สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด - ตอนที่ 66 ของสืบทอด
ทันใดนั้นเอง เสียงร้องหวาดกลัวสุดขีดก็ดังขึ้น
เป็นเสียงของผู้ชาย…ผู้ชายสวมแว่นตาที่พิงอยู่ข้างป้ายรถประจำทางคนนั้น
ท่าทางของเขาเหมือนเห็นอะไรน่ากลัวสุดๆ เข้า เขาใช้มือทั้งสองกุมหัวตัวเอง แล้วออกแรงกดอย่างแรง พร้อมกับเปล่งเสียงตะโกนหลายต่อหลายครั้ง
“อ๊า! อ๊า! อย่าเข้ามา! อย่าเข้ามานะ!”
ผู้ชายนั่งยองๆ อยู่บนพื้นด้วยความหวาดกลัว ใบหน้าซีดเผือด เนื้อตัวสั่นระริก
“คุณ คุณ? คุณโอเคไหมครับ? คุณ?”
คนผ่านทางมีน้ำใจเข้ามาตบบ่าของผู้ชายคนนี้แบบหยั่งเชิง อีกทั้งตรงนี้ก็เริ่มดึงดูดคนที่เดินผ่านไปมาให้เข้ามามุงดูกัน…อย่างไร เสียงกรีดร้องแบบกะทันหันนี้ก็น่าตกใจมาก
“คุณครับ?”
“อย่าเข้ามา! ออกไป!”
คาดไม่ถึงว่าผู้ชายที่นั่งยองๆ อยู่คนนี้จะผลักมือของคนผ่านทางออกไปอย่างแรง ราวกับหวาดผวามากกว่าเดิมไม่มีผิด เขาพุ่งชนคนที่มุงดูออกไปอย่างล้มลุกคลุกคลาน
เขาไม่รู้จะไปทางไหน เอาแต่วิ่งหนีอุตลุด ชนคนเดินถนนคนแล้วคนเล่า
ไม่รู้ว่าเขาเห็นอะไรกันแน่ แต่เดาจากใบหน้าบิดเบี้ยวของเขาได้ว่า…เขาหวาดกลัวมาก
“เกิดอะไรขึ้นที่นี่?”
ผู้คนกำลังวิตกกังวล พร้อมกับมองชายประหลาดคนนี้หายไปด้วยความแปลกใจ แต่วินาทีต่อมา คนที่มีท่าทางแปลกๆ อีกคน…ก็เดินมาจากด้านหลัง ก่อนคว้าคนที่มุงมาถามบางอย่าง
เป็นเสียงของผู้ชายในชุดหญิงสาว ถึงผมจะยาว…แต่เสียงพูดเข้มมากๆ
พวกโรคจิตใส่ชุดผู้หญิงเหรอ?
“บอกมา! เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
“มะ เมื่อกี้นี้มีคนแปลกๆ คนหนึ่งอยู่ตรงนี้ ท่ากลัวอะไรสักอย่าง วิ่ง วิ่งไปทางนั้นแล้ว”
“เจ้านั่นใส่แว่นตาหรือเปล่า แล้วมีไฝที่หางตาเม็ดหนึ่งไหม?”
“ผมไม่ได้สังเกตไฝ แต่เขาใส่แว่นอยู่นะ…เอ่อ พี่ชาย เดี๋ยวก่อน เราถ่ายรูปคู่กันหน่อยไหม? ชุดผู้หญิงก็ไม่เป็นไร เจ๋งดี…”
แต่คนประหลาดแต่งหญิงคนนี้ กลับพุ่งตัวออกจากฝูงชนอย่างรวดเร็ว
คนที่มุงดูเริ่มค่อยๆ แยกย้ายกันไป
“ที่นี่เกิดอะไรขึ้น?”
แล้วพี่ชายตัวเล็กผู้มีน้ำใจก็ถูก…อืม ลุงหนวดจิ๋มพุงพลุ้ยวัยกลางคนจับบ่าเอาไว้
“เอ๋ ผมนึกว่ามีคนแต่งหญิงซะอีก …”
“คุณพูดอะไร? ตำรวจ! ขอถามหน่อยครับ คุณเห็นคนใส่ชุดผู้หญิงไหม…”
…
…
ผู้ชายคนหนึ่ง…เฉาอวี้หลบอยู่ในซอกมุมของซอยอันมืดมิด ตัวของเขาสั่นเทามากขึ้น
เหมือนโลกทั้งใบเบื้องหน้าเขาเต็มไปด้วยเงาดำนับไม่ถ้วน…แม้ว่าความจริงแล้ว ข้างหน้าเขาจะมีแค่เงาดำเงาเดียวก็ตามที
สุดท้ายเงาสีดำก็ก่อตัวเป็นรูปร่างคนในชุดคลุมยาวสีดำ
ภูตดำหมายเลขสิบแปดหัวเราะร่า พูดข้างหูเฉาอวี้เบาๆ “ลูกค้าบนโลกนี้มีอยู่นับไม่ถ้วน จะเพิ่มแกหรือขาดแกไปสักคนก็ไม่ต่างไปจากเดิมหรอก…ฉันชอบทรมานพวกนักเวทจริงๆ โดยเฉพาะได้เห็นนักเวทอย่างพวกแกอยู่ในเหวลึกของความสิ้นหวัง ค่อยๆ กลายเป็นบ้า และผิดหวังมากขึ้น…จิ๊ๆๆ…”
“ออกไป! หยุดหัวเราะ! หยุดหัวเราะได้แล้ว!”
เฉาอวี้ออกแรงปิดหูตัวเอง แต่เสียงหัวเราะน่ากลัวบาดหูกลับดังก้องในหัวของเขา
เพื่อขจัดความทรมานที่มาพร้อมกับเสียงหัวเราะนี้ เฉาอวี้จึงกัดฟัน ใช้เล็บมือแทงเข้าไปในหูทั้งสองข้างของตัวเองอย่างบ้าคลั่ง…ซึ่งนั่นก็คือการทำลายเยื่อแก้วหูของตัวเอง!
อ๊า…!
เขากรีดร้องตามสัญชาตญาณ!
“แกนึกว่าแกไม่ได้ยินเหรอ? แกคิดว่าทำแบบนี้แล้วจะไม่ได้ยินเหรอ? ไม่…แกจะได้ยินชัดขึ้น ไม่ใช่แค่ได้ยิน แกยังเห็นมากยิ่งๆ ขึ้นด้วย!”
เขายังสามารถได้ยินเสียงหัวเราะพวกนั้นอย่างชัดเจน
ฉับพลันใบหน้าสุดอัปลักษณ์ของภูตดำหมายเลขสิบแปด ก็เผยรอยยิ้มที่บิดเบี้ยวขึ้นมา “นักเวท ทรมานดีไหมล่ะ? ผิดหวังหรือเปล่า…แต่เทียบกับเศษเสี้ยวความผิดหวังที่ฉันได้รับตอนนั้นไม่ได้หรอก…ฉันสาบานว่าฉันจะฆ่านักเวทที่ฉันพบให้หมด! ถ้าแกยอมหนีไปตั้งแต่ตอนที่ฉันยังให้โอกาส แกคงเอาตัวรอดไปได้สักระยะหนึ่ง เพราะฉันมีภารกิจเลยติดตามแกไม่ได้ แต่แกดันมาหาถึงที่เอง ก็อย่าโทษฉันเลย จิ๊ๆๆ…”
“หยุดหัวเราะเดี๋ยวนี้นะ!”
เขาแทบจะเสียสติไปแล้ว เรื่องที่นึกได้เพียงเรื่องเดียวก็คือ อยากหลุดพ้นจากฝันร้ายนี้…เขาถึงขนาดยอมจ่ายทั้งหมดที่มีเพื่อสิ่งนี้
“ว้าว ความปรารถนาแรงกล้ามากเลยนี่ จิ๊ๆๆ…”
ภูตดำหมายเลขสิบแปดส่ายหัว “น่าเสียดาย ถึงฉันมีผลงานนับไม่ถ้วน แต่ฉันไม่เคยขอวันหยุด…ฉันเอาผลงานทั้งหมดมาแลกกับพลังที่แกร่งกล้าขึ้น…ตัดขาดจากโลกภายนอก! ตราบใดที่ฉันต้องการ ตราบใดที่แกอ่อนแอกว่าฉัน…แกก็อย่าหวังจะย่างกรายไปในสมาคม จิ๊ๆๆ…แกต้องตายไปท่ามกลางความสิ้นหวังเท่านั้น วางใจเถอะ ฉันจะ ‘รักและทะนุถนอม’ แกให้ดีเลย”
“บ้า! แกมันบ้า!”
“ฉันจะให้แกได้เห็นความสิ้นหวังยิ่งกว่านี้อีก…นักเวท เตรียมพร้อมหรือยัง? จิ๊ๆๆ…”
“ฉันไม่ให้แกทำสำเร็จหรอก…อ๊า!”
เฉาอวี้หัวเราะเยาะ…เขาสิ้นหวังจนคิดหาทางออกไม่ได้แล้ว เขารู้ดีว่าตัวเองหนีไม่พ้นจากเงื้อมมือของแม่มดเฒ่าตัวนี้แน่ แต่เขาก็ไม่อยากให้ตัวเองจมอยู่กับความสิ้นหวังต่อไป
อีกทั้งเขายังไม่อยากให้อีกฝ่ายได้ใจเกินไป…จึงเลือกฆ่าตัวตาย!
มีดเล่มหนึ่งแทงทะลุหัวใจเขาเองอย่างแม่นยำ เฉาอวี้แสยะยิ้มท่ามกลางเลือดสดๆ ที่รินไหล “ฉัน…จะไม่…ให้แก…สมหวัง…”
ภูตดำหมายเลขสิบแปดแสยะยิ้ม “นักเวทโง่เง่า แกคิดว่าอยากตายก็ตายได้งั้นเหรอ? ลองดูสิว่าสิ่งนี้คืออะไร?”
ภูตดำหมายเลขสิบแปดแหวกชุดคลุมสีดำของตัวเองออกเบาๆ ระหว่างที่แหวกทั้งซ้ายและขวา ก็เห็นว่าข้างใต้ผ้าคลุมนั้นไม่มีร่างกาย แต่กลับมีใบหน้าบิดเบี้ยวเบียดกันมากมายนับไม่ถ้วน…ความผิดหวังฉายชัดเต็มใบหน้า!
เฉาอวี้ถอยด้วยสภาพไร้เรี่ยวแรงจนชิดกำแพง ก่อนค่อยๆ ไถลตัวลงไป ตรงหัวใจที่ถูกแทงมีเลือดไหลออกมาไม่หยุด ชีวิตของเขาผ่านไปรวดเร็วเหมือนสายน้ำ เขารู้ว่าใบหน้าที่ปรากฏอยู่ในร่างกายเงามืดนี้ …เป็นตัวแทนของอะไร!
วิญญาณ…วิญญาณหลายดวง!
คาดไม่ถึงว่าแม่มดที่น่ากลัวและบ้าระห่ำคนนี้ สะสมดวงวิญญาณไว้ในร่างกายตัวเอง เพื่อทรมานวิญญาณพวกนี้ทุกคืนวัน!
“พวก…เขา…เป็น…นัก…เวท…ทั้ง…หมด” เฉาอวี้รู้สึกหนาวสะท้าน หนังตาหนักอึ้ง
“ถูกต้อง รางวัลเพียงอย่างเดียวก็คือ…” ดวงตาทั้งสองของภูตดำหมายเลขสิบแปดทอประกายของปีศาจ “แกจะกลายเป็นหนึ่งในพวกมัน จิ๊ๆๆ…”
พูดจบ ภูตดำหมายเลขสิบแปดก็ปล่อยมือจากชุคลุมสีดำของตัวเอง แล้วค่อยๆ เดินไปข้างตัวเฉาอวี้ ยื่นมือออกมา คิดจะกดไปบนหน้าผากของเขา
“อย่าขยับ! ยกมือขึ้น!”
หวังเย่ว์ชวนยกปืนพกขึ้นมา ยืนอยู่ด้านหลังของภูตดำหมายเลขสิบแปดในระยะไม่ถึงสองเมตร…ถึงมีแสงไม่พอ แต่เขาก็ยังเห็นท่าทางของเฉาอวี้บนพื้นได้ชัดเจน…รวมถึงตัวประหลาดในชุดคลุมสีดำตรงหน้าด้วย
ถึงเขามองไม่เห็นหน้าตรงๆ ของคนในชุดคลุมสีดำคนนี้ แต่เขาก็ตัดสินสถานการณ์ตรงหน้าได้ไม่ยาก…คนในชุดคลุมสีดำคนนี้ น่ากลัวว่าเพิ่งจะทรมานเฉาอวี้คนที่เขาตามจับมาตลอดปีกว่าจนหมดสภาพ!
“พวกไม่กลัวตายมาอีกคนแล้ว” ภูตดำหมายเลขสิบแปดไม่ได้หันหน้าไป ข้างหลังเธอเป็นเพียงแค่มนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง ไม่ได้มีพิษมีภัยต่อเธอเลย
เธอไม่ยอมให้ใครมาขัดจังหวะ ‘อารมณ์สนุกสนาน’ ของตัวเธอหรอก
“ผมบอกคุณว่าอย่าขยับ! หันหน้าเข้ากำแพง ได้ยินไหม?” หวังเย่ว์ชวนพูดอย่างเฉยเมย “คุณหนีไม่พ้นหรอก การจับกุมคงไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีเท่าไร”
“แกนึกว่า ลำพังของที่อยู่ในมือแกจะรับมือฉันได้หรือ? มนุษย์โง่เง่า” ภูตดำหมายเลขสิบแปดเอียงคอเล็กน้อย พลางโบกมือช้าๆ
ลำแสงสีม่วงก่อตัวเป็นรูปร่างกลางฝ่ามือในชุดคลุมสีดำ
ไม่นาน เสียงฝีเท้าหนักแน่นอีกเสียงก็ดังขึ้นในซอยนี้…อีกทั้งยังมีเสียงหายใจหอบ
“แม่งเอ๊ย ตามมาถึงที่นี่จนได้…เกิดเรื่องอะไรขึ้นที่นี่?”
คนที่วิ่งหอบเข้ามาไม่ใช่ใครอื่น เห็นได้ชัดว่าเป็นนายตำรวจเซอร์หม่าที่วิ่งตามหามาตลอดทาง
พอเขาเห็นสภาวะแวดล้อมรอบที่เกิดเหตุ ก็รีบควักปืนพกที่เหน็บไว้ตรงเอวออกมาทันที พร้อมกับจ่อไปทางคนในชุดคลุมสีดำตรงหน้า “แม่งเอ๊ย นี่จะทำ ทำอะไรน่ะ! อย่าขยับ! อยู่นิ่งๆ! ผมคือหม่าโฮ่วเต๋อจากสถานีตำรวจประจำเมือง! ผมขอจับกุมคุณ!”
“ได้ ฉันไม่ขยับหรอก คุณอย่ากลัวไปเลย…”
ถึงเซอร์หม่าไม่เข้าใจว่าที่นี่เพิ่งเกิดอะไรขึ้น แต่เขาคิดไม่ถึงว่าคนในชุดคลุมสีดำตรงหน้าจะว่าง่ายแบบนี้…อีกทั้ง เสียงยังเหมือนคนแก่อีกด้วย?
ไม่ใช่แค่หม่าโฮ่วเต๋อ หวังเย่ว์ชวนเองก็ประหลาดใจเอามาก… คาดไม่ถึงว่าปฏิกิริยาก่อนหน้าและต่อมาของคนแปลกๆ จะเปลี่ยนไปราวฟ้ากับเหว
อีกฝ่ายยังยกมือขึ้นสูง ท่าทางไม่คิดจะต่อต้านอย่างไรอย่างนั้น
ภูตดำหมายเลขสิบแปดจำต้องประนีประนอม…เธอเป็นทูตภูตดำเพียงคนเดียวที่เคยถูกส่งตัวให้ไปประกบคุ้มกันรองบรรณาธิการสักคน ตามเข้าตามออกทุกคืนวัน เธอจะไม่รู้สถานะของเซอร์หม่าผู้นี้ได้หรือ…
เธอจัดการหวังเย่ว์ชวนได้ แต่หม่าโฮ่วเต๋อกลับไม่ใช่คนที่เธอแตะต้องสุ่มสี่สุ่มห้าได้
ภูตดำหมายเลขสิบแปดมองเฉาอวี้อย่างไม่ใส่ใจแวบหนึ่ง…ยังไงเจ้านี่คงไม่รอดแล้ว ตอนนี้มาคิดดู ถึงจะเอาวิญญาณเขามาทรมานต่อไม่ได้…แต่ก็ช่างเถอะ ยังไงก็ทรมานมามากพอแล้ว แถมยังไม่ใช่นักเวทสายเลือดแท้ เป็นเพียงพวกพันทางเท่านั้น…เธอจะถือว่ากินอาหารจานด่วนสักมื้อก็แล้วกัน
“เอาหน้าไปแนบกำแพง!” หม่าโฮ่วเต๋อพูดสั่งเสียงดัง
“ฉันจะทำตามที่คุณสั่ง” ภูตดำหมายเลขสิบแปดตอบรับแบบไม่แยแส แล้วเอาหน้าแนบกับกำแพงด้านหนึ่งอย่างเชื่อฟัง
แต่ในเสี้ยววินาทีนี้เอง จู่ๆ เธอก็สะบัดชุดคลุมสีดำบนตัวเธอ จากนั้นก็หายตัวไปทันที เห็นเพียงของบางอย่างตกลงบนพื้นดังป้าบ พร้อมกับควันจำนวนมากกระจายตัวออกมา
“แม่งเอ๊ย ระเบิดควัน! เพื่อนร่วมงานหวังอย่ายิง อย่าให้คนอื่นโดนลูกหลง! เพื่อนร่วมงานหวัง!”
“เลิกตะโกนได้แล้ว ผมอยู่ตรงนี้”
หม่าโฮ่วเต๋อโบกมือปัดควันอย่างแรง เขาเห็นรางๆ ว่าหวังเย่ว์ชวนกำลังนั่งยองๆ อยู่บนพื้น พอรอให้ควันกระจายตัวไปอีกหน่อย เขาก็เห็นสถานการณ์ชัดเจนยิ่งขึ้น จึงย่อตัวลงไปบนพื้น แล้วหยิบกระป๋องใบหนึ่งขึ้นมา
เป็นแค่…โค้กธรรมดากระป๋องหนึ่งเท่านั้น
“แม่เอ็งสิ ระเบิดควัน? นี่มันรุ่นไหนกันวะเนี่ย? เทคโนโลยีใหม่ล่าสุด?” เซอร์หม่าจำได้แม่นว่า ของที่คนแก่ในชุดคลุมสีดำเพิ่งทิ้งลงบนพื้นก็คือเจ้าสิ่งนี้
หม่าโฮ่วเต๋อออกแรงเขย่ากระป๋องเปล่าในมือ…เป็นแค่กระป๋องจริงๆ?
“นายตำรวจหม่า เรียกรถพยาบาลเดี๋ยวนี้” หวังเย่ว์ชวนรีบพูดสั่งทันที
พอหม่าโฮ่วเต๋อเห็นผู้ชายที่หวังเย่ว์ชวนพยุงอยู่มีมีดเล่มหนึ่งปักอยู่กลางอก ก็รีบพยักหน้ารับทันที
เฉาอวี้หายใจแผ่วเบาแล้ว แต่บนใบหน้าเขากลับมีรอยยิ้มประหลาด…ราวกับหลุดพ้นแล้วอย่างไรอย่างนั้น
“เฉาอวี้! คุณคือเฉาอวี้ใช่ไหม! ตอบผมมา!” หวังเย่ว์ชวนถามด้วยเสียงหนักแน่น
เขาเห็นชัดเจนว่าหูทั้งสองของชายสวมแว่นตามีเลือดไหลด้วยเช่นกัน เหมือนว่าเยื่อแก้วหูฉีกขาดแล้ว แต่เขาไม่มีเวลามาใส่ใจเรื่องนี้ “หนึ่งปีก่อน! ใช่คุณไหม! บอกผมด้ไหม คุณใช้วิธีไหนล่อลวงคนพวกนั้นให้กระทำผิดกฎหมายกันแน่! เป้าหมายของคุณคืออะไร! บอกผมมา!”
เฉาอวี้ลืมตาขึ้นน้อยๆ เขาไม่ได้ยินคำพูดของหวังเย่ว์ชวน แต่แค่เห็น…เขาก็เดาออกว่าหวังเย่ว์ชวนอยากพูดอะไร
“คุณ…ตามหาผมพบ…แล้ว…” เสียงของเฉาอวี้เบาลงเล็กน้อย “คำตอบ…คำ คำตอบ…คุณจะ…จะเป็น…ผม…คนต่อไป…คุณจะ…จมไปใน…ความมืด ความมืดมิดจะ…กลืนกิน…คุณ…”
ในขณะที่พูด สายตาของเฉาอวี้ก็ลดต่ำลงไปมองร่างกายของตัวเองเล็กน้อย
หวังเย่ว์ชวนคลำไปตามสายตาเขาทันที ก่อนล้วงไปในชุดของเฉาอวี้…เขาเจอหนังสือเล่มหนึ่ง
“หมายความว่ายังไง? นี่คืออะไรอีก? บอกผมสิ!” หวังเย่ว์ชวนดึงสติกลับมา…ทันทีที่หนังสือเล่มนี้มาอยู่ในมือเขา ก็ให้หัวใจเขาเต้นแรงขึ้นทันที
“บอกผมมาสิ!”
เขาเขย่าไหล่ของเฉาอวี้อย่างแรง แต่เขากลับไม่ได้ยินเสียงของเฉาอวี้อีกแล้ว
“เขาตายแล้ว”
หม่าโฮ่วเต๋อย่อตัวลงมา ยื่นมือไปเช็กลมหายใจของเฉาอวี้ ก่อนแตะชีพจรตรงข้อมือ เขาส่ายหน้าพูดอย่างจนใจว่า “ตายแล้ว”
เซอร์หม่าดึงสติได้ทันที
เขาเอาแต่คิดว่า ถึงเจ้านี่จะตายไปแล้ว แต่รอยยิ้มบนใบหน้าร้ายกาจเลยทีเดียว เหมือนได้สั่งเสียอะไรก่อนตายอย่างนั้น
…
…
หน้าซอยถูกรั้วกั้นเอาไว้ ศพของเฉาอวี้ยังนอนนิ่งอยู่บนพื้น เพื่อรอให้คนจากสถานีตำรวจมาเก็บหลักฐาน เซอร์หม่าสูบบุหรี่ แล้วเดินไปข้างตัวหวังเย่ว์ชวน…ตามจับเจ้านี่มาปีกว่า แต่คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายจะลงเอยแบบนี้ คงไม่มีอารมณ์ทำอะไรแล้วล่ะมั้ง
หวังเย่ว์ชวนยืนพิงกำแพงในซอย
“นี่คือเฉาอวี้เหรอ…ตายแบบไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด” หม่าโฮ่วเต๋อใช้เรื่องนี้เป็นหัวข้อพูดคุย ก่อนเอ่ยปากพูดอย่างสงสัย “ผู้หญิงแก่…เมื่อกี้นี้เป็นใครกันแน่? ทำไมเธอต้องฆ่าเฉาอวี้? คุณรู้ต้นสายปลายเหตุหรือเปล่า? มีเรื่องอะไรที่คุณยังไม่ได้บอกหรือเปล่า?”
เซอร์หม่าสงสัยก็ไม่แปลก…เพราะนอกจากเฉาอวี้แล้ว เขาก็ไม่รู้ว่าหญิงชราประหลาดคนนั้นเป็นใคร
จะว่าไป ใส่ชุดคลุมสีดำวิ่งไปตามถนนที่คนแน่นขนัด จะไม่เป็นเป้าสายตาของผู้คนจริงๆ เหรอ? ถามคนแถวนี้คงมีคนคุ้นบ้าง
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน” หวังเย่ว์ชวนส่ายหัว “อาจจะเป็นคู่อริของเฉาอวี้ เห็นๆ อยู่ว่าเฉาอวี้ถูกทรมาน แต่ก็ยังไม่แน่…เสียดายที่เขาตายแล้ว ไม่อย่างนั้นผมคงงัดปากเขาถามไปแล้ว”
“อ้อ…” หม่าโฮ่วเต๋อยักไหล่ แล้วถามด้วยหน้าตาสงสัย “นี่คืออะไร?”
ของที่หวังเย่ว์ชวนถือเอาไว้ในมือ เป็นของที่เขาได้มาจากเฉาอวี้อีกที… นั่นก็คือหนังสือที่ห่อปกหนาเล่มหนึ่ง?
“ผมก็ไม่รู้” หวังเย่ว์ชวนส่ายหน้า แล้วถือโอกาสเปิดหนังสือเล่มนี้ดู “คุณรู้จักตัวหนังสือประเภทนี้ไหม?”
“ผมรู้แค่ตัวอักษรยี่สิบหกตัว” หม่าโฮ่วเต๋อเอาหนังสือมาดู แล้วพูดอย่างจริงจังว่า “พวกนี้เหมือนไส้เดือนเลยนี่…ให้เวลาผมหน่อย ผมรู้จักอาจารย์มหา’ลัยหลายคน”
“ให้ผมจัดการเองเถอะ” หวังเย่ว์ชวนพูดเสียงเรียบเฉย แล้วเอาหนังสือกลับมาอย่างเฉยชา
เซอร์หม่าได้แต่ยักไหล่
เดิมทีเฉาอวี้ก็คือคนที่หวังเย่ว์ชวนตามจับอย่างลับๆ ส่วนเซอร์หม่าแค่รับผิดชอบคดีจ้าวหรู ตอนนี้จ้าวหรูกลับมาเพื่อยุติคดีแล้ว เธอบาดเจ็บสาหัสนอนอยู่ที่โรงพยาบาล เขาก็ถือว่าทำงานสำเร็จแล้ว
ในที่สุดก็กลับบ้านไปกินแกงที่ภรรยาทำได้แล้ว
โทรศัพท์ของเซอร์หม่าดังขึ้นขัดจังหวะความสุขของเขา
“อะไรนะ จ้าวหรูหายไปอีกแล้ว?”