สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด - ตอนที่ 88 นิสัย
ไม่มีคนแล้วใช่ไหม อย่างน้อยก็ไม่มีคนอื่น…หรือปีศาจที่เกี่ยวข้อง
ภายในกองท่อระบายน้ำขนาดใหญ่ นกหวีดค่อยๆ คลานออกมา ตอนนี้ดวงตาของนกหวีดหมุนวนเคลื่อนไหวเหมือนกิ้งก่า สังเกตสถานการณ์รอบด้าน
ทันใดนั้นมันก็หันหัวไป รู้สึกว่าทิศทางนั้นมีอะไรบางอย่าง…บางอย่างที่ทำให้มันรู้สึกถึงอันตราย แต่มันกลับมองไม่เห็นของสิ่งนั้น
เห็นได้ชัดว่าอยู่ที่นั่น แต่ทำไมถึงมองไม่เห็น?
มันรู้สึกกระวนกระวาย จึงอ้าปากที่มีฟันหนาแน่นและส่งเสียงร้องแหลมออกมา…ก่อนพ่นลิ้นยืดหยุ่นของมันออกมาด้วย
เหมือนกับงูที่กำลังโชว์ความน่ากลัวของตัวเอง
ถึงแม้ตอนนี้นกหวีดจะดูดุร้ายแค่ไหน แต่ลั่วชิวที่อยู่ที่นี่นานแล้วก็ไม่รู้สึกอะไรเลย…ความอันตรายชนิดนี้ทำอะไรเขาไม่ได้
เดิมทีเจ้าของสมาคมลั่วก็ไม่คิดจะทำอะไรกับนกหวีดอยู่แล้ว…ลูกค้าทุกๆ คนล้วนแต่มีชีวิตเป็นของตัวเอง เพราะมีบางเรื่องที่จำเป็นต้องบ่มเพาะ
เขารู้สึกเหมือนว่าตัวเองเป็นเจ้าของสมาคมผู้รอชิมเหล้าที่จะถูกผลิตออกมา ดังนั้นการอดทนรอก็มักจะให้ผลออกมาดีมาก แต่ไม่ได้แสดงว่าการรอคอยจะเป็นเรื่องง่าย
พูดง่ายๆ ก็เพียงเพื่อฆ่าเวลาเท่านั้น
สิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่นั้นเป็นวัตถุดิบชั้นดีในการใช้ฆ่าเวลา…ถ้าหากสิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่นี้กำลังเริ่มสร้างความนึกคิดขึ้นมาใหม่แล้วด้วย เช่นนั้นนี่ก็เป็นกำไรที่คาดไม่ถึง
“อย่ากังวลไปเลย” ลั่วชิวค่อยๆ พูดขึ้นมา
แต่เขาไม่ได้คิดจะปรากฏตัวต่อหน้านกหวีด แม้แต่ทูตภูตดำยังมช้โทรจิตคุยกับลูกค้าได้ แล้วเขาที่เป็นเจ้านายของทูตภูตดำจะทำไม่ได้ได้อย่างไร
“ผมไม่ได้คิดจะทำอะไรคุณ ผมเพียงแค่…” ลั่วชิวพิจารณาคำพูดที่จะพูดให้เหมาะสม ในที่สุดก็พูดว่า “แค่รู้สึกเบื่อ บางทีคุณอาจจะเป็นเพื่อนพูดกับผมได้ทั้งวัน”
นี่เป็นคำพูดเดียวกับที่ชีสเคยพูด แต่มีอยู่หลายครั้งที่นกหวีดไม่เข้าใจคำพูดของชีสนัก มันเพียงเข้าใจคร่าวๆ เท่านั้น
แต่เวลานี้มันเข้าใจได้ชัดเจนถึงความหมายในคำพูดนี้…มันเริ่มรู้สึกถึงบางอย่าง จึงเก็บความดุร้ายของตัวเองกลับ ส่งเสียงร้องเบาๆ
นายทำให้ฉันเข้าใจได้? นายเป็นใคร? นายมาทำอะไร? ถึงนายจะพูดว่าไม่ทำอะไรฉัน แต่ฉันรู้สึกว่านายอันตรายมาก ทำไมฉันถึงมองไม่เห็นนาย…
เสียงร้องเบาๆ นี้บรรจุข้อมูลเอาไว้จำนวนมาก
“คุณคิดว่าเป็นการสื่อสารกันทางความคิดก็พอแล้ว” ลั่วชิวเอ่ย “อีกอย่างคุณฉลาดกว่าที่ผมคิดเอาไว้มาก อย่างครั้งก่อนตอนที่ผมพบคุณ คุณน่าจะยังไม่สามารถแสดงความคิดของตัวเองได้ชัดเจนแบบนี้”
“นายเคยเจอฉันงั้นเหรอ? เมื่อไหร่กัน ทำไมฉันถึงไม่เคยเห็นนาย?”
“เป็นเพียงเรื่องบังเอิญเท่านั้น ครั้งก่อนตอนอยู่ในห้างสรรพสินค้า…แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ หรือเปล่า” ลั่วชิวพูด “เพราะช่วงนี้ผมก็ไม่แน่ใจเรื่องหนึ่ง นั่นก็คือคำว่าบังเอิญนั้นใช้ได้กับผมไหม”
นกหวีดพูดว่า “ฉันไม่เข้าใจ”
“ผมก็ไม่เข้าใจ” ลั่วชิวพูดอย่างเรียบเฉย “เพราะงั้นปล่อยเรื่องที่ทุกคนไม่เข้าใจทิ้งไปจะดีกว่า…ผมสนใจเรื่องของคุณมากกว่า ช่วยบอกผมได้ไหมว่าทำไมคุณถึงชอบอยู่ข้างกายชีส?”
“ฉันไม่รู้” นกหวีดส่ายหน้า
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะพบเจอเสียงที่สื่อสารได้หรือไม่…นกหวีดถึงพูดออกมา “ฉันอยากกินเขา อยากกินเขามาก แต่ทุกครั้งที่ฉันจะอ้าปากก็มีบางอย่างมาขวางฉันไว้”
ลั่วชิวพยักหน้า
ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่านกหวีดนั้นดี แน่นอนว่าไม่ใช่กลไกของมัน แต่เป็นความซื่อตรงของมันต่างหาก
น่าจะเป็นเพราะมันยังไม่ได้เรียนรู้ว่าอะไรคือการแอบซ่อน
ลั่วชิวรู้สึกว่าการพูดคุยเช่นนี้เริ่มน่าสนใจขึ้นมา “งั้นคุณรู้สึกว่ามันดีหรือไม่ดีล่ะ?”
“ไม่ดี” นกหวีดพูดตามตรง
“ทำไมครับ” คำพูดของเจ้าของสมาคมชักจูงให้นกหวีดครุ่นคิด
นกหวีดนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง น่าจะกำลังครุ่นคิด แต่ก็ได้ผลลัพธ์อย่างรวดเร็ว “ไม่สบาย…ฉันไม่รู้ว่าจะพูดยังไง แต่ว่ารู้สึกไม่สบาย”
“เจ็บปวดทรมานไหมครับ” ลั่วชิวเอ่ยถาม
“เจ็บปวดทรมานคืออะไร” นกหวีดย้อนถาม
ทันใดนั้นเจ้าของสมาคมลั่วก็ดีดนิ้ว แล้วผิวหนังแข็งแกร่งไร้เทียมทานของนกหวีดก็ปริแตกออก ก่อนเกิดเป็นปากแผลขึ้นแผลหนึ่งจนเลือดสีเขียวจางๆ ไหลออกมา
สิ่งนี้ทำให้นกหวีดส่งเสียงร้องเจ็บปวดออกมา…แต่รอยแผลนี้ก็สมานอย่างรวดเร็ว
ลั่วชิวเอ่ยว่า “นี่ก็คือความเจ็บปวดทรมานที่ชัดที่สุด แน่นอนว่าความเจ็บปวดทรมานไม่ได้ปรากฏบนร่างกายเสมอไป มีบางครั้งจะปรากฏอยู่ในจิตใจ แบ่งเป็นความเจ็บปวดทรมานภายนอกกับภายใน สำหรับมนุษย์แล้ว ความเจ็บปวดภายนอกนั้นเทียบไม่ได้กับความเจ็บปวดภายใน ความเจ็บปวดภายในมักจะทำให้มนุษย์โศกเศร้า”
นกหวีดรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาอีกครั้ง หดร่างกายของตัวเองลง…มันรู้สึกกลัวสิ่งที่ตนมองไม่เห็น แต่สามารถทำให้ตัวเองบาดเจ็บและฟื้นฟูกลับอย่างฉับพลันได้
แต่มันก็สงสัยขึ้นอีก “โศกเศร้าคืออะไร?”
“ผมไม่คิดจะทำให้คุณรู้สึกเศร้า” ลั่วชิวเอ่ยว่า “ให้คุณไปค้นหาด้วยตัวคุณเองจะดีกว่า”
“ฉันยังไม่เข้าใจ” นกหวีดส่ายหน้า ท่าทางดูตลกมาก
แต่เป็นครั้งแรกที่มันส่ายหน้า มันเรียนรู้ที่จะส่ายหน้าได้แล้ว การเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้ดูน่าเหลือเชื่อ…เพราะมันยังไม่เห็นคนที่กำลังพูด
“ผมเองก็มีเรื่องมากมายที่ยังไม่เข้าใจ” ทันใดนั้นลั่วชิวก็เอ่ยขึ้น “ไม่มีใครสามารถเข้าใจทุกอย่างได้ จะเข้าใจก็เพราะเคยมีประสบการณ์มาเท่านั้น แต่ถึงจะมีประสบการณ์ก็ไม่ได้แปลว่าจะเข้าใจเสมอไป…มีบางครั้งพวกเราก็เพียงแค่รู้เท่านั้น”
“ยังไม่เข้าใจ” นกหวีดส่ายหน้าอีกครั้ง “นายทำให้ฉันรู้ได้เลยเหมือนที่นายทำเมื่อกี้”
“ไม่เป็นไร เพราะคุณเรียนรู้ได้เร็ว” ลั่วชิวเอ่ยอย่างเรียบเฉย “อีกอย่างผมไม่ได้คิดจะช่วยคุณอีก”
“ทำยังไงถึงจะช่วยฉันได้?” ทันใดนั้นนกหวีดก็ซักไซ้ถามขึ้นมา
ลั่วชิวไม่ตอบเพียงแต่เอ่ยถามว่า “คุณยังคิดจะกินชีสอยู่ ใช่ไหม?”
นกหวีดนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ สุดท้ายก็กะพริบตา “ร่างกายของฉันต้องการเขา ดังนั้นจะกินถึงแม้ว่าจะเจ็บปวดทรมานก็ตาม”
“เป็นคำตอบที่ซื่อตรงจริงๆ” ลั่วชิวพยักหน้า “วันนี้พอแค่นี้แล้วกัน…และเพื่อขอบคุณที่คุณทำให้เวลาช่วงหนึ่งของผมน่าสนใจขึ้น ผมจะบอกคุณว่าท่าทางที่คุณนิ่งเงียบเมื่อครู่นี้เรียกว่าอะไร”
“เรียกว่าอะไร?”
“ลังเล” เจ้าของสมาคมลั่วเอ่ยเบาๆ “สิ่งมีชีวิตที่มีความคิดมักจะลังเลก่อนตัดสินใจทำอะไรที่เจ็บปวดทรมาน”
“ลังเล…” นกหวีดนิ่งเงียบอยู่พักใหญ่ถึงส่งเสียงเรียกเบาๆ ออกมา
แต่หลังจากเสียงเรียกนี้แล้ว มันก็ไม่ได้ยินเสียงที่พูดคุยกับมันอีก…ดูเหมือนว่าได้จากไปแล้ว มันเริ่มกะพริบตา พริบตาเดียวนัยน์ตาก็ฉายแววครุ่นคิดเพิ่มเข้ามา
นกหวีดย้อนกลับไปยังท่อระบายน้ำซึ่งเป็นที่อยู่อีกครั้ง มันรู้สึกว่าตัวเองยังไม่หิวมาก ยังสามารถอดทนรอได้
…
…
ได้ยินมาว่าพ่อของเสี่ยวเจียงมีงานใช้ได้อยู่ในโลกมนุษย์ เป็นอาจารย์สอนเด็กมัธยม ส่วนแม่ของเขานั้นเป็นแม่บ้านเต็มตัว
แน่นอน แม้ว่าแม่ของเสี่ยวเจียงจะไม่ได้ทำงาน แต่รายได้ของพ่อเสี่ยวเจียงเพียงคนเดียวก็เพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายภายในบ้าน อีกทั้งที่อยู่ก็ยังไม่เลวอีกด้วย
จุยเฟิงรู้จักที่อยู่ของเสี่ยวเจียง แต่เขาไม่ค่อยมา เมื่อก่อนเพียงแค่ผ่านเขายังต้องรีบผ่านไปอย่างเร่งรีบ…เพราะเขารู้ว่าแม่ของเสี่ยวเจียงไม่อยากเห็นหน้าเขา
ตอนนี้เขากำลังนั่งยองๆ อยู่บนกิ่งก้านของต้นไทร และมองลอดผ่านช่องว่างใบไม้พิจารณาดูสถานการณ์ภายในอะพาร์ตเมนต์ เสี่ยวเจียงเพิ่งกลับมาถึงบ้าน
ดวงตาของจุยเฟิงเต็มไปด้วยความหมองมัว
ภายในอะพาร์ตเมนต์ เสี่ยวเจียงกำลังหดไหล่ก้มหน้า เขาที่เดิมทีตัวเล็กอยู่แล้วยิ่งดูเล็กลงไปอีก
เหตุผลที่เขาก้มหน้านั้นเป็นเพราะผู้หญิงอวบอ้วนตรงหน้าของเขา แม่ของเขานั่นเอง
เสี่ยวเจียงกลัวแม่มากกว่าพ่อมาตั้งแต่เด็ก…เพราะพ่อไม่ค่อยอยู่บ้าน
“ทำไมถึงกลับมาค่ำขนาดนี้? ลูกไปเล่นมาอีกแล้วใช่ไหม?”
“เปล่าครับ…”
แม่ของเสี่ยวเจียงขมวดคิ้วขึ้น ทันใดนั้นก็เข้าไปใกล้ๆ ตัวของเสี่ยวเจียงและสูดดมกลิ่น “บนตัวของลูกมีกลิ่นหนูและกลิ่นแมว? ลูกไปเล่นกับชีสอีกแล้วใช่ไหม? แม่บอกลูกไปกี่ครั้งแล้วว่าอย่าไปเล่นกับพวกอยู่ในท่อระบายน้ำทั้งวัน? นั่นเป็นชนชั้นต่ำสุดของปีศาจ ไม่มีประโยชน์อะไรกับลูก! ถ้าลูกมีเวลาก็ไปโผล่หน้าให้ใต้เท้าหลงเห็นบ่อยๆ รอลูกโตแล้วก็จะได้ดูแลลูก!”
“แม่ ชีสไม่ได้ไม่มีประโยชน์นะ…” เสี่ยวเจียงก้มหน้าเอ่ย
“ยังมีประโยชน์อะไร? เป็นแค่ปีศาจหนูชั้นต่ำเท่านั้น” แม่เสี่ยวเจียงเหยียดหยาม “ในโลกมนุษย์ใครเห็นหนูก็ตีทั้งนั้น ในโลกปีศาจหนูก็อ่อนแอที่สุด อีกทั้งยังหลบอยู่ในท่อระบายน้ำทั้งวันอีก คิดแล้วก็น่ารังเกียจ! ฉันได้ยินมาว่า ก่อนหน้านี้พ่อของบ้านสกุลซูตายแล้ว ลูกไปใกล้ชิดก็ไม่รู้ว่าจะมีกลิ่นอายอัปมงคลติดตัวมาบ้านเราด้วยหรือเปล่า! แม่ไม่สนใจแล้ว ถึงยังไงต่อไปก็ห้ามลูกไปเล่นกับพวกแบบนั้นอีก! ไม่งั้นก็ไม่ต้องเข้าบ้าน!”
“แม่ ทำแบบนั้นได้ยังไง?” เสี่ยวเจียงเงยหน้าขึ้น
แม่เสี่ยวเจียงถลึงตาใส่ด้วยความโมโห “คำพูดของแม่ ลูกไม่ได้ยินอย่างนั้นเหรอ”
“ได้…ได้ยินแล้วครับ” เสี่ยวเจียงไม่กล้าพูดต่ออีก
จากนั้นแม่เสี่ยวเจียงถึงได้นั่งลง “ที่แม่เข้มงวดขนาดนี้ก็ทำเพื่อลูก! เรื่องอื่นไม่พูดแล้ว พูดถึงคนที่เมื่อก่อนลูกคบด้วย ชื่ออะไรนะ…จุยเฟิง! ใช่แล้ว จุยเฟิง! ลูกดูสิ ตั้งแต่ลูกไปคบกับเขา คะแนนของลูกก็ตกลงตั้งเยอะ? แม่ถามลูกสิว่าช่วงนี้ลูกยังคบกับเจ้านั่นอยู่ไหม?”
“ไม่แล้ว” เสี่ยวเจียงส่ายหน้า “ต่อไปผมก็จะไม่เล่นกับเขาแล้ว”
เป็นครั้งแรกที่แม่ของเสี่ยวเจียงเห็นเขายอมเชื่อฟังแบบนี้ ชั่วขณะนั้นจึงรู้สึกดีใจขึ้นมาและพูดว่า “ถูกต้องแล้ว! ลูกแม่ ลูกตัดสินใจแบบนี้ถูกแล้ว! ลูกก็รู้ใช่ไหม? ว่าจุยเฟิงคนนั้นมีที่มาไม่ชัดเจน ดูโชกโชน ไม่มีพ่อแม่คอยสั่งสอน นิสัยดื้อดึง นิสัยแบบนี้ไม่ช้าก็เร็วต้องก่อเรื่องแน่และจะพลอยซวยมาถึงลูก!”
“แม่ครับ ผมไม่อยากพูดถึงเรื่องจุยเฟิงอีก” เสี่ยวเจียงส่ายหน้า “ผมรู้สึกเหนื่อย ขอกลับไปพักที่ห้องก่อนได้ไหมครับ?”
“ไปเถอะ…รอเดี๋ยว เอาการบ้านทั้งหมดของลูกออกมาให้แม่ดูด้วย”
เสี่ยวเจียงหมดทางเลือก ทำได้เพียงเปิดกระเป๋า การบ้านวิชาต่างๆ ถูกล้วงออกมา ทันใดนั้นเขาก็พบว่ามีการบ้านวิชาหนึ่งหายไป!
“อาจจะหล่นอยู่ที่โรงเรียน ผมจะรีบกลับไปเอา” เสี่ยวเจียงมองเห็นท่าทีหมดความอดทนของแม่ตัวเองแล้วก็รีบพูดออกมา จากนั้นก็เปิดประตูจากไปอย่างรวดเร็ว
…
เสี่ยวเจียงหงุดหงิดอยู่บนถนนเตะกระป๋องโซดาอันหนึ่ง…แต่เตะไม่เข้าถังขยะ
เขาขมวดคิ้วและอารมณ์เสียยิ่งขึ้น
“โรงเรียนก็ไม่มี…หล่นอยู่ที่ไหนกันนะ?” เสี่ยวเจียงอดขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ได้
เขาจำได้ว่าหลังเลิกเรียนทำการบ้านเสร็จครึ่งหนึ่งก็รีบไปรอชีสที่นั่น แต่เป็นเพราะชีสต้องดูแลน้องๆ เลยต้องรออยู่นาน…
“คงจะไม่ตกอยู่ที่นั่นใช่ไหม?”
เสี่ยวเจียงถอนหายใจ รู้สึกว่าหลายวันมานี้มีแต่เรื่องไม่ได้ดั่งใจ คิดว่าถ้าหากไม่มีเรื่องของจุยเฟิงก็คงไม่เป็นแบบนี้?
เขารีบมุ่งหน้าไปยังพื้นที่ว่างเปล่าแห่งนั้น
“ชีส! ชีส นายอยู่ไหม? ชีส? ฉันทำการบ้านตกอยู่ที่นี่ไหม? ชีส…ไม่อยู่เหรอ?”
เสี่ยวเจียงเดินเข้าไปเอง เพราะถึงอย่างไรเขาก็มาที่นี่หลายครั้งแล้ว “ตกอยู่ที่นี่จริงๆ ด้วย”
เสี่ยวเจียงเก็บการบ้านของตัวเองได้ข้างใน เขาส่ายหน้าอย่างหมดหนทาง ถอนหายใจกับความสะเพร่าของตัวเอง…แต่ในตอนนี้เองเขาก็รู้สึกว่ามีเสียงอะไรดังมาจากข้างหลัง
สิ่งนี้ทำให้เขารีบหันกลับไป ชั่วขณะนั้นตรงหน้าของเขาก็มีเงาร่างสีดำขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นทำให้เขาตกใจในทันที!
ตอนนี้มีหัวขนาดใหญ่กว่าตัวเขายื่นเข้ามาใกล้ เสี่ยวเจียงจ้องดูถึงได้ถอนหายใจโล่งอก “อะไรกัน ที่แท้ก็เป็นนกหวีดเองเหรอ ทำฉันตกใจหมดเลย”
เสี่ยวเจียงส่ายๆ หัว ลอบพูดว่าตัวเองช่างขี้ขลาด
แต่เพราะชีส เสี่ยวเจียงจึงได้สัมผัสกับนกหวีดมาก่อน ทั้งยังเคยยื่นมือลูบมัน ดังนั้นตอนนี้จึงไม่รู้สึกกลัว “นกหวีด นายรู้ว่าชีสไปไหนไหม…ใช่แล้ว ฉันลืมว่านายพูดไม่ได้”
นกหวีดเพียงแค่กะพริบตาปริบๆ
ทันใดนั้นเสี่ยวเจียงก็พูดอย่างฉับพลันว่า “นกหวีด นายอยากออกมาไหม? ก่อนชีสกลับมาฉันจะเล่นเป็นเพื่อนนายก่อน”
นกหวีดเอียงคอดูเหมือนกำลังพิจารณาข้อเสนอนี้
แต่เสี่ยวเจียงคลานออกจากท่อระบายน้ำไปแล้ว อีกทั้งยังโบกมือเอ่ยว่า “มา ออกมาสิ ฉันจะพานายไปหาของกิน…ฉันจำได้ว่านายชอบกินเนื้อสดใช่ไหม? ถ้านายออกมาเล่นเป็นเพื่อนฉัน ฉันจะใช้เงินของฉันซื้อเนื้อสดให้นายกิน”
ทันใดนั้นนัยน์ตาของนกหวีดก็ฉายแวววาววาบ ค่อยๆ คลานออกจากท่อระบายน้ำ
เสี่ยวเจียงพิจารณาดูนกหวีดอีกครั้งตรงด้านหน้าพื้นที่ว่าง “นกหวีด นายเป็นสิ่งมีชีวิตพันธุ์ไหนกันแน่? เกิดออกมาได้ยังไง?”
นกหวีดไม่ขยับ มีเพียงหางเท่านั้นที่สะบัดไปมา
ทันใดนั้นเสี่ยวเจียงก็รู้สึกเบื่อขึ้นมาจึงเลียนแบบชีส ตบมือและเอ่ยว่า “นกหวีด นั่งลง!”
นกหวีดยังคงไม่ขยับตัว
“นกหวีด นั่งลง!”
นกหวีดยังคงไม่ขยับตัว
เสี่ยวเจียงขมวดคิ้ว “นกหวีด ถ้านายยังไม่นั่งลงก็ไม่ต้องกินอะไรแล้วนะ!” แต่นกหวีดเพียงแค่กะพริบตาเท่านั้น
เสี่ยวเจียงรู้สึกไม่พอใจขึ้นมา จึงขึ้นไปขี่บนตัวนกหวีด สองขาคีบบนคอของนกหวีด จับเขาเดียวบนหัวของมัน ตวัดมือตบและเอ่ยว่า “นกหวีด บินขึ้น! บินสิ! บิน!! ฉันให้นายบิน!”
เมื่อเสี่ยวเจียงเห็นนกหวีดไม่ขยับ สองขาของเขาก็เริ่มกระตุกขึ้นมา “น่าตายนัก แม้แต่นายก็ยังดูถูกฉัน!”
ทันใดนั้นเขาก็พุ่งไปที่หัวของนกหวีดและออกแรงดึงลงมา
หางของนกหวีดพุ่งออกมาอย่างรวดเร็วเหมือนสายฟ้า แทงทะลุส่วนท้องของเสี่ยวเจียงจากด้านหลัง
อ้าก!
เลือดสดๆ พุ่งออกมา!