สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 720 เจ้าเล่ห์เพทุบาย
บทที่ 720 เจ้าเล่ห์เพทุบาย
หลังจากฮ่องเต้ได้ยินชื่อนั้น ก็ทรงนิ่งเงียบไปชั่วขณะ
“เซียวลิ่วหลัง” พระองค์พึมพำ
จางเต๋อเฉวียนนึกอะไรขึ้นได้เกี่ยวกับชื่อนี้จึงเดินเข้าไปอธิบาย “บัณฑิตที่เป็นผู้เข้าแข่งขันตีคลีจากสำนักบัณฑิตเทียนฉงที่เคยแลกรางวัลกับสำนักบัณฑิตเจียหนานเพื่อมาเข้าเฝ้าฝ่าบาทในวันนั้นพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ย่นคิ้วทันที “ใช่คนที่เป็นพยานที่อยู่ในวันที่หนานกงลี่ตายหรือไม่”
จางเต๋อเฉวียนตอบ “เป็นเขาพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้จำเด็กคนนั้นได้ คนที่เคยให้การว่าหนานกงลี่ถูกคนแปลกหน้าสังหาร ครั้นต้องการจะเข้าไปช่วยเหลือทว่าไม่ทันการ
ด้วยนิสัยของพระองค์ ไม่ว่าคำพูดของเด็กคนนั้นจะน่าเชื่อถือหรือไม่ ก็ต้องถูกส่งคุมตัวไปที่คุกเพื่อสอบสวน แต่กลายเป็นว่าตอนนั้นเขาถูกซ่างกวานเสวี่ยลากตัวออกไปเสียก่อน
เด็กคนนั้นเป็นครูฝึกม้าของนาง
“เจ้าเด็กคนนั้นมาเป็นครูขององค์หญิงน้อยได้อย่างไร ไปสืบมารึยัง” ฮ่องเต้จำได้ว่าเขาเคยฝากจางเต๋อเฉวียนให้ไปสืบเรื่องนี้
“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมได้ความมาว่าเด็กคนนั้นเป็นเพื่อนร่วมชั้นกับท่านชายมู่ชิงเฉิน อีกทั้งยังลงแข่งตีคลีด้วยกัน เขาเคยปราบม้าพยศได้ ท่านชายมู่ชิงเฉินจึงชื่นชมในความสามารถของเขา ซ้ำทั้งเด็กคนนี้รู้เรื่องการแพทย์เป็นอย่างดี ประจวบกับองค์หญิงน้อยทรงมีอาการเป็นโรคหืด เมื่อพินิจพิเคราะห์ถึงสภาพการณ์แล้ว ท่านชายมู่ชิงเฉินจึงแนะนำเด็กคนนี้ให้แก่องค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ พระองค์เองก็น่าจะเข้าพระทัยดีว่าองค์หญิงน้อยช่างเลือกแค่ไหน โดยเฉพาะกับผู้ที่จะมารับหน้าที่เป็นอาจารย์ของพระองค์”
“แปลว่าเจ้าเด็กคนนั้นมีทักษะด้านการแพทย์เป็นอย่างดีสินะ” ฮ่องเต้ตรัสถาม
จางเต๋อเฉวียนตอบตามตรง “ท่านชายชิงเฉินไม่มีวันกลั่นแกล้งองค์หญิงน้อยเป็นอันขาดพ่ะย่ะค่ะ”
ส่วนกั๋วซือที่ยืนฟังอยู่ข้างๆ พอได้ยินดังนั้นก็เริ่มใจชื้นขึ้นมาบ้าง
ด้วยอายุอานามของเขา น้อยครั้งที่จะมีเรื่องทางโลกมาทำให้อารมณ์ของเขาผันผวนได้
ฮ่องเต้หันมาหาเขา “ท่านแน่ใจหรือว่าเด็กคนนั้นมีโอสถที่ใช้ได้จริง”
“กระหม่อมมั่นใจ” กั๋วซือกล่าว
“เช่นนั้น จงรีบส่งคนไปเอาโอสถมา!” ฮ่องเต้ออกคำสั่ง
กั๋วซือเอ่ยทัก “เกรงว่าต้องให้เจ้าตัวมาที่นี่ด้วยขอรับ ต้องให้เขาเห็นอาการก่อนจึงจะรักษาได้ อีกครั้งกระหม่อมขอแนะนำให้ส่งตัวองค์หญิงไปที่ตำหนักกั๋วซือจะเป็นการดี”
ฮ่องเต้ชี้นิ้วไปในห้อง “องค์หญิงอาการหนักขนาดนี้ยังจะให้เคลื่อนย้ายไปที่ไหนอีกรึ”
กั๋วซือครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนตอบฝ่าบาทกลับไป “เช่นนั้น รอให้เซียวลิ่วหลังมาถึงก่อนค่อยว่ากันอีกทีเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
…
ณ หอเทียนเซียง ความเงียบเข้าปกคลุมห้องของกู้เฉิงเฟิง
กลายเป็นว่าสตรีเจ้าของแตงโมคนนั้นก็คือองค์หญิง เป็นข่าวที่น่าสะพรึงสำหรับพวกเขา
สวีเฟิ่งเซียนเองก็เช่นกัน หลังจากที่รู้เรื่องก็เป็นล้มหมดสติไปตั้งเจ็ดแปดรอบ เพราะวันก่อนนางเล่นไปขอให้องค์หญิงมาเป็นนางโลมประจำที่นี่ สมควรตายชัดๆ
กู้เจียวหันไปมองคุณสามีที่นั่งอยู่ข้างๆ พลางนึก…องค์หญิงรู้จักเขา แถมไท่จื่อเองต้องการกำจัดเขา…
ดูเหมือนคำตอบที่หาครุ่นคิดอยู่ในใจเริ่มจะปรากฏแล้วสินะ
แต่ว่าตอนนี้ สิ่งที่สำคัญคือสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุกับองค์หญิง
กู้เจียวไม่อาจปักใจเชื่อได้ว่าองค์หญิงจะทรงพลาดหกล้มเอง
ในเมื่อองค์หญิงเคยสามารถล้มคนรับใช้ที่ทรงพลังสี่คนได้ แสดงให้เห็นว่าต้องทรงมีทักษะการต่อสู้อยู่บ้าง
ไม่มีทางที่อยู่ดีๆ นางจะล้มหมดสภาพแบบนั้นได้เอง เว้นเสียแต่ แรงมหาศาลของมนุษย์
อย่างเช่น ยกร่างให้สูงขึ้นแล้วเหวี่ยงลงอย่างแรง
เมื่อคิดถึงฉากที่โหดร้ายนี้ แววตาของกู้เจียวพลันเปลี่ยนเป็นเย็นชาทันที
แน่นอนว่านี่เป็นเพียงการคาดเดา ความจริงของเหตุการณ์จะต้องได้รับการตรวจสอบอย่างรอบคอบในที่เกิดเหตุ
แต่หากนางถูกลอบทำร้ายจริง คนร้ายก็น่าจะเก็บกวาดจุดเกิดเหตุเสร็จไปนานแล้ว และนั่นทำให้ยากต่อการสืบสวน
แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่าผู้ใดรับหน้าที่สอบสวนด้วย
หากเป็นเซียวเหิง เขาจะสามารถค้นหาเบาะแสได้อย่างแน่นอน
กู้เฉิงเฟิงมองไปที่เซียวเหิง จากนั้นก็มองกู้เจียว ก่อนจะเอ่ยถาม “มีอะไรที่ข้ายังไม่รู้อีกใช่ไหม”
ใช่แล้ว เจ้าไม่รู้ว่าองค์หญิงเคยให้แตงโมกับเขา อีกทั้งยังให้เงินเขาเพื่อเอาไปใช้กับภรรยา
“ลิ่วหลัง! ลิ่วหลัง!”
เสียงเรียกของกู้เสี่ยวซุ่นดังขึ้นจากชั้นล่าง
กู้เจียวลาเรียนเมื่อเช้า ดังนั้นตอนนี้กู้เสี่ยวซุ่นก็ควรจะเรียนอยู่
กู้เสี่ยวซุ่นวิ่งตรงขึ้นไปชั้นบน เคาะประตูด้วยอาการหอบแฮกๆ แล้วเดินเข้าไป เขาจับต้นขาด้วยมือทั้งสองข้าง งอตัวลง แล้วพูดอย่างติดๆ ขัดๆ “ท่านพี่… คนจากตำหนักกั๋วซือ… ไปที่สำนักบัณฑิต…เพื่อบอกว่า…เชิญท่านพี่…ไปที่วัง…เพื่อ…รักษาองค์หญิง…”
กำลังขบคิดอยู่เชียวว่าจะหาวิธีเข้าวังได้อย่างไร
“ขะ ข้า เอากล่องยามาให้เจ้าแล้ว…” กู้เสี่ยวซุ่นถอดตะกร้าใบเล็กที่อยู่บนหลังของเขาออก “ท่านพี่… ถ้าต้องการไป… แค่… ไปที่ประตูเมือง… พวกเขา… รออยู่ที่นั่น… แต่ถ้าไม่ไป… ข้าจะไป… คุยกับพวกเขาเอง…”
กู้เสี่ยวซุ่นจัดการทุกอย่างได้อย่างรอบคอบ นอกจากจะไม่เผยที่อยู่ของกู้เจียวแล้ว ยังให้ทางเลือกในการตัดสินใจกับกู้เจียวอีกด้วย
และในตอนนั้นเองที่ทุกคนตระหนักได้ว่ากู้เสี่ยวซุ่นโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว
เขาไม่ใช่คนพาลในหมู่บ้านเล็กๆ ที่เป็นผู้นำกลุ่มอันธพาลเพื่อรังแกพี่เขยของเขาอีกต่อไป
เมื่อเห็นสีหน้าของพวกเขา กู้เสี่ยวซุ่นอ้าปากค้างด้วยความสับสน “พวกเจ้า…เกิดอะไรขึ้น…ไยถึงมองข้าแบบนั้น ข้า…ทำอะไรผิดหรือ แล้วข้าควร… ปฏิเสธพวกเขาไหม หรือว่า…”
กู้เจียวเดินไปตบไหล่กู้เสี่ยวซุ่นเบาๆ “ไม่มีอะไร เจ้าทำได้ดีมาก”
จากนั้นก็คว้าตะกร้าขึ้นมาสะพาย
เซียวเหิงลุกขึ้นตาม “ข้าไปกับเจ้าด้วย”
กู้เฉิงเฟิงเบิกตากว้างแล้วพูด “เฮ้! เจ้าบ้าไปแล้ว! ถ้าพวกเจ้าทั้งสองปรากฏตัวพร้อมกันเดี๋ยวก็ถูกจับได้เอาหรอก!”
กู้เจียวกลับพยักหน้า “ก็ดี เจ้าไปเป็นหมอยาให้ข้าแล้วกัน”
กู้เฉิงเฟิง “…”
พวกเจ้าสองนี่นะรวมหัวกันทำเรื่องไม่เข้าทีไร ไม่มีใครห้ามใครเลยจริงๆ
กู้เฉิงเฟิงหมดหนทางรั้งพวกเขาไว้
จากนั้นเซียวเหิงจึงวานให้คนไปที่ร้านเสื้อผ้าและซื้อเสื้อผ้าพื้นบ้าน เพื่อให้ดูเหมือนหมอยาให้มากที่สุด
ด้วยความที่เขาไม่สามารถสวมหน้ากากเมื่อเข้าไปในวังได้ จึงทำได้เพียงปลอมตัวเท่านั้น
“อากาศร้อนแบบนี้ หน้ากากชนิดเสมือนผิวคนเอาไม่อยู่หรอก” กู้เฉิงเฟิงทัก
กู้เจียว “นี่คือผลงานของข้า จับตาดูดีๆ ล่ะ”
ครู่ต่อมา เมื่อเซียวเหิงปรากฏตัวอีกครั้ง กู้เฉิงเฟิงแทบจำเขาไม่ได้
จุดเด่นบนใบหน้าทั้งหมดของเซียวเหิงถูกบดบังเกือบทั้งหมด ดูเผินๆ ราวกับคนธรรมดาทั่วไป แม้แต่ดวงตาหางหงส์ที่เป็นจุดเด่นบนใบหน้าของเขายังถูกปรับเปลี่ยนให้ดูต่างจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
“เจ้าทำแบบนี้ก็ได้ด้วยรึ” กู้เฉิงเฟิงตะลึงในความสามารถนี้ของนาง เขาอยากทำเป็นบ้าง!
จากนั้นทั้งกู้เจียวและเซียวเหิงก็เดินทางออกจากหอเทียนเซียง เป็นเพราะไม่อาจใช้รถม้าของเซียวเหิงหรือแม้แต่ของหอเทียนเซียง พวกเขาทั้งสองจึงต้องไปเช่ารถม้าคันใหม่
แม้ว่าถนนเส้นหน้าหอเทียนเซียงจะดูคึกคักมากก็จริง แต่ความจริงตั้งอยู่ค่อนข้างห่างไกล ในเมื่อทำธุรกิจสีเทาเช่นนี้ ยิ่งอยู่ห่างจากสถานที่ของการในพื้นที่ส่วนกลางมากเท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น
พวกเขาจำเป็นต้องข้ามทุ่งและเดินไปตามเส้นทางป่าก่อนที่จะถึงถนนหลวงในเมืองรอบนอก
ระหว่างที่อยู่ในรถม้า กู้เจียวยังคงกุมมืออันเย็นเฉียบและปลอบโยนเซียวเหิงอย่างเงียบๆ
เมื่อรถม้าวิ่งผ่านป่าไปได้ครึ่งทาง จู่ๆ กู้เจียวก็รู้สึกราวกับได้ยินอะไรบางอย่างพร้อมกับลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว ยื่นมือออกไปและคว้าตัวสารถีให้เข้ามาด้านใน!
เสียงลู่ลมดังขึ้น ลูกธนูปริศนาบินปักเข้าจุดที่สารถีเพิ่งนั่งอยู่อย่างเต็มแรงจนหางของลูกธนูสั่นไหวไปมาจนแทบมองไม่ทัน เห็นได้ชัดว่ามันถูกปล่อยมาด้วยความเร็วและแรงแค่ไหน
ขณะที่กู้เจียวเตรียมจะบุกออกไป ก็พลันเห็นหลุมใหญ่ตรงถนนเบื้องหน้า ม้าที่กำลังเคลื่อนตัวไปข้างหน้าพอเห็นดังนั้นก็เกิดตกใจ ทว่าจะลดความเร็วลงก็ไม่ทันเสียแล้ว
กู้เจียวรีบคว้าสายบังเหียนและบังคับหันทิศทางของม้า การเลี้ยวอย่างฉับพลันทำให้รถม้าเกิดเสียหลักและไถลไปยังด้านข้าง
จังหวะที่พวกเขากำลังจะล้ม เซียวเหิงรีบใช้ร่างของเขาเป็นเกราะกำบังให้กู้เจียว คว้าเอวและหัวของนางเข้ามากอดไว้
ขณะที่กู้เจียวเองก็ใช้มือป้องศีรษะของเขาไว้เช่นกัน
พวกเขาไม่รักตัวกลัวตาย และเลือกที่จะปกป้องอีกฝ่าย
สารถีกลอกตาทั้งสองข้างหนึ่งทีก่อนเป็นลมล้มไป
รถม้ากระแทกชนเข้ากับต้นไม้ใหญ่ กู้เจียวรีบดึงมือของเซียวเหิงแล้วออกมาจากรถม้า ก่อนจะเข้าไปยืนหลบอยู่หลังต้นไม้
เซียวเหิงมองดูหลุมกับดักที่มีทวนซ่อนอยู่ในนั้น จากนั้นเงยหน้ามองตาข่ายขนาดใหญ่ที่แขวนอยู่ข้างบน เขาเข้าใจทันทีว่านี่เป็นการลอบสังหารโดยไตร่ตรองไว้ล่วงหน้า
มีใครบางคนไม่อยากให้พวกเขาไปช่วยองค์หญิงสินะ!
“ออกมาเถอะ เซียวลิ่วหลัง เจ้าหนีไปไหนไม่พ้นหรอก”
เสียงเรียบของชายหนุ่มดังขึ้นจากอีกฝั่ง
เซียวเหิงอาจจำเสียงนี้ไม่ได้ แต่กู้เจียวคุ้นเคยกับเสียงนี้ดี
หลังจากกู้เจียวใช้สายตาส่งสัญญาณให้เซียวเหิงอย่าขยับไปไหนแล้วจึงเดินออกมาจากด้านหลังต้นไม้ใหญ่อย่างสงบ เงยหน้ามองท่านชายใหญ่หันที่กำลังขี่ม้าและถือทวนพู่สีแดงในมือ “เจ้านี่เอง”
หันเย่มองไปที่กู้เจียวแล้วเอ่ย “ตกใจล่ะสิเซียวลิ่วหลัง ไม่สิ เจ้าไม่ใช่เซียวลิ่วหลังตัวจริง บัณฑิตจากชังหลันคนนั้นต่างหากที่เป็นเซียวลิ่วหลังตัวจริง เจ้าเป็นใครกันแน่”
กู้เจียว “อยากรู้ว่าข้าเป็นใคร เจ้าก็ลงนรกไปถามหนานกงลี่เอาเองก็แล้วกัน!”
เซียวเหิงคอยเฝ้าสังเกตหันเย่ เห็นได้ชัดว่าเขากำลังถ่วงเวลา องค์หญิงกำลังจะไม่รอดแล้ว…
หันเย่เหน็บแนม “ช่างกล้าจริงๆ คิดว่าตัวเองเก่งนักหรือที่กำจัดคนไม่สมประกอบอย่างหนานกงลี่ได้ คนอย่างเจ้าไม่คู่ควรที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของข้าเลยสักนิด! ข้ามีข้อเสนอให้เจ้า หากเจ้าร่วมมือกับตระกูลหัน ความแค้นระหว่างเจ้ากับตระกูลข้าจะถือเป็นโมฆะ! แต่ถ้าเจ้าไม่ฉลาดพอ เช่นนั้นแล้วข้าคงมีทางเลือกเดียวคือกำจัดเสี้ยนหนามของตระกูลหันเสียตรงนี้…”
“ตกลง ตั้งแต่นี้ต่อไปข้าจะภักดีกับตระกูลหัน” กู้เจียวโพล่งขึ้นทันทีโดยไม่รอให้อีกฝ่ายพูดจบ
ขณะที่พูดอยู่นั้น กู้เจียวก็รีบปรี่เข้าไปใกล้ๆ เขาแล้วยื่นมือออกไป “ท่านชายใหญ่หัน ยินดีที่ได้ร่วมมือกับท่าน!”
หันเย่ “…!!”
นี่มัน…
หันเย่ถึงกับพูดไม่ออก ความรู้ยากจะอธิบาย!
เขายื่นมือออกไปจับมือกับกู้เจียวด้วยความมึนงง
กู้เจียวยิ้มมุมปากทันที
ทันใดนั้น หันเย่รับรู้ได้ถึงอันตรายในทันที
แต่พอครั้นจะหลบก็ไม่ทันการเสียแล้ว กู้เจียวจับมือของเขาแน่นและดึงร่างของเขาลงจากม้า!
จนเขาล้มลงกับพื้นอย่างไม่เป็นท่า!
กู้เจียวยกเท้าขึ้นและเหยียบลงไปบนหน้าอกของเขาอย่างเต็มแรง!