สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 719-3 แม่ลูกผูกพัน (3)
บทที่ 719 แม่ลูกผูกพัน (3)
“ข้ามีเรื่องสำคัญจะพูด” กู้เฉิงเฟิงตีหน้านิ่ง “ข้าสืบเรื่องที่หมิงจวิ้นอ๋องคนนั้นมาที่หอเทียนเซียงได้แล้วล่ะ”
เซียวเหิงและกู้เจียวเดินเข้ามาในห้อง
ทั้งสองนั่งลงที่ฝั่งตรงข้ามกู้เฉิงเฟิง พลางจับจ้องไปที่เขา เป็นสัญญาณให้เขาเอ่ยต่อ
กู้เฉิงเฟิงเล่าสิ่งที่เขาได้ยินมาอย่างไม่อ้อมค้อม “…ไท่จื่อเป็นคนส่งให้เขามาที่นี่เพื่อรอใครสักคน ว่ากันว่าเป็นยอดฝีมือที่ทรงพลังมาก แต่พวกเจ้าก็เห็นเหมือนกับที่ข้าเห็นนั่นแหละว่าไม่มียอดฝีมือที่ว่าโผล่มาสักคน พวกเขาอาจเข้าใจผิดกันก็เป็นได้”
เรื่องนี้ทั้งกู้เจียวและเซียวเหิงต่างไม่มีหลักประกันใดๆ จึงไม่กล้าด่วนสรุป
“แค่นี้รึ” กู้เจียวถาม
“ก็แค่นี้น่ะสิ” กู้เฉิงเฟิงตอบ
“หญิงที่ถูกพาตัวไปเป็นผู้ใดกันแน่” กู้เจียวเอ่ย
กู้เฉิงเฟิงเอ่ยต่อ “พวกคนของทางแทบไม่มีใครปริปากอะไรออกมาเลยสักคน ก็เลยยังสืบไม่ได้”
กู้เจียวหันไปทางเซียวเหิง
เขาได้แต่นิ่งเงียบ
…
เซียวเหิงกลับเข้าเมืองได้ทันเวลา ส่วนกู้เจียวกับกู้เสี่ยวซุ่นก็เดินทางกลับไปที่ตรอกหยางหลิ่ว
ทั้งจงติ่ง โจวถงและคนอื่นๆ ต่างอยู่ค้างแรมกันที่หอเทียนเซียง โดยที่ไม่รู้ตัวว่ากู้เจียวและกู้เสี่ยวซุ่นไม่อยู่ที่นั่นแล้ว
หลังจากที่เซียวเหิงออกมาจากหอเทียนเซียง เขาก็รู้สึกแปลกๆ ราวกับมีบางอย่างกำลังรั้งเขาไว้
“ท่านชาย ท่านชาย ท่านชายขอรับ!”
สารถีเรียกเขาอยู่สามหน
จนกระทั่งเซียวเหิงได้สติ “อืม มีอะไรรึ”
“ใกล้ถึงสำนักบัณฑิตหลิงโปแล้วขอรับ”
หรืออีกความหมายหนึ่งก็คือ ท่านชายควรเปลี่ยนเสื้อได้แล้ว
เซียวเหิงเปลี่ยนชุดกลับเป็นเครื่องแบบของชังหลัน พร้อมกับสวมผ้าคลุมหน้า จากนั้นเดินเข้าไปรับจิ้งคง
วันนี้เจ้าตัวเล็กก่อเรื่องใหญ่เข้าแล้ว
เขาเอาแต่กุมมือของตัวเองและไม่กล้าเอ่ยอะไรออกมา
ตามปกติแล้วเซียวเหิงจะต้องจับสังเกตท่าทางพิรุธของจิ้งคงได้อย่างรวดเร็ว ทว่าวันนี้สภาพจิตใจของเซียวเหิงไม่เป็นปกติจึงเผลอมองข้ามไป
จิ้งคงกินข้าวมาแล้ว พอกลับไปที่หอหลิงหลง เซียวเหิงก็พาเขาไปอาบน้ำแต่งตัว ซึ่งระหว่างนั้นก็ไม่ได้มีการพูดคุยถามไถ่เกิดขึ้นแต่อย่างใด
ถึงแม้เซียวเหิงเดิมจะไม่ใช่คนพูดเยอะ แต่จิ้งคงก็รับรู้ว่ามีบางอย่างในตัวพี่เขยตัวแสบที่แปลกไปจากเดิม
เขามองพี่เขยนิสัยเสียด้วยความสงสัย “วันนี้สอบได้ที่โหล่อีกแล้วรึ”
ต่อให้เซียวเหิงจะทำคะแนนได้ดีแค่ไหน แต่ภาพจำตอนที่เขาสอบได้ที่โหล่ยังคงตราตรึงอยู่ในหัวของจิ้งคง
“ไม่ใช่ซักหน่อย” เซียวเหิงตอบ
จากนั้นเขาก็หยิบเสื้อผ้าตัวใหม่ให้จิ้งคง “ไปนอนเสีย”
“อือ” นานๆ ทีเจ้าตัวเล็กจะยอมเชื่อฟังเขา จิ้งคงปีนขึ้นเตียง กลิ้งไปมาสักพักแล้วผล็อยหลับไป
ในคืนเดือนมืดที่อากาศร้อนระอุ จั๊กจั่นบนต้นไม้และกบจากสระบัวต่างส่งเสียงร้องระงมไปทั่ว
ทั้งสำนักบัณฑิตเข้าสู่ห้วงการหลับไหล
เซียวเหิงนอนพลิกตัวไปมาบนเตียง
ในหัวของเขานึกย้อนกลับไปถึงการลอบสังหารเมื่อคืนนี้ เสียงร้องของจางเต๋อเฉวียนและ… หญิงที่เขาพบในวันนี้
ภาพคนที่ถือแตงโมพร้อมกับแสดงท่าทางกลัวว่าจะถูกปฏิเสธก็เริ่มชัดเจนขึ้น
และความรู้สึกที่ถูกพันธนการในเบื้องลึกของหัวใจเขายิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
เซียวเหิงยกมือกุมหน้าอก ลมหายใจกระชั้นถี่
ไม่รู้ว่านานแค่ไหนก่อนที่เขาจะหลับลึกท่ามกลางความคิดที่สับสนปนเป
ณ ช่วงกลางดึก
หลังแสงฟ้าแลบ ตามด้วยเสียงกระหึ่มของฟ้าร้อง
เซียวเหิงสะดุ้งตื่นด้วยความหวาดระแวง!
บานหน้าต่างถูกลมแรงพัดจนเปิดออก ผ้าม่านปลิวไสวไปมาท่ามกลางฟ้าแลบและฟ้าร้อง
เขาลุกจากเตียงเพื่อเดินไปปิดหน้าต่าง แต่ดันเผลอทำถ้วยชาบนโต๊ะตกแตกโดยไม่ได้ตั้งใจ
เขาพยายามเลี่ยงบริเวณที่เศษแก้วตกอยู่ ทว่ากลับเผลอเหยียบเข้าไปเต็มเท้า
เลือดจากฝ่าเท้าบางของเขาไหลไปตามพื้นจนไปถึงที่มุมผนังห้อง
…
วันถัดมา เซียวเหิงไปส่งจิ้งคงที่สำนักบัณฑิตหลิงโปตามเดิม ขณะที่เขากำลังจะเดินเข้าประตู ก็ได้ยินเสียงบัณฑิตของหลิงโปสองคนกำลังคุยกันว่า
“เจ้ารู้ข่าวเรื่องอุบัติเหตุขององค์หญิงหรือยัง!”
“เกิดอะไรขึ้นกับนางรึ”
“ก็เมื่อคืนนี้ นางพยายามหนีออกจากวัง ระหว่างทางดันเจอกับฟ้าผ่าจนเกิดล้มกลิ้งตกลงจากเขา อาการสาหัสน่าดู ได้ข่าวว่ากระดูกเอวหักด้วย! ดูไม่น่าจะรอดเลย!”
“เรื่องจริงรึ”
“ก็เรื่องจริงน่ะสิ! เพื่อนบ้านข้าเป็นหมอหลวง เขาถูกเรียกตัวออกไปตอนดึกกะทันหันเพื่อช่วยชีวิตนาง จนป่านนี้ยังไม่กลับมาเลย! มีแต่คนเขาลือกันว่าองค์หญิงทรงบาปหนาเกินจนสวรรค์ต้องลงโทษให้ฟ้าผ่านางน่ะสิ!”
……
เซียวเหิงเริ่มรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง อีกทั้งไม่รู้ตัวว่าเขาออกมาจากตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่
รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่รถม้าหยุดอยู่ที่หน้าหอเทียนเซียงแล้ว
สารถีเอ่ยกับเขาด้วยสีหน้ากังวล “ท่านชาย ถึงหอเทียนเซียงแล้วขอรับ เอ่อ ท่านชาย…เป็นอะไรไปขอรับ”
“ข้าไม่เป็นไร จิ้งคงล่ะ” เซียวเหิงถาม
สารถีทำหน้าตะลึงแล้วตอบ “ท่านชายส่งคุณหนูจิ้งคงที่สำนักบัณฑิตแล้วขอรับ แถมท่านชายยังขอให้อาจารย์หลี่ฝากข้อความถึงอาจารย์เฉิงด้วยว่าให้ช่วยดูแลคุณหนูจิ้งคงไปก่อนถ้าหากท่านชายมารับไม่ทัน”
“เช่นนั้นก็ดี” จากนั้นเซียวเหิงก็ลงจากรถม้า
สารถีได้แต่มึนงงไปหมด
ท่านชายเจอเรื่องอะไรกระทบกระทั่งมารึ จิตใจไม่อยู่กะร่องกะรอยเลย
แต่อย่างน้อยท่านชายก็จัดการกับคุณหนูจิ้งคงได้อย่างไม่บกพร่อง
ปกติเซียวเหิงจะไม่ใส่เครื่องแบบของสำนักบัณฑิตสตรีเข้าไปในหอเทียนเซียงเลย แต่วันนี้เป็นครั้งแรกที่เขาทำแบบนั้น
กู้เจียวเองก็อยู่ด้วย
นางได้ยินข่าวองค์หญิงจากปากของมู่ชวนอีกที
กู้เจียวมาที่หอเทียนเซียงก็เพื่อมาหาเบาะแสจากกู้เฉิงเฟิง
ด้วยพื้นเพของมู่ชวนแล้ว ข่าวคราวที่ออกจากปากเขาไม่น่าจะเป็นเรื่องเท็จ
กู้เฉิงเฟิงปิดประตูห้องสนิท ทั้งสองนั่งลงก่อนจะเริ่มบทสนทนาด้วยน้ำเสียงจริงจัง “มีอยู่สองเรื่อง เรื่องแรกคือ ข่าวที่องค์หญิงบาดเจ็บสาหัสและอยู่ในสภาพปางตายนั้นเป็นเรื่องจริง ถึงขั้นให้คนของตำหนักกั๋วซือต้องออกโรง กั๋วซือเองก็มีรับสั่งให้เข้าวังกลางดึกจนถึงตอนนี้”
“เกิดอะไรขึ้นกับนาง” กู้เจียวถาม
“ได้ข่าวว่าพลาดล้มแล้วกลิ้งตกลงมาจากเขาน่ะ”
“แล้วเรื่องที่สองล่ะ”
กู้เฉิงเฟิงเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนตัดสินใจเล่าต่อ “ผู้หญิงที่ถูกคนของจวนแม่ทัพพาตัวไปเมื่อวานนี้ คือองค์หญิง”
เซียวเหิงกำหมัดในมือแน่น
…
ณ วังหลวง ตำหนักเจาหยาง
ตำหนักเจาหยางที่ถูกทิ้งร้างมานานหลายปีได้สูญเสียความรุ่งโรจน์ในอดีตและกลายเป็นที่รกร้าง
ทว่าตั้งแต่เมื่อคืนกลางดึกเป็นต้นมา ตำหนักนี้มีหมอหลวงสิบกว่านายและหมอยาอีกยี่สิบกว่าคนเข้าออกตำหนักเจาหยางเป็นว่าเล่น พร้อมทั้งทหารองครักษ์มากหน้าคอยลาดตระเวนคุ้มกันอย่างหนาแน่น
ฮ่องเต้ได้แต่มองดูบ่าวรับใช้ที่ถือกะละมังที่เต็มไปด้วยน้ำโลหิตในนั้นออกมาทีละคนด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
จางเต๋อเฉวียนจึงเชิญกั๋วซือให้เข้าเฝ้าฝ่าบาท
หลังจากที่กั๋วซือเข้าไปตรวจพระวรกายขององค์หญิง ก็เดินออกมาด้านอกพร้อมกับส่ายศีรษะ
ฮ่องเต้กริ้วจนเส้นเลือดปูด “นี่นางเล่นละครตบตาอีกแล้วใช่ไหม! คนอย่างนางทำอะไรเป็นอีกนอกจากหลอกคนอื่นไปวันๆ !”
กั๋วซือไม่ได้เอ่ยอะไร
“ไยถึงไม่พูดเล่า” ฮ่องเต้ตรัสถาม
กั๋วซือมองเข้าไปในนัยน์พระเนตรด้วยสายตาคมกริบ “ทูลฝ่าบาท กระหม่อมเกรงว่าจะไม่เป็นไปตามที่ฝ่าบาทปรารถนา องค์หญิงทรงได้รับบาดเจ็บสาหัสจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ”
หากให้เขาเอ่ยด้วยความสัตย์จริง คงต้องบอกว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่นางบาดเจ็บสาหัสหรือไม่ แต่ปัญหาคือโอกาสรอดของนางนั้นบางเบาเหลือเกิน
ฮ่องเต้กำหมัดแน่น “กั๋วซือต้องช่วยนางให้ได้”
“กระหม่อมทำไม่ได้”
“แต่ท่านเป็นถึงกั๋วซือ บุคคลที่มีทักษะทางการแพทย์ที่เชี่ยวชาญที่สุดของแคว้นเยี่ยน!”
กั๋วซือโต้กลับอย่างใจเย็น “กระหม่อมไม่มียาที่เหมาะสม แต่ถึงจะหามาได้ โอกาสรอดก็มีเพียงน้อยนิดขอรับ”
“แล้วยาที่ว่าหาได้จากไหน” ฮ่องเต้ตรัสถาม
“ไม่ใช่จากไหน แต่จากใคร” กั๋วซือเอ่ย “เซียวลิ่วหลัง บัณฑิตของสำนักบัณฑิตเทียนฉงขอรับ”