สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด - ตอนที่ 109 วันเสาร์
ทำไมถึงคิดว่านกหวีดน่าสนใจงั้นเหรอ?
เพราะนอกจากมันจะเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่แล้ว มันยังมีความสามารถในการเติบโตที่สูงมากด้วย ไม่ได้หมายถึงความสามารถทางกายภาพและพัฒนาการ ‘แต่แน่นอนว่าความสามารถด้านนี้ของมันก็เติบโตได้รวดเร็วมากเช่นกัน’ แต่ที่เขาหมายถึงคือความคิดของมัน
มนุษย์มีโลกทัศน์ที่สมบูรณ์อันหนึ่งมาตั้งแต่เกิด ทุกขณะของช่วงวัยยี่สิบ สามสิบปี แต่สิ่งมีชีวิตธรรมดาอาจจะไม่มีไปทั้งชีวิต ส่วนปีศาจ…นั่นก็คือเวลาที่ยาวนาน
ลั่วชิวผู้ศึกษาการเจริญเติบโตของนกหวีดดูเหมือนจะมีความประหลาดใจใหม่ๆ เกิดขึ้นทุกวัน
มันยังคงเคารพในสัญชาตญาณของตนเองอยู่เสมอ แม้ได้เรียนรู้ที่จะครุ่นคิดแล้ว แต่มันก็ยังคงเคารพในสัญชาตญาณของตนเองอยู่ ลั่วชิวไม่คิดที่จะใช้มุมมองภายนอกไปแนะนำทิศทางความคิดของนกหวีด
เขาไม่บอกรายละเอียดของทุกเรื่องที่นกหวีดอยากรู้…เป็นเหมือนนักคณิตศาสตร์ที่ให้สมการพื้นฐาน แล้วแต่คนที่ได้มันไปจะพัฒนาสมการพื้นฐานไปสู่ชุดทฤษฎีอย่างไร?
“คุณทำอะไรอยู่ที่นี่?”
…
“คุณทำอะไรอยู่ที่นี่?”
นกหวีดคุ้นเคยกับเสียงที่มักโผล่ออกมาอย่างกะทันหันแล้ว ฉะนั้นมันจึงสงบนิ่ง…มันไม่คิดจะลืมตา เพียงแค่ขยับร่างกายเล็กน้อยเท่านั้น
ร่างกายของมันห่ออยู่ในผ้าห่มบางๆ บนผ้าห่มบางๆ นี้มีกลิ่นที่ชวนให้มันหลงใหลอยู่อย่างเข้มข้น เป็นกลิ่นของชีส
นอกจากชีสแล้วก็มีอีกหลายกลิ่นที่ดึงดูดความอยากอาหารของมัน
เตียงหลังนี้เป็นเตียงในห้องใต้ดิน พูดให้ชัดเจนก็คือที่นี่เป็นบ้านที่ครอบครัวของชีสอาศัยอยู่ หลังซูเสี่ยวซูกับลูกๆ ของเธอที่เคยอาศัยอยู่ที่นี่ถูกหลงซีรั่วสั่งคนมาพาไปแล้ว ที่นี่ก็ว่างเปล่าอยู่สองวัน
“ฆ่าเวลา” นกหวีดมอบคำตอบที่เหมือนจะขี้เกียจให้กับเสียงนั้น
ลั่วชิวรู้สึกว่าคำตอบเช่นนี้เหมาะสมมาก
ไม่ใช่งั้นเหรอ? บนตัวของนกหวีดมีผ้าห่มคลุม แขนขาของมันก็วางอยู่บนเตียง ถึงร่างกายที่หนักอึ้งจะทำให้แผ่นกระดานของเตียงโค้งไปแล้ว แต่ไม่ว่าจะดูยังไงก็เหมือนแมวบ้านที่นอนกลางวันในตะกร้าหลังกินข้าวอิ่ม
“เพราะว่ากินอิ่มแล้วงั้นเหรอ”
“ไม่ ฉันรู้สึกหิวมากขึ้น ช่วงนี้ฉันรู้สึกว่าฉันกินไม่อิ่มเลย ไม่ว่าจะกินมากแค่ไหน…นี่เป็นความปรารถนาที่นายพูดถึงใช่ไหม”
“ความอยากอาหารเป็นส่วนหนึ่งของความปรารถนา”
นกหวีดนิ่งไปครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็ถามว่า “แต่ทำไมทั้งที่ท้องของฉันหิวมาก แต่ตอนนี้กลับไม่อยากขยับตัวไปไหน ฉันรู้ตัวว่าอยากกินชีสมาก แต่ไม่รู้เพราะอะไรเมื่ออยู่ในที่แห่งนี้แล้ว ฉันกลับยังอดทนต่อ…อืม นายเคยพูด ความเจ็บปวดทรมานใช่ไหม?”
“ที่นี่งั้นเหรอ” เสียงของลั่วชิวแฝงความประหลาดใจเล็กน้อย
พริบ
นกหวีดลืมตาขึ้น ดวงตาเหมือนตามังกรกลอกไปมา ทันใดนั้นก็เอ่ยว่า “มีความรู้สึกแปลกๆ ฉันรู้ดีว่าแบบนี้ไม่มีกับฉัน แต่ฉันกลับไม่อยากจากไป แต่ฉันรู้ว่าตัวเองไม่อาจอยู่ที่นี่ต่อได้แล้ว”
“ทำไมล่ะ?”
“เพราะแบบนี้ไม่ดีกับฉัน” นกหวีดให้คำตอบที่ใกล้เคียงกับธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตมากที่สุด “ของที่ไม่ดีกับฉัน ฉันก็ไม่อาจเก็บไว้ได้”
“คุณเคยคิดไหมว่าสำหรับสิ่งอื่นแล้ว คุณอาจจะเป็นของที่ไม่ดีเช่นกัน สิ่งอื่นอาจจะไม่สามารถเก็บคุณไว้ได้เช่นกัน?”
นกหวีดชะงักและตอบว่า “นี่เป็นเรื่องปกติมากไม่ใช่เหรอ? ฉันต้องการมีชีวิต สิ่งมีชีวิตอื่นก็ต้องการมีชีวิต เพราะพวกมันอ่อนแอกว่าฉันถึงถูกฉันกิน ถ้าฉันอ่อนแอกว่าพวกมัน พวกมันก็จะกินฉัน”
“ก็หมายความว่า หากสิ่งอื่นกำจัดคุณ คุณก็จะไม่รู้สึกโกรธหรือเกลียดเลยใช่ไหม?”
“เกลียด? โกรธ?” นกหวีดครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ส่ายหน้า “เรื่องนี้ฉันไม่รู้ แต่ว่า…”
“คุณลังเลแล้วงั้นเหรอ”
นกหวีดส่ายหน้า “ฉันไม่รู้ อยู่ดีๆ ฉันก็คิดว่าถ้าฉันตายไป และมีใครที่ทำลายฉันได้ ฉันก็ไม่อยากให้คนคนนั้นเป็นชีส…นี่เป็นเพราะอะไรกัน”
“ทำไมถึงไม่อยากให้เป็นชีสครับ”
“ความรู้สึกแบบนั้นจะเจ็บปวดทรมานมาก ฉันรู้ว่ามีบางอย่างในร่างกายฉันเอาแต่ห้ามฉันตลอด…ไม่ได้แล้ว ฉันอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้แล้ว”
ทันใดนั้นนกหวีดก็ปีนขึ้นมาจากเตียง หางด้านหลังก็ยิ่งยกขึ้นฟาดลงไปบนเตียงใหญ่อย่างฉับพลัน แบ่งมันออกเป็นสองส่วน
ทันใดนั้นมันก็ส่งเสียงกู่ร้องยาวออกมา คลานออกไปจากห้องใต้ดินแห่งนี้อย่างรวดเร็ว
ตอนนี้เจ้าของสมาคมถึงได้เผยร่างกายอยู่กลางอากาศ เขามองเตียงที่ถูกฟาดแบ่งออกเป็นสองส่วนแล้วตวัดมือทำให้เตียงกลับคืนสู่สภาพเดิม
ลั่วชิวเงยหน้าขึ้นมองของที่ติดไว้บนฝาผนัง
เป็นของที่ครอบครัวส่วนมากมักมีอยู่ในบ้าน…นั่นก็คือประกาศนียบัตรที่ลูกได้รับกลับมาจากโรงเรียน พ่อแม่มักจะชอบติดพวกมันไว้ที่ฝาผนัง ติดไว้ในบริเวณที่โดดเด่น
ก็ไม่รู้ว่าใครเป็นคนตั้งกฎแบบนี้ขึ้นมา
วันเสาร์ ตอนบ่าย จากสว่างสดใสกลายเป็นเมฆขมุกขมัว
…
…
ด้วยทุนการก่อสร้างอันมหาศาล เวทีที่ทั้งใหญ่และงดงามจึงเร่งสร้างได้เสร็จก่อนรายการจะเริ่มขึ้นจริงๆ เสร็จก่อนเริ่มรายการครึ่งวัน
บรรดานักดนตรีที่ร่วมรายการเตรียมความพร้อมก่อนเวลามานานแล้ว…ด้วยเหตุนี้จึงมีการซ้อมใหญ่ในตอนนี้
ไม่ต้องพูดถึงเวทีขนาดใหญ่ในสนามกีฬาแห่งนี้เลย แม้จะเป็นห้องสตูดิโอในสถานีโทรทัศน์ หงก้วนก็ไม่คิดว่าตัวเองจะมีโอกาสได้ขึ้นเวทีระดับนี้
จะใช้ประสบการณ์ในไนต์คลับมาร่วมการแข่งขันระดับนี้งั้นเหรอ
เมื่อมองเห็นคนหนึ่งที่กำลังซ้อมอยู่บนเวทีเป็นนักร้องเก่าในวงการเพลงแล้ว หงก้วนก็บีบมือที่มีเหงื่อซึมออกมา ตกลงกับคนแซ่จงว่าจะเข้าร่วมนั้นเป็นการกระทำที่วู่วามเกินไปหรือเปล่า?
แต่เมื่อคิดถึงสายตาของภรรยาที่กำลังรอคลอดในโรงพยาบาลตอนตนเองบอกเรื่องนี้แล้ว หงก้วนก็ทำใจกล้ามาที่นี่
“คุณหง คุณหง!”
เฉิงอวิ๋นร้องเรียกชื่อของหงก้วนมาแต่ไกล จากนั้นก็เดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว “ทำไมยังไม่ขึ้นเวทีอีก ยังไม่ถึงตาคุณงั้นเหรอ? มีปัญหาอะไรหรือเปล่า? บอกผมมาได้เลย”
หงก้วนขอบคุณในความหวังดี ยิ้มอย่างขมขื่นและพูดว่า “ผมคิดว่า…ผมยังตื่นเต้นอยู่เลย”
งั้นนายยังมาอีกทำไม …ถึงในใจจะคิดแบบนั้น แต่เฉิงอวิ๋นก็ไม่ได้แสดงออกมา แต่พูดว่า “คุณหง บอกข่าวดีเรื่องหนึ่งให้คุณทราบ ของที่คุณให้ผมหา ผมหาพบแล้ว พรุ่งนี้จะส่งมาถึงมือของคุณตรงเวลาแน่นอน!”
หงก้วนพูดอย่างตกตะลึงว่า “แค่แป๊บเดียวก็…”
เฉิงอวิ๋นพูดอย่างได้ใจว่า “คุณหง อย่าได้ดูแคลนความสามารถของบริษัทเฟยอวิ๋น เอนเทอร์เทนเมนต์ของพวกเรา! เรื่องเพียงเล็กน้อยเท่านั้น…ใช่แล้ว คุณยังอยากได้อย่างอื่นอีกไหม? ผมจะได้จัดหาให้อย่างเต็มที่!”
หงก้วนสูดหายใจเข้าลึกๆ ส่ายหน้าและพูดว่า “ไม่มีแล้ว…ผมไปซ้อมก่อนนะ ถึงยังไงก็ต้องผ่านด่านนี้ไปให้ได้”
ท่ามกลางสายตาของนักร้องเก่าในวงการเพลงที่ยังไม่ไปไหน รวมทั้งบรรดาเอเจนซี่ของนักร้องที่เข้าร่วมการแข่งขัน การเดินขึ้นไปบนเวทีอันงดงามของหงก้วนจึงดูค่อนข้างแข็งทื่อ
มหัศจรรย์มาก…
ก่อนหน้านี้ไม่ถึงหนึ่งวัน เขายังเป็นคนที่ร้องเพลงไปพร้อมกับขายเครื่องชาร์จโทรศัพท์ที่ลานกว้างอยู่เลย
อี้หราน…นายอยากให้ฉันมาอยู่ที่นี่เพื่อบอกอะไรนายงั้นเหรอ
เมื่อเผชิญหน้ากับสนามกีฬาที่ยังไม่มีผู้ชมและกว้างใหญ่มากแห่งนี้แล้ว หงก้วนก็เกิดความคิดแบบนี้ขึ้นมา
…
เปลี่ยนเป็นอีกคนขึ้นเวทีแล้ว…จุยเฟิงที่กำลังมองบรรดาคนขึ้นเวทีด้านล่างยิ้มเยาะขึ้นมา “กระโดดขึ้นกระโดดลงไปเถอะ ถึงยังไงพวกนายก็มีเวลากระโดดขึ้นกระโดดลงไม่มากแล้ว”
ตอนนี้จุยเฟิงยืนอยู่บนขอบหลังคาสนามกีฬา มองไปยังเมืองแห่งนี้
ผ่านไปไม่นาน ด้านหลังของจุยเฟิงก็มีเงาร่างสายหนึ่งปีนขึ้นมาบนหลังคาอย่างยากลำบาก จากนั้นก็เดินอย่างระมัดระวังมาตรงหน้าของจุยเฟิง
ไม่ใช่ปีศาจ แต่เป็นมนุษย์…เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่สวมชุดแบบเดียวกับพนักงานด้านล่าง
ใช่ เป็นพนักงานที่มีระดับค่อนข้างสูงคนหนึ่ง
“จุยเฟิง ฉันจัดการให้นายแล้ว” มนุษย์คนนั้นพูดอย่างรวดเร็ว “ก่อนที่ของจะถูกส่งมาก็ได้สับเปลี่ยนแล้ว พวกเขาไม่ได้สังเกตและได้ดำเนินการจัดตั้งเลย”
ลมแรงมาก มนุษย์คนนี้ยืนอยู่ที่นี่ เสื้อผ้าถูกลมพัดอย่างรุนแรงจนเกิดเสียงดัง ใบหน้าที่ไร้อารมณ์ของจุยเฟิงเผยรอยยิ้มบางๆ ออกมา “ลำบากนายแล้ว”
“พูดอะไรอย่างนั้น พวกเราเป็นเพื่อนรักกันนิ! เรื่องเล็กๆ แบบนี้ ฉันจะไม่ช่วยนายได้ยังไง?” มนุษย์คนนั้นหัวเราะ ฮ่าๆ ขึ้นมา
“ใช่ พวกเราเป็นเพื่อนรักกัน” จุยเฟิงหรี่ตาลง “ฉันรอคอยการแสดงพิเศษในวันพรุ่งนี้จริงๆ…”
จุยเฟิงยิ้มเยาะ ทันใดนั้นก็ประกบมือเข้าด้วยกันเกิดเสียงเพี้ย จากนั้นก็พูดว่า “BOOM(บูม)!”