สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด - ตอนที่ 68 ล้างสมอง
“อะไรนะ พบในห้องเช่า?”
ในร้านกาแฟด้านนอกสถานีตำรวจที่อยู่ไม่ไกล รองบรรณาธิการเริ่นเงยหน้าอย่างสงสัยขณะจดคำพูดของเซอร์หม่าลงในสมุดโน้ตเล่มเล็กๆ
เซอร์หม่าจิบกาแฟไปคำหนึ่งแล้วพูดว่า “ใช่แล้ว เจ้าของห้องเป็นคนพบเอง เห็นบอกกะว่าทำความสะอาดห้องเช่าเสร็จแล้วจะเปิดประตูไปดู ก็เห็นศพของจ้าวหรู ตกใจแทบตาย”
เริ่นจื่อหลิงกัดหัวปากกา คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “นายบอกว่าพอเธอหายตัวไปจากห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลอย่างลึกลับแล้ว ก็กลับมาห้องเช่าของตัวเอง? นายว่าคนบาดเจ็บหนักวิ่งได้ไกลขนาดนี้เลยเหรอ? แท็กซี่? คนขับรถเขาไม่สงสัยเหรอ อาศัยการเดินเท้า? จะเดินได้ไกลขนาดนี้เลยงั้นเหรอ”
หม่าโฮ่วเต๋อยักไหล่พูดว่า “เรื่องนี้ยังเป็นปริศนา”
เริ่นจื่อหลิงพยักหน้าหงึกๆ แล้วพูดขึ้น “ตอนที่เธอเสียชีวิตเป็นยังไงบ้าง ได้ทิ้งอะไรไว้ไหม? อย่างพวกพินัยกรรมอะไรแบบนี้?”
หม่าโฮ่วเต๋อส่ายหน้าตอบ “ไม่มีอะไรสักอย่าง ก่อนหน้าผมก็เคยไปห้องเช่านั้นครั้งหนึ่ง สะอาดเอี่ยม พอได้ไปอีกก็ยังคงสะอาดเหมือนเดิม เธอนอนนิ่งสงบอยู่บนเตียง พร้อมกับรอยยิ้มบางๆ นอกจากนี้แล้ว ในห้องเช่าก็ไม่พบร่องรอยอะไรอีก”
“แบบนี้เอง…”
จู่ๆ หม่าโฮ่วเต๋อก็ถามขึ้น “ถามสักอยางสิ ครั้งนี้คุณคิดจะเขียนยังไง”
“เขียนอะไรยังไง”
“รายงานน่ะสิ? ห้องเช่าซ่อนศพ ผู้ตายคือนักโทษที่หนีออกมา บนพาดหัวข่าวทุกฉบับเอาแต่พูดถึงเรื่องนี้กัน”
เริ่นจื่อหลิงกลับส่ายหน้าพูดว่า “ฉันไม่เขียน”
หม่าโฮ่วเต๋อตะลึงงัน
เริ่นจื่อหลิงมองตาขวางทันที “เธอไม่ได้เล่าด้วยตัวเอง การคาดเดาและการแสดงความคิดเห็นใดๆ เป็นการใส่สี ผู้ตายก็ตายไปแล้ว ทำไมยังต้องไปทำร้ายเธออีก คนอย่างฉันก็ยังรู้ว่าอะไรดีหรือไม่ดีนะ!”
หม่าโฮ่วเต๋อยักไหล่ “เอาล่ะ…ตามนี้แล้วกัน ผมจะกลับที่ทำงานแล้ว นี่ไม่เหมือนกับแต่ก่อนนะ ผมต้องแอบออกมาเงียบๆ ที่ทำงานผมยังมีคนจับตาดูอยู่อีก”
“นายหมายถึงหวังเย่ว์ชวนคนนั้นน่ะเหรอ” เริ่นจื่อหลิงพยักหน้าพูดว่า “ทำไมคนใหญ่คนโตระดับจากสถานีตำรวจในมณฑลถึงยังเดินลอยชายอยู่นี่ล่ะ”
“แล้วผมจะรู้ความคิดของคนใหญ่คนโตได้ยังไง” ในที่สุดเซอร์หม่าก็ได้โอกาสมองค้อน “เอาเถอะ ผมไปจริงๆ แล้ว ไว้จะหาวันไปกินข้าวที่บ้านคุณแล้วกัน”
“อ้อ…โอเค” เริ่นจื่อหลิงไม่ได้ใส่ใจ เธอก้มหน้าเก็บข้าวของของตัวเอง แล้วเตรียมตัวออกไปเหมือนกัน
แต่พอเธอมองท่าทางหม่าโฮ่วเต๋อที่เดินด้วยท่าทางรีบร้อน ก็นึกบางอย่างได้กะทันหัน “บ้าเอ๊ย…ค่าจ้างแจ้งเบาะแสครั้งก่อนยังไม่ได้ให้ฉันเลย! มิน่าล่ะ เดินเร็วซะขนาดนี้! ขี้งกชะมัด!”
…
ในห้องประชุมขนาดเล็กในสถานีตำรวจ หวังเย่ว์ชวนกำลังวิดีโอคอลคุยอยู่กับชายคนหนึ่ง
นี่คือเพื่อนเก่าสมัยเรียนของเขา ขณะนี้กำลังเรียนต่อปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในออสเตรเลีย
“ได้ข้อสรุปแล้วใช่ไหม?” หวังเย่วชวนถามตรงประเด็น
“อืม ก็ได้นิดหน่อย” ชายอีกคนที่อยู่ในหน้าจอพยักหน้า “จากบางส่วนที่นายสแกนให้ฉัน นี่น่าจะเป็นตัวอักษรภาษาอียิปต์โบราณนะ ฉันลองหาคนแปลให้บ้างแล้ว เอ้านี่ เนื้อหาที่แปล นายลองอ่านดูสิ”
ชายคนนั้นส่งภาพเนื้อหาแผ่นหนึ่งที่แปลแล้วมาให้
หวังเย่ว์ชวนขมวดคิ้ว พร้อมกับอ่านออกเสียง ‘ตายจากเนื้อหนังมังสาเป็นการเปิดประตูใหญ่ไปสู่ชีวิตอันนิรันดร์’…นี่มันหมายความว่ายังไง”
ชายคนนั้นยักไหล่พูด “น่าจะเป็นพวกคำสอนทางศาสนาประมาณนั้น หรือเป็นคำสาป? ไม่ค่อยแน่ใจเหมือนกัน…จริงสิ นี่มันอะไรกัน ฉันรู้จักนายมานานขนาดนี้ ไม่เคยเห็นนายใส่ใจขนาดนี้มาก่อน”
หวังเย่ว์ชวนส่ายหน้าแล้วเอ่ยขึ้นว่า “แค่ของที่ผู้ต้องหาเหลือทิ้งไว้ ฉันก็เลยอยากทำให้มันกระจ่างน่ะ”
ชายหนุ่มยิ้มแล้วพูดว่า “ยังเหมือนเดิมเลยนะ ขอแค่เกี่ยวกับคดี นายก็ต้องทุ่มเอาให้ถึงที่สุดจริงๆ…ฉันคงช่วยนายได้ไม่มาก แต่ฉันรู้จักศาสตราจารย์เจ๋งๆ อยู่คนหนึ่ง เขามีชื่อเสียงด้านประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมอียิปต์โบราณ…”
“ข้อมูลติดต่อล่ะ”
“อย่าใจร้อนสิ ฉันยังพูดไม่จบเลยนะ” ชายคนนั้นส่ายหน้า พูดอย่างจนใจว่า “ตอนนี้ศาตราจารย์น่าจะไปแลกเปลี่ยนวิชาการอยู่ที่ญี่ปุ่น ยังไม่กลับมาหรอก”
“ฉันจะไปหาเขาเอง” หวังเย่ว์ชวนไม่พูดพร่ำเสียเวลา
ชายหนุ่มที่ยังอยู่มหาวิทยาลัยออสเตรเลียนิ่งอึ้ง พูดยิ้มๆ “นายนี่มันจริงๆ เลย…ส่วนวิธีการติดต่อเดี๋ยวรอฉันส่งให้นายแล้วกัน นายบอกว่าฉันแนะนำก็พอ บางทีเขาอาจจะสนใจของของนายก็ได้ อีกอย่าง นายไม่ต้องไปพบเขาที่นั่นเองก็ได้ ตอนนี้การสื่อสารสะดวกจะตายไป”
สรุปก็คือหวังเย่ว์ชวนได้รับช่องทางการติดต่ออย่างรวดเร็ว และลองติดต่อศาสตราจารย์ท่านนี้ที่ตัวยังอยู่ประเทศญี่ปุ่น
…
…
เฉียงจื่อเป็นคนที่รักษาสัญญามากที่สุดคนหนึ่ง อย่างที่เขาเคยบอก ตอนนั้นถ้าไม่ได้พี่ใหญ่อย่างเจ้าอ้วนจางคนนี้ดูแลเขา บางทีตอนนี้เขากำลังคงลักเล็กขโมยน้อยเกาะผู้หญิงกิน
เพราะฉะนั้น เรื่องที่เจ้าอ้วนจางมอบหมายมา เขาจะต้องหาวิธีทำให้สำเร็จให้ได้…ขอเพียงเป็นเรื่องที่เขาทำได้
เขาหาโจวเสี่ยวเผิงน้องชายของโจวเสี่ยวคุนเจอตามที่อยู่ที่เจ้าอ้วนจางเอาให้เขาแล้ว
“คุณ…คุณ ผม ผมเคยเจอคุณหรือเปล่า”
ท่าทางของเฉียงจื่อดูปราดเปรียวห้าวหาญ ร่างกายกำยำสูงใหญ่ บนแขนยังมีรอยสักเสือโคร่งน่ากลัวอีก ทำให้โจวเสี่ยวเผิงพนักงานประจำแสนใสซื่อหวาดกลัวจากก้นบึ้งหัวใจ
“คุณโจวอย่ากลัวไปเลย พวกเราเป็นคนดีนะครับ” เฉียงจื่อถอดแว่นตาดำบนใบหน้าออก เผยให้เห็นใบหน้าแต้มรอยยิ้ม “สวัสดีครับ ไม่ทราบว่าใช่คุณโจว โจวเสี่ยวเผิงหรือเปล่าครับ คุณเรียกผมว่าเฉียงจื่อก็ได้นะครับ”
“ไม่กล้า…ไม่กล้า พี่เฉียงมาหาผมมีอะไรหรือเปล่าครับ”
“คุณพาผมไปหาคนคนหนึ่งทีสิ” เฉียงจื่อบอกจุดประสงค์การมาไปตรงๆ “ผู้หญิงที่ชื่อถาวซย่ามั่น”
โจวเสี่ยวเผิงนิ่งอึ้ง…นี่ไม่ใช่ผู้หญิงที่พี่ชายเขาให้เขาตามหาหรอกเหรอ โจวเสี่ยวเผิงคาดเดาจุดประสงค์การมาของ ‘พี่เฉียง’ คนนี้ไม่ถูกไปชั่วขณะหนี่ง
เขาแอบมองข้างหลัง ‘พี่เฉียง’ คนนี้แวบหนึ่ง
ชายร่างสูงใหญ่กำยำคนนี้ขับรถตู้คันหนึ่งมา ส่วนด้านในรถตู้นั้น…หนึ่ง สอง สาม สี่…ยังมีชายฉกรรจ์สวมเสื้อกล้ามตัวเล็ก ไม่มีรอยสักแต่หัวล้าน ใบหน้ามีรอยยิ้ม ‘สุภาพอ่อนโยน’ อีกสี่คน
คนดีกับผีน่ะสิ
“งั้น…ขอถามพี่เฉียงหน่อยครับ พี่มาถามหาเธอทำไมเหรอ” โจวเสี่ยวเผิงพูดแล้วกลืนน้ำลาย
“อ้อ ไม่มีอะไรหรอก ลูกพี่ผมอยากได้เธอน่ะ”
เฉียงจื่อพูดส่งๆ ไป จากนั้นก็ดูเหมือนจะมีอะไรไม่ค่อยดี “ไม่สิ ลูกพี่ผมต้องการพบเธอ…เอ๊ะ เดี๋ยวก่อนนะ อยากได้เธอหรืออยากพบเธอกันแน่ แย่แล้วๆ เหมือนจะลืมไปแล้ว…ว๊า ช่างมันเถอะ สรุปก็คือคุณพาผมไปเจอเธอก็พอแล้ว!”
พูดจบเฉียงจื่อก็คว้าแขนโจวเสี่ยวเผิงไว้ แล้วลากตัวเขาขึ้นรถตู้ไปทันที
โจวเสี่ยวเผิงเพิ่งจะขึ้นรถ พอสัมผัสได้ถึงการวางท่าใหญ่โตของชายฉกรรจ์ในรถตู้คันนี้ โจวเสี่ยวเผิงก็เผลอกลืนน้ำลายดังเอื๊อก
“เอ๊ะ พี่เฉียง เจ้าเด็กนี่ผิวขาวมากเลยนะ”
ถึงบอกว่า…พวกคุณสุภาพที่ไหนกันล่ะเนี่ย!
…
“สุภาพหน่อยสิ! ยิ้มอะไร!”
ในห้องหนึ่ง ไท่อินจื่อใช้สองมือไพล่หลัง ยืดตัวตรงสง่า
ตรงหน้าเขา เจ้าอ้วนจาง ล่าลี่ซาน แล้วยังมีสหายอีกสองคนของเจ้าอ้วนจางอีก สุดท้ายยังมีโจวเสี่ยวคุนที่กำลังยืนเข้าแถวอยู่ด้วย
ไท่อินจื่อกระแอมไอเบาๆ สองที แล้วพูดอย่างขึงขังว่า “ในเมื่อพวกแกอยากเรียน งั้นฉันก็จะสอนพวกแกสักสองกระบวนท่าแล้วกัน แต่ต้องจำไว้ให้ดีๆ ล่ะ สำนักนี้ไม่รับลูกศิษย์ตามใจชอบ แล้วพวกแกก็ยังไม่มีคุณสมบัตินี้ หลังจากพวกแกออกไปแล้ว ห้ามบอกใครเด็ดขาด ว่าฉันเป็นอาจารย์ของพวกแก เข้าใจไหม!”
“เข้าใจแล้วครับ!” ทุกคนตอบพร้อมเพรียง
เจ้าอ้วนจางก็พยักหน้าอย่างห้าวหาญ…จะรับเป็นอาจารย์หรือไม่ก็ไม่เป็นไร ขอให้เรียนได้สักหลายท่าก็พอ!
ไท่อินจื่อพยักหน้าพูดว่า “เนื่องจากเมื่อไม่กี่วันมานี้พวกแกดูแลฉันเป็นอย่างดี ฉันก็จะชี้แนะพวกแกสักหน่อย! ฟังให้ดีล่ะ ต่อไปฉันจะสอนสิ่งที่ช่วงนี้ฉันเพิ่งจะเข้าใจให้เอง ระหว่างที่เรียน พวกแกต้องตั้งใจ อย่าได้วอกแวกเด็ดขาด! ต้องมีสมาธิใจกายเป็นหนึ่ง ไม่สนใจสิ่งอื่น!”
“รู้แล้วครับ!” ทุกคนยังคงเปล่งเสียงรับคำพร้อมกัน
“เอาล่ะ เอาอุปกรณ์ออกมา!” ไท่อินจื่อกระแอมไอให้คอโล่ง
โจวเสี่ยวคุณเห็นดังนั้น ก็ยกถาดใบหนึ่งไปตรงหน้าเขา บนถาดยังมีผ้าสีขาวคลุมไว้ผืนหนึ่ง ด้านในจะเป็นอะไรนะ
นี่ทำให้เจ้าอ้วนจางและเจ้าล่าลี่ซานสองคนยื่นคอยาวทีเดียว
ไท่อินจื่อโบกมือให้โจวเสี่ยวคุณกลับมายืนตรงตำแหน่งเดิม แล้วถึงได้เปิดผ้าคลุมสีขาวบนถาดออกช้าๆ
ทุกคนยืดคอยาวทันที ในที่สุดอุปกรณ์ก็ปรากฏสู้สายตายามที่ผ้าคลุมบนถาดนั้นถูกเปิดออก
เจ้าอ้วนจางตะลึงทันที เผลอพูดว่า “นี่…ปากกา? แอปเปิล? สับปะรด?”
“ใช่แล้ว!”
ไท่อินจื่อพูดเสียงเข้ม ในมือถือปากกาด้ามหนึ่ง จากนั้นก็หันตัวมากระโดดทีหนึ่ง เขาบิดก้น แล้วก็ร้อง “I have a pen(ฉันมีปากกาหนึ่งด้าม)…”
…
หลังจากวันนี้ PPAP ก็ล้างสมองทุกคนทั้งคุกแห่งนี้…
——————————————
ประกาศจากทีมงาน
เนื่องจากทางธัญวลัยมีการหยุดอัปเดตเรื่องสมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ดเป็นการชั่วคราว
ดังนั้นทาง fictionlog
จะอัปเดตถึงส่วนที่ 7 ตอนที่ 25 ซึ่งเป็นตอนล่าสุดของทางธัญวลัยค่ะ
หากมีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เพิ่มเติม ทางเราจะรีบแจ้งทันทีค่ะ
ขอบคุณค่ะ
ทีมงานนิยาย fictionlog