สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 717 พร้อมหน้า
บทที่ 717 พร้อมหน้า
เซียวเหิงคิดไม่ถึงเลยว่าจะมีใครอีกคนอยู่ที่นี่ ก่อนจะนึกได้ว่าท่าทางของตัวเองสร้างมาดเข้ม เย็นชา เผด็จการมาตลอดเมื่อครู่ ทั้งหมดนั้นคงอยู่ในสายตาของหญิงที่กินแตงโมอยู่ตรงหน้า
ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาแดงก่ำขึ้นมาทันที!
ราวกับว่าเสือกระดาษที่ถูกแทงทะลุ ยุบตัวลงอย่างรวดเร็ว ไม่สามารถอวดเก่งได้อีกต่อไป
โดยทั่วไป ในกรณีเช่นนี้ ทั้งผู้จับได้และผู้ถูกจับได้ต่างก็รู้สึกอับอาย แต่กลับกลายเป็นว่าผู้หญิงไม่รู้สึกอับอาย
กู้เจียว…ก็ไม่ได้รู้สึกอับอายขนาดนั้น
นางยึดมั่นในหลักการที่ “ข้าไม่รู้สึกอับอาย ผู้ที่ต้องรู้สึกอับอายก็คือคนอื่น”
ท้ายที่สุด เซียวเหิงก็รับภาระทั้งหมดไว้เพียงลำพัง
ใบหน้าของเขาแดงเรื่อไปถึงใบหู และแม้แต่ลำคอที่ยาวสลวยก็แผ่วเบาด้วยสีชมพูบางๆ
เซียวเหิงประสบกับเหตุการณ์อับอายครั้งใหญ่ อยากจะลืมเลือนมันไปเสียเดี๋ยวนั้น
อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับความอับอายของเขา ยังมีปัญหาที่สำคัญกว่านั้นที่เขาต้องกังวล
คำพูดที่เขาเพิ่งเอ่ยกับกู้เจียว ไม่ว่าจะเกี่ยวกับการลอบสังหารองครักษ์ผ้าแพรในวังหลวง หรือแม้แต่การลอบฆ่าหนานกงลี่ ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายได้ยินหรือไม่
สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่แค่เรื่องซุบซิบนินทา แต่เป็นภัยคุกคามต่อชีวิต
“ข้าคิดว่าสถานการณ์ของเราที่นี่ไม่สู้ดี” เซียวเหิงเอ่ยกับกู้เจียวด้วยเสียงเบา
“ใช่!” กู้เจียวกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “สวี่เฟิ่งเซียนกำลังจะมาแล้ว!”
เซียวเหิง “…”
เจ้าแน่ในหรือว่าประเด็นคือเรื่องนี้
มีทองสามกระปุก กู้เจียวถือกระปุกหนึ่งด้วยมือซ้าย กระปุกหนึ่งด้วยมือขวา และอีกกระปุกหนึ่งอยู่บนศีรษะของนาง
ขณะที่นางกำลังจะนำของที่ขโมยได้ไปจากที่เกิดเหตุ หยวนเซียวก็ออกมาหานาง
เสียงของเขามาถึงก่อนตัวเสียอีก
“ลิ่วหลัง! ลิ่วหลังอยู่ไหน”
กู้เจียวสาบานว่าตัวเองเดินอย่างมั่นคงแล้วแท้ๆ แต่ทันใดที่นางถูกเรียกชื่อ เท้าของนางก็พลันลื่นไถลหงายหลังลงเสียอย่างนั้น
ทองทำทั้งสามกระปุกกลิ้งหลุดมือ กลิ้งมาหยุดอยู่ตรงเท้าของสวีเฟิ่งเซียนพอดี
สวี่เฟิ่งเซียนหน้าบูดบึ้งมองไปที่กู้เจียว และเอ่ยด้วยเสียงขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ท่านชายเซียว!”
กู้เจียวคิดในใจ ชื่อลิ่วหลังนี่มันซวยจริงๆ
แผนการขโมยทองของกู้เจียวล้มเหลวไม่เป็นท่า
ชีวิตที่ไม่มีทองคำก็ไม่สมบูรณ์ กู้เจียวเดินขึ้นไปยยังชั้นสองอย่างไร้ชีวิตชีวา
สวีเฟิ่งเซียนโกรธจนแทบอยากจะกัดกู้เจียวสักคำ แต่น่าเสียดายที่นางสู้กู้เจียวไม่ได้
กู้เจียวถึงแม้จะสู้สวีเฟิ่งเซียนได้ แต่ก็ไม่อาจปล้นทองคำของนางอย่างโจ่งแจ้งได้ ท้ายที่สุดแล้ว ทั้งสองคนก็ถือได้ว่าเป็นหุ้นส่วนกันแล้ว
เซียวเหิงเองก็ตั้งใจว่าจะขั้นไปชั้นบนเช่นเดียวกัน
เซียวเหิงเคยมาที่โรงละครเทียนเซียง โดยยังคงใช้ชื่อหลงอี เขาเป็นเพื่อนกับกู้เฉิงเฟิง สวีเฟิ่งเซียนจึงปฏิบัติต่อเขาด้วยความสุภาพอยู่บ้าง
ไม่ว่าเซียวเหิงจะไปไหน สวีเฟิ่งเซียนก็ไม่ขัดขวาง
แต่หญิงสาวที่ถือแตงโมกลับเดินตามเซียวเหิงไปอย่างเงียบๆ
“หยุดนะ!” สวีเฟิ่งเซียนตะโกนเสียงดัง
ท่านชายสองคนนั้นนางมิอาจล่วงเกินอยู่แล้ว แต่หญิงที่เก็บมาจากริมทางจะยังไม่เชื่อฟังนางอีกคนหรือ
นางถลกแขนเสื้อขึ้น ก่อนจะเอ่ยน้ำเสียงเดือดดาล “ตื่นแล้วรึ ตื่นแล้วก็ไปทำงานให้ข้า!”
หญิงผู้นั้นถือแตงโมหลบเข้าอยู่หลังเซียวเหิง
เซียวเหิงขมวดคิ้วมองนางแวบหนึ่ง นึกถึงคำที่ตนพูดไปเมื่อครู่ ไม่รู้ว่านางได้ยินหรือไม่ เขาจึงตัดสินใจพานางไปก่อน หลังจากอธิบายแล้วค่อยปล่อยนางไป
“ให้นางไปกับข้า” เซียวเหิงเอ่ยกับสวีเฟิ่งเซียน
หญิงสาวกัดช้อน หยุดกินแตงโม มองเซียวเหิงแวบหนึ่ง ดวงตาของนางฉายประกายระยิบระยับ
สวีเฟิ่งเซียนกอดอก มือหนึ่งถือผ้าเช็ดหน้าชี้ไปทางเซียวเหิงและกู้เจียวที่ขึ้นบันไดไปแล้ว “พวกท่านทั้งสองชักจะเกินไปแล้วนะ! ขโมยทองคำก็แล้ว หนำซ้ำยังจะลักพาตัวคนของข้าไปอีก!”
เซียวเหิงเอ่ยเสียงเรียบ “นางไม่ใช่คนของโรงละครเทียนเซียง”
ไม่มีใครในโรงละครเทียนเซียงแต่งตัวแบบนี้
สวีเฟิ่งเซียนอึกอัก “นั่น…นั่นเป็น…”
เซียวเหิงเอ่ยอย่างใจเย็น “วันนี้โรงละครเทียนเซียงมีแขกผู้มีเกียรติมามากมาย ได้ยินว่ามีคนจากจวนไท่จื่อมาด้วย ไท่จื่อเป็นคนรักความยุติธณรม ถ้าเขารู้ว่าเจ้าบังคับให้สาวบริสุทธิ์เป็นโสเภณี โรงละครเทียนเซียงของเจ้ายังจะได้เปิดอยู่ไหม”
เมื่อเขาเอ่ยจบ หญิงผู้นั้นก็เชิดคางขึ้นอย่างเห็นด้วย “ฮึ!”
สวีเฟิ่งเซียน “…”
หญิงผู้นั้นถูกเซียวเหิงพาขึ้นไปบนห้อง
สวีเฟิ่งเซียนเดือดจัด
ทองคำยังรักษาเองไว้ได้ แต่สาวงามเพิ่งได้มากำลังจะหลุดมือไป
ความงามของหญิงนั้น แม้จะอยู่ในอาการหมดสติก็งามราวกับนางฟ้า ยามตื่นก็ยิ่งงดงามยิ่งกว่าเทพธิดา
“เสียดายชะมัด! เสียดายชะมัด!”
…
กู้เจียวเห็นเซียวเหิงพาหญิงผู้นั้นมาก็ไม่แปลกใจ เพราะนางได้ยินความลับเมื่อครู่นี้ไป ย่อมต้องแน่ใจว่านางจะไม่เปิดเผยข่าวนี้ก่อนจึงจะปล่อยนางไป
หญิงผู้นั้นเข้ามาในห้องโดยไม่แสดงอาการวิตกกังวลหรืออึดอัดใจใดๆ ละครภายในโถงใหญ่เริ่มขึ้นแล้ว
ตำแหน่งห้องโถงของกู้เฉิงเฟิงนั้นพิเศษ มีระเบียงขนาดเล็กพอประมาณ ยามนั่งบนระเบียงสามารถมองเห็นเวทีละครทั้งหมดได้ มุมมองนั้นดีทีเดียว
หญิงผู้นั้นอุ้มแตงโมเดินไปที่ม้านั่งบนระเบียงแล้วนั่งลง
กู้เจียวพบว่าแตงโมในมือของนางไม่ใช่ครึ่งหนึ่งที่นางถืออยู่ก่อนหน้านี้ แต่เป็นครึ่งที่ใหม่เอี่ยม สีแดงสดราวกับจะเห็นน้ำแข็งเกาะ ดูเหมือนจะหวานและอร่อยเป็นพิเศษ
กู้เจียวมองเซียวเหิง นางเอาแตงโมอีกครึ่งหนึ่งมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
เซียวเหิงแสดงท่าทีบอกว่าเขาเองก็ไม่รู้
เขาเดินนำหน้า นางเดินตามหลัง
ไม่เห็นนางหายไปเลย
แต่ว่า…
เมื่อครู่มีสองสาวใช้ถือถาดใหญ่คลุมด้วยผ้าเดินสวนพวกเขาไป
คงจะเป็นตอนนั้นที่นางแอบเอามาสินะ
และนางก็ไม่ได้แค่เอามาเท่านั้น แต่นางยังเอาแตงโมครึ่งลูกที่นางกินแล้วใส่แทนที่ใต้ผ้าคลุมด้วย
ไม่รู้ว่าคนโชคร้ายคนไหนจะได้กินเปลือกแตงโมครึ่งลูกนั้น
คนโชคร้านผู้นั้นคือหมิงจวิ้นอ๋อง…
…
นางนั่งอยู่บนระเบียง เคี้ยวแตงโมอย่างเอร็ดอร่อย
นางหันหลังให้กับเซียวเหิงและกู้เจียว ทำให้ทั้งสองคนมองไม่เห็นสีหน้าของนาง
แต่นางเองไม่ได้ทำอะไรเลย มุ่งมั่นกับกินแตงโมอย่างตั้งอกตั้งใจ ท่าทางของนางทำให้พวกเขารู้สึกวางใจอย่างไม่มีเหตุผล รู้สึกว่านางจะไม่แพร่งพรายสิ่งที่นางได้ยินเมื่อครู่ออกไป
“บางทีนางอาจไม่ได้ยินก็ได้” เซียวเหิงนั่งอยู่ที่โต๊ะแปดเซียนเอ่ยกับกู้เจียว
กู้เจียวนั่งอยู่ข้างเซียวเหิง นางเอามือหนึ่งเท้าคาง มองดูแผ่นหลังของนางอย่างครุ่นคิด
คนปกติที่ได้ยินความลับใหญ่ขนาดนี้ คงไม่สงบสติอารมณ์ขนาดนี้หรอก อย่างน้อยก็ต้องกังวลบ้างว่าตัวเองจะถูกฆ่าปิดปาก
ไม่ใช่ว่าทุกคนจะรู้ว่าหนานกงลี่เป็นคนเลว ชาวเมืองเซิ่งตูคิดว่าหนานกงลี่เป็นคนดี ดังนั้นพวกเขาที่ฆ่าคนดีจึงกลายเป็นคนชั่วไปโดยปริยาย
คนชั่วมักจะฆ่าปิดปากเป็นกิจวัตร
นางกล้าติดตามมาด้วย แสดงว่าในใจนางไม่ได้รู้สึกกลัวเลย
นางไม่ได้คิดว่าพวกเขาเป็นคนชั่ว
กู้เจียวเอ่ย “ก็เป็นไปได้”
นางฟังไม่ได้ยินหรือไม่นั้นไม่สำคัญแล้ว สิ่งที่สำคัญคือกู้เจียวรู้สึกว่านางจะไม่เปิดเผยเรื่องนี้ออกไป
มันเป็นลางสังหรณ์
บนเวที เสียงดนตรีและเสียงขับร้องดังขึ้น เสียงพูดคุยของผู้คนทั้งโรงละครเทียนเซียงก็ถูกกลบจดมิด
กู้เจียวและเซียวเหิงอยู่ห่างจากระเบียงพอสมควร และด้วยเสียงขับร้องของละคร นางจึงไม่สามารถได้ยินพวกเขาคุยกัน
เซียวเหิงถอดหน้ากากออกและถามถึงสถานการณ์ที่กู้เจียวหายตัวไปหลายวัน กู้เฉิงเฟิงบอกว่านางสบายดี แต่เขาไม่เชื่อ
นางเป็นคนที่ยอมฝ่าพายุหิมะข้ามภูเขากลับบ้าน หากไม่เกิดเรื่องอันใดขึ้นก็นาง ไม่มีนางที่จะร่อนเร่อยู่ข้างนอกถึงเจ็ดวัน
“ไม่เป็นไรแล้ว” กู้เจียวเอ่ย
“บาดเจ็บตรงไหน ขอข้าดูหน่อย” เซียวเหิงเอ่ย
กู้เจียวให้ดูรอยแผลที่มือของนางซึ่งหายดีแล้ว
เซียวเหิงรู้ว่าบาดแผลบนตัวนางนั้นไม่ได้มีเพียงเท่านี้ เขาจับมือนางไว้ในมือของเขาและถามด้วยเสียงแผ่วเบา “เหตุใดเจ้าถึงต้องไปตามล่าคนจากจวนไท่จื่อ”
“ข้ามีคำถามอยู่ในใจ ข้าอยากจะถามองค์หญิงให้กระจ่าง” ดังนั้นข้าจึงไม่สามารถปล่อยให้องค์หญิงถูกพวกเขาฆ่าได้ นางเอ่ย “แต่ข้าก็ยังไม่พบองค์หญิง”
เซียวเหิงไม่จำเป็นต้องถามก็เดาได้แล้วว่าคำถามนั้นเกี่ยวข้องกับเขา
เขารู้สึกไม่ดีลึกในใจ “อย่าทำเรื่องอันตรายแบบนี้อีก”
กู้เจียวจ้องมองเขา “เจ้าเองก็มีคำถามนั้นอยู่ในใจไม่ใช่หรือ”
ทั้งสองคนไม่ได้เอ่ยเจาะจงว่าคำถามนั้นคืออะไร
เซียวเหิงเงียบไปครู่หนึ่ง พยักหน้าเล็กน้อย “ใช่ ข้ามาที่นี่ในวันนี้ ก็เพื่อที่จะไปหาคำตอบนั้น”
ทั้งสองคนกำลังคุยกัน ไม่ได้สังเกตว่าหญิงสาวที่กำลังขุดแตงโมหยุดการกินลงแล้ว
ทันใดนั้น ทหารองครักษ์กลุ่มหนึ่งบุกเข้ามาด้านล่าง และสั่งให้การแสดงบนเวทีหยุดลง
เซียวเหิงเดินไปที่ระเบียง มองลงไปด้านล่าง และขมวดคิ้วเอ่ย “เป็นทหารจากศาลาว่าการ”
ว่าจบเขาหันหลังไปหยิบหน้ากากบนโต๊ะ
หญิงสาวยื่นมือออกไป ดูเหมือนว่านางอยากจะคว้าชายเสื้อของเขา
แต่สุดท้ายนางกลับไม่ได้ออกแรง ผ้าเนื้อบางเบาเย็นเฉียบนั้นไล้ผ่านปลายนิ้วของนาง
เซียวเหิงสวมหน้ากากกลับบนใบหน้าของเขา “แปลกนัก เหตุใดทหารจากศาลาว่าการถึงมาที่นี่”
กู้เจียวมองไปรอบๆ แล้วเอ่ย “ดูท่าพวกเขากำลังตามหาคนอยู่ เมืองเซิ่งตูมีใครสำคัญหายไปบ้างไหม”
การที่ศาลาว่าการส่งคนมาตามหาด้วยตัวเอง แสดงว่าไม่ใช่คนธรรมดา
กู้เจียวเอ่ย “ข้าลงไปดูสักหน่อย เจ้าอยู่ที่นี่รอข้า”
ตัวตนของนางค่อนข้างชัดเจน ในขณะที่เซียวเหิงเป็น “หลงอี” หรือคนนอกระบบ ไม่ควรเผชิญหน้ากับทางการโดยตรง
กู้เจียวลงไปที่ชั้นล่าง
เซียวเหิงเดินไปที่ระเบียงอีกครั้ง ปล่อยม่านลง มองผ่านช่องว่างของม่านเพื่อดูความเคลื่อนไหวในห้องโถง
ข้างๆ เขา หญิงผู้นั้นยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ แต่ท่าทางของนางเปลี่ยนไปเล็กน้อย
ดูเหมือนว่า…จะไม่พอใจนัก
เซียวเหิงมองนางแวบหนึ่งก่อนจะละสายตาไปมองกู้เจียวและเหล่าคนของทางการ
ทันใดนั้น เขารู้สึกเหมือนมีใครดึงแขนเสื้อของเขา
เขาก้มหน้ามองนางแล้วถาม “มีอะไรหรือ”
หญิงผู้นั้นยกแตงโมที่คว้านเป็นลูกกลมแล้วยื่นให้เขา
จนกระทั่งตอนนั้นเองที่เขาสังเกตเห็นว่าผู้หญิงนั้นนั่งอยู่บนระเบียงนานครึ่งชั่วยามแล้ว แต่ก็ไม่ได้กินแม้แต่คำเดียว
นางใช้ช้อนทองขนาดเล็กอันใหม่ซึ่งน่าจะเพิ่งเอามาจากไหนสักแห่ง
ลูกแตงโมกลมๆ ของนางแต่ละลูกกลมกลึงและสวยงามนัก
“ให้ข้าหรือ” เขาถาม
หญิงสาวพยักหน้า ดวงตาของนางไร้เดียงสาและหนักแน่น แต่ก็ฉายแววลังเลเล็กน้อยราวกับเด็กที่กลัวจะถูกปฏิเสธ
ในใจของเซียวเหิงสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย
ราวกับว่าหัวใจของเขาถูกอะไรบางอย่างกระชากอย่างแรง