกระบี่ของหันเย่เข้าเต็มๆ
ทำให้กู้เจียวคว้าได้เพียงลม
ร่างของกู้เจียวไม่เหลืออะไรยึดไว้แล้วและกำลังจะล้มลง
รู้ตัวอีกทีกู้เจียวก็กำลังถูกอ้อมกอดที่คุ้นเคยประคองไว้
“เอ๋”
กู้เจียวเงยหน้าขึ้นและจ้องมองไปที่ใบหน้าอันคมคายอันแสนจะคุ้นของชายหนุ่ม ไรขนลุกชูชันไปทั่วทั้งกาย
เขาอุ้มร่างของนางก่อนจะทะยานลงบนพื้น วางร่างของนางลงบนใต้ต้นไม้อย่างเบามือ ก่อนจะฉีกผ้าคลุมบนกายมาปูรองพื้นให้นางได้นั่งบนนั้น
เสื้อคลุมของเขาสะอาดและมีกลิ่นหอมสดชื่น เขามองร่างที่ถูกปกคลุมไปด้วยขี้เถ้าจากการต่อสู้ของนาง
ราวกับแมวข้างถนนที่ถูกทอดทิ้งไม่ปาน
“เอ๋…เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร” กู้เจียวมองเขาด้วยท่าทางสับสน
เขาไม่รีบร้อนให้คำตอบ ก่อนจะยกมือขึ้นแล้วดึงเศษใบไม้ออกจากขมับของกู้เจียวอย่างอ่อนโยน แล้วเอ่ย “รอข้าอยู่ที่นี่นะ”
เอ่ยจบเขาก็ยื่นถุงผ้าให้กู้เจียวพร้อมกับส่งสายตาเอ็นดู ก่อนจะปลดห่อผ้าที่บั้นเอวแล้วยื่นให้กับนาง “มีอาหารอยู่ในนั้นนะ”
กู้เจียว “…”
พลังกระบี่เมื่อครู่ของอีกฝ่ายแรงไม่น้อย ทำเอาแขนของหันเย่ชาไปเกือบครึ่ง
เขาหันไปมองอีกฝ่ายที่ปรากฏตัวขึ้นโดยไม่คาดฝันอย่างหวาดระแวงพร้อมกับตะโกนถาม “เจ้าเป็นใคร มาจากสำนักใด”
ชายหนุ่มลุกขึ้นแล้วไปมองหันเย่
แววตาที่อ่อนโยนและเอาใจใส่ของเขาหายไปในพริบตา แทนที่ด้วยรังสีอำมหิตอันเยือกเย็นราวกับเหล็กกล้า!
ชายหนุ่มถือกระบี่ในมือ ก่อนจะเอ่ยเน้นย้ำทุกพยางค์ด้วยภาษาแคว้นเยี่ยน “ข้า กู้ฉังชิง นักต่อสู้จากสนามประลองใต้ดิน!”