สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด - ตอนที่ 105 ชื่อว่า ‘โพรมีธีอุส’
นี่เป็นขอบเขตที่หลงซีรั่วและซูจื่อจวินร่วมมือกันสร้างขึ้นมา ถ้าหากไม่ได้วิธีเข้าจากสองคนนี้ คงทำได้เพียงใช้พลังทำลายจากด้านนอกเพื่อเข้ามา
เช่นผู้ที่ใช้วิธีนั้นในตอนแรกและตอนนี้ถูกขังอยู่ที่นี่อย่าง…เซียงหลิ่ว
กุยเชียนอีเป็นปีศาจที่เคยเห็นเส้นสายจิตวิญญาณ แน่นอนว่าไม่ใช่เฉพาะเส้นสายที่อยู่ใต้เมืองแห่งนี้เท่านั้น ดังนั้นเขาจึงไม่รู้สึกประหลาดใจเกินไป เมื่อเห็นสายน้ำแห่งพลังวิญญาณที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังวิญญาณตรงหน้า
เมื่อมีชีวิตอยู่มายาวนานเช่นเขาก็จะมองหลายเรื่องเป็นเรื่องธรรมดา…ถึงสายน้ำแห่งพลังวิญญาณจะดีิแต่ก็ไม่สามารถสั่นคลอนอะไรกุยเชียนอีได้
แต่เขาก็ยังตกใจกับสภาพของเซียงหลิ่ว…พูดชัดๆ ก็คือ ตกใจกับดวงตาอันสุดจะพรรณนาของเซียงหลิ่ว
“เซียงหลิ่ว เจ้าทนต่ออะไรกันแน่?” กุยเชียนอียืนอยู่ตรงหน้าเซียงหลิ่ว ขณะเดียวกันก็สังเกตโซ่บนร่างของเขาอย่างละเอียด
ภายในดวงตาของเซียงหลิ่วมีแต่ความโกรธแค้น…พูดตามหลักการแล้ว การอยู่ในสายน้ำแห่งพลังวิญญาณ และยังได้รับการชำระล้างจากพลังวิญญาณอันบริสุทธิ์ทุกวันก็ควรจะทำให้จิตใจสงบลงสิ
“กุยเชียนอีงั้นเหรอ…” เซียงหลิ่วค่อยๆ เงยหน้าขึ้น ใบหน้าซีดเซียว “ไม่ต้องสนใจข้า ข้าเพียงแค่พยายามบีบตนเองให้โกรธแค้นเท่านั้น พูดแล้วก็ต้องขอบคุณองค์หญิงของพวกเจ้า หากไม่ใช่เพราะนาง…ข้าคงถูกชำระล้างบางอย่างไปจนหมดเมื่ออยู่ในที่แบบนี้”
พูดแล้ว เซียงหลิ่วก็ร้องโหยหวนขึ้นมาอย่างฉับพลัน!
กุยเชียนอีมองเห็นผิวของเซียงหลิ่วเริ่มฉีก เส้นเลือดปูดออกมาด้านนอก เลือดในเส้นเลือดไหลวนอย่างรวดเร็วบ้าคลั่ง!
สถานการณ์นี้ต่อเนื่องไปนานหนึ่งชั่วโมงถึงหยุดลง…ผิวของเขากลับคืนสู่สภาพเดิม ส่วนเส้นเลือดก็ซ่อนเข้าไปในร่างกาย
นี่เป็นคำสาปของซูจื่อจวิน…กุยเชียนอีรู้สึกตกใจ เขาเข้าใจความหมายคำพูดที่ว่า ‘ขอบคุณองค์หญิง’ ของเซียงหลิ่วแล้วว่าหมายถึงอะไร
หลังผ่านไปครู่หนึ่ง เซียงหลิ่วอ้าปากกว้างหอบหายใจ ความแค้นในดวงตาเข้มข้นขึ้นหลายส่วน “เป็นอย่างไร ครั้งนี้ซูจื่อจวินไม่มาเอง แต่ใช้เจ้า เต่าเฒ่ามางั้นหรือ?”
องค์หญิงคิดจะถามอะไรจากเซียงหลิ่วกัน?
กุยเชียนอีครุ่นคิด แต่ขณะเดียวกันเขาก็มาตามคำสั่งของหลงซีรั่ว
เมื่อพบเห็นสภาพของเซียงหลิ่วแล้ว กุยเชียนอีก็ไม่แน่ใจว่าตนเองจะได้คำตอบที่น่าพึงพอใจจากเซียงหลิ่วหรือไม่
แต่เขาก็ดูสถานการณ์เป็น พูดว่า “เซียงหลิ่ว ข้ารู้ดีว่าเจ้าใช้ความเจ็บปวดไปเพิ่มความแค้นของตนเอง แต่ข้าคิดว่าเจ้าก็น่าจะเข้าใจดีใช่ไหม? ว่าเจ้าไม่สามารถหลุดออกจากโซ่นี้ได้ ดังนั้นถึงเจ้าจะไม่ยินยอม พยายามใช้ความแค้นต้านทานการชำระล้างจากสายน้ำแห่งพลังวิญญาณก็ดี แต่สุดท้ายแล้วก็จะไร้ประโยชน์”
กุยเชียนอีมองท่าทีของเซียงหลิ่ว ใช้ไม้อ่อนพูดว่า “สายน้ำแห่งพลังวิญญาณ เกิดขึ้นมาจากโชคชะตาของแผ่นดินนี้ พันปี หมื่นปี ใครก็ไม่รู้ว่ามันมีอายุกี่ปี มันไม่มีที่สิ้นสุด แต่พลังของคนกลับมีวันหมด แม้รากความโกรธแค้นจะช่วยเจ้าต้านทานได้สักระยะ แต่เจ้าก็น่าจะรู้ดี ว่าอาศัยการสะสมความแค้นแบบนี้จะทำให้จิตวิญญาณของเจ้าทนได้ไม่นาน”
“เจ้าดูถูกข้าเกินไปแล้ว กุยเชียนอี” เซียงหลิ่วยิ้มเยาะ
กุยเชียนอีเอ่ยว่า “รากความโกรธแค้นจะทำลายจิตวิญญาณและสติปัญญาที่เหลือของเจ้า สุดท้ายแล้วเจ้าก็จะสูญเสียความสามารถในการคิด เซียงหลิ่ว เจ้ายินยอมให้ตนเองกลายเป็นคนที่แม้แต่ตัวเจ้าเองก็ไม่รู้จักงั้นหรือ? และไม่ว่าจะบ้าคลั่งสูญเสียสติปัญญาอย่างไร เจ้าก็ยังถูกขังอยู่ที่นี่และยังอยู่ในสภาพเจ็บปวดอีก?”
“เจ้าคิดจะพูดอะไร” สีหน้าของเซียงหลิ่วดูหนักอึ้ง
กุยเชียนอีค่อยๆ พูดขึ้นว่า “บางทีข้าอาจช่วยลดความเจ็บปวดทั้งภายในและภายนอกให้เจ้าได้”
เซียงหลิ่วขมวดคิ้ว “ข้าจะเชื่อเจ้าได้อย่างไร”
กุยเชียนอีสูดหายใจเข้าลึกๆ พ่นไข่มุกแปลกประหลาดของเขาออกมาจากปาก ที่นี่มีพลังวิญญาณมากมาย แม้ร่างกายของเขาจะไม่ดีก็ยังใช้วิชาที่เขาต้องการใช้ได้อย่างง่ายดาย
กุยเชียนอีโยนไข่มุกออกไป หลังไข่มุกวนรอบตัวเซียงหลิ่วรอบหนึ่งแล้วถึงได้กลับมายังฝ่ามือของเขาอีกครั้ง แล้วตอนนี้เอง ข้างกายเซียงหลิ่วจากบนลงล่างก็มีรัศมีแสงสามสายปรากฏขึ้น
กุยเชียนอีพูดว่า “ดูรัศมีแสงสามสายนี้ พวกมันกั้นเจ้าออกจากสภาพแวดล้อมที่นี่ได้ พลังวิญญาณจะไม่ชำระล้างเจ้า ขณะเดียวกันมันยังควบคุมคำสาปที่องค์หญิงลงไว้บนตัวเจ้าได้ด้วย แน่นอนว่า ข้าจะไม่ช่วยเจ้าถอนคำสาปขององค์หญิง และข้าก็ไม่มีความสามารถจะถอนให้ด้วย การควบคุมนี้อย่างมากก็แค่ช่วยลดความเจ็บปวดจากมันลงเท่านั้น แต่ด้วยความสามารถในการอดทนของเจ้า การลดระดับความเจ็บปวดก็น่าจะเพียงพอให้เจ้าทนผ่านไปได้แล้ว…เจ้าว่าอย่างไร”
เซียงหลิ่วจ้องมองกุยเชียนอีเขม็ง แต่ในขณะเดียวกัน ความรู้สึกถูกกั้นออกจากพลังวิญญาณก็ทำให้เซียงหลิ่วรู้สึก…ดีขึ้น เขายิ้มเยาะในฉับพลันและพูดว่า “กุยเชียนอี คำสาปนั้นซูจื่อจวินเป็นคนลงไว้ แต่เจ้ากลับใช้มันเป็นข้ออ้างว่าช่วยเหลือข้า? วางแผนคิดคำนวณได้ดีจริงๆ?”
กุยเชียนอีพูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “ในเมื่อเจ้าไม่พอใจ เช่นนั้นข้าก็จะเก็บรัศมีแสงกลับ”
“รอเดี๋ยว!” เซียงหลิ่วกัดฟัน หันหัวไปอีกข้างและพูดว่า “เจ้าคิดจะถามอะไร? แต่ข้าขอบอกเจ้าไว้ก่อนนะว่าถ้าข้าไม่อยากตอบข้าก็ยอมจะแค้นต่อไป!”
กุยเชียนอีพูดว่า “วันนั้น ใต้เท้าหลงเคยถูกบอลเนื้อแปลกประหลาดก้อนหนึ่งลอบทำร้าย ของสิ่งนั้นไม่ใช่ทั้งคนและปีศาจ มันมีที่มาอย่างไร?”
“เจ้าพูดถึง ‘โพรมีธีอุส’ งั้นเหรอ?” เซียงหลิ่วขมวดคิ้ว
“โพรมี…ธีอุส?” กุยเชียนอีขมวดคิ้ว
เซียงหลิ่วส่ายหน้าเอ่ยว่า “ไม่ใช่ที่เจ้าเข้าใจ เพียงแค่ชื่อคล้ายกันเท่านั้น ไม่รู้ว่ากลุ่มคนในสมาคมพัฒนาเทคโนโลยีขึ้นมาอย่างไร จนสร้างสิ่งมีชีวิตใหม่ชนิดนี้ขึ้นมาได้ ดังนั้นจึงได้สร้างชื่อทางวิทยาศาสตร์ขึ้นมาเอง ได้ยินมาว่าเป้าหมายแรกเริ่มของการพัฒนาเทคโนโลยีนี้คือเพื่อทำให้ ‘มนุษย์สามารถเกิดใหม่ได้อีกครั้ง’ ต่อมาไม่รู้ว่าทำอย่างไรถึงได้เกิดเป็น ‘โพรมีธีอุส’ ออกมา”
“มนุษย์สามารถเกิดใหม่ได้อีกครั้ง…อายุยืนยาวไม่ตายงั้นหรือ?” กุยเชียนอีพยักหน้าเอ่ยว่า “ข้าต้องการข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับ ‘โพรมีธีอุส’”
เซียงหลิ่วไม่ถามกุยเชียนอีว่าทำไมถึงอยากรู้…เพราะเรื่องเกี่ยวกับ ‘โพรมีธีอุส’ ไม่ใช่เรื่องที่เขาไม่พอใจตอบ “เรื่องเทคนิคเฉพาะเจาะจงคืออะไรนั้นข้าไม่รู้ นี่คือของที่นักวิทยาศาสตร์บางคนในสมาคมศึกษาออกมาได้ แรกเริ่มนั้นมันเป็นแค่เซลล์เซลล์หนึ่ง ตอนข้าออกมาก็เอามาด้วยอันหนึ่ง”
“พูดชัดๆ หน่อยได้หรือไม่ เซลล์นี้มีประโยชน์อะไร?” กุยเชียนอีซักไซ้
เซียงหลิ่วคิดและพูดว่า “ตามทฤษฎีแล้วเซลล์นี้กลืนกินได้ทุกเซลล์แล้วนำมาพัฒนาตนเอง วิธีใช้ก็ง่ายมาก ใส่มันเข้าไปในร่างกายร่างหนึ่งก่อน ให้เป็นที่ฟักตัวของมัน หลังจากที่มันทำลายร่างกายนั้นออกมาแล้วก็จะเป็นรูปแบบแรก รูปแบบแรกยังต้องป้อนสิ่งมีชีวิตให้มันกินเรื่อยๆ ยิ่งเยอะก็ยิ่งดี ยิ่งมีหลากชนิดก็ยิ่งเยี่ยม เพราะมันกลืนกินยีนหลากหลายชนิดมาใช้ประโยชน์และวิวัฒนาการ”
ท่าทีของกุยเชียนอีเคร่งเครียดขึ้นทันที “เจ้าหมายความว่าโพรมีธีอุสนี้วิวัฒนาการได้เรื่อยๆ…เช่นนั้นถึงสุดท้ายจะไม่ไร้เทียมเลยงั้นหรือ?”
เซียงหลิ่วยิ้มเยาะ “ไหนเลยจะง่ายดายเช่นนั้น? ไม่รู้ว่าเป็นปัญหาที่ข้อบกพร่องโดยธรรมชาติหรือเพราะเทคโนโลยียังไม่สมบูรณ์ ตามธรรมดาแล้ว สร้างหนึ่งพันร่างก็ไม่แน่ว่าจะสำเร็จได้หนึ่งร่าง เพื่อจะสรุปสมการที่สำเร็จออกมาได้ คนในสมาคมต้องใช้เวลาถึงยี่สิบปี ลงทุนทั้งทรัพย์สินและแรงคนไปนับไม่ถ้วน ตอนนี้ก็ได้ผลลัพธ์ที่ฝืนพูดว่าสำเร็จแค่ไม่กี่ร่างเท่านั้น ได้ยินมาว่าวิวัฒนาการสิ้นสุด อีกทั้งยังเป็นผลงานที่ไม่เสถียรอีกด้วย”
“ของชนิดนี้มีจุดอ่อนหรือไม่?” กุยเชียนอีถามตรงๆ
เซียงหลิ่วพูดว่า “ไม่มีจุดอ่อนโดยตรง หากเจ้ามีพลังแข็งแกร่งมากพอก็ระเบิดมันให้เป็นจุล หากมีกำลังไม่พอก็หาเซลล์แรกเริ่มของมันมาทำลายทิ้ง”
“เจ้าใช้อะไรป้อนโพรมีธีอุสที่อยู่ในเมืองนี้กันแน่?”
“กุยเชียนอี เจ้ารู้อยู่แก่ใจก็ยังถามอีกหรือ?”
“ปีศาจ…” กุยเชียนอีสูดหายใจเข้าลึกๆ “ข้าขอถามเจ้าอีกคำถามหนึ่ง หลังใช้ปีศาจป้อน ‘โพรมีธีอุส’ แล้วมีปฏิกิริยาอะไรหรือไม่? เช่นเกิดความคิด”
เซียงหลิ่วยักไหล่ “เรื่องนี้ข้าไม่รู้ ข้าเพียงใช้ผลิตภัณฑ์ของสมาคมเท่านั้น ส่วนมันมีผลข้างเคียงอะไรมันเกี่ยวอะไรกับข้า?”
กุยเชียนอีไม่ถามมากอีก คิดว่าเซียงหลิ่วคงรู้เพียงเท่านี้ ตอนนี้เขาเริ่มเชื่อมโยงเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนและหลังเข้าด้วยกัน
วันนั้นซูจื่อจวินมาถามเรื่องซูโย่ว…
เมื่อเชื่อมโยงทุกเรื่องเข้าด้วยกัน กุยเชียนอีคิดว่าตนเองเดาออกแล้วว่าทำไมนกหวีดถึงเอาแต่อยู่ข้างกายชีสตลอด
“เจ้ายังมีอะไรจะถามอีก? หากไม่มีแล้วก็ไสหัวไปเถอะ! ข้าจะพักผ่อน!” เซียงหลิ่วสบถออกมา เขาต้องการพักผ่อนจริงๆ…ยากยิ่งที่จะต้านทานการชำระล้างพลังวิญญาณได้ พร้อมยังลดความเจ็บปวดจากคำสาปได้อีกด้วย
กุยเชียนอีพยักหน้า “อืม…ถึงเวลาที่ข้าต้องไปแล้ว”
พูดแล้วกุยเชียนอีก็ตวัดมือทำให้รัศมีแสงข้างกายเซียงหลิ่วเหล่านั้นแตกสลาย…แต่พริบตาเดียวที่รัศมีแสงแตกสลาย เซียงหลิ่วก็สัมผัสได้ว่าพลังวิญญาณบุกเข้ามาอีกครั้ง ส่วนความเจ็บปวดจากคำสาปก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง!
“กุยเชียนอี! เจ้าหลอกข้า!”
“งั้นหรือ” กุยเชียนอีพูด “ข้าช่วยเจ้าต้านทานการชำระล้างพลังวิญญาณแล้วจริงๆ และก็…เคยทำให้ความเจ็บปวดของเจ้าลดลง แต่ข้าไม่เคยพูดว่าจะต้านทานให้เจ้านานแค่ไหนใช่ไหม?”
“กุยเชียนอี!”
กุยเชียนอีเอามือปิดหู หดคอพูดว่า “อย่าเสียงดัง! อย่าขู่คนแก่สิ? คนหนุ่มนี่จริงๆ เลย ใจเย็นหน่อยสิ”
“กุยเชียนอี!! เจ้าอย่าให้ข้าออกไปจากที่นี่ได้นะ! ไม่เช่นนั้นข้าจะให้เจ้าลองทนความเจ็บปวดแบบตายทั้งเป็นดู!”
ในขณะที่เซียงหลิ่วร้องอย่างบ้าคลั่ง กุยเชียนอีก็ถือไม้เท้า เต่าน้อยใช้กำปั้นทุบไหล่เบาๆ แล้วค่อยๆ เดินออกจากส่วนลึกของสายน้ำแห่งจิตวิญญาณ
ตลกจริง หากข้าช่วยเจ้าลดความเจ็บปวดจากคำสาป เมื่อองค์หญิงกลับมาคงเอาข้าไปตุ๋นแน่…
ดังนั้นผู้อาวุโสของเผ่าปีศาจจึงหันกลับไปมองเซี่ยงหลิวเป็นครั้งสุดท้ายด้วยความเสียดาย พึมพำว่า “คนหนุ่ม…”
รูปแบบ!
*โพรมีธีอุส ชื่อภาพยนตร์เอเลี่ยน, ชื่อเทพผู้นำไฟมาให้แก่มนุษย์