สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด - ตอนที่ 60 ก่อนหน้านี้นานมาแล้ว
นี่เป็นครั้งที่สองที่เซอร์หม่ากับหวังเย่ว์ชวนได้พบเด็กสาวม.ปลายตรงหน้าคนนี้
เห็นได้ชัดว่าเธอหวาดกลัวกว่าครั้งที่แล้ว
ตอนที่เธอแจ้งความครั้งแรก คือหลังจากที่เธอได้รับจดหมายข่มขู่ครั้งแรก นับครั้งนี้ก็เป็นครั้งที่สามแล้ว
“ครั้งนี้ก็ยังได้รับที่โรงเรียนงั้นเหรอ?” หม่าโฮ่วเต๋อมองนักเรียนพลางขมวดคิ้วถาม
เธอได้แต่พยักหน้าอย่างหวาดกลัว…ไม่กล้าแม้แต่บอกพ่อแม่ของตัวเอง
ตั้งแต่สถาบันสอนพิเศษปิดทำการ ไม่ใช่แค่เธอเท่านั้น นักเรียนคนอื่นก็พอเดาเรื่องบางอย่างได้ไม่มากก็น้อย ตั้งแต่ช่วงนั้นมา พวกนักเรียนที่รู้จักกันก็พยายามพูดกันให้น้อย
“คุณตำรวจ! ได้ยินมาว่า…พวกที่โดดตึกก่อนหน้านี้ถูก…คุณตำรวจ หนูไม่อยากตาย ช่วยหนูด้วย! หนูสำนึกผิดแล้ว ได้โปรด หนูสำนึกผิดแล้ว!”
“อย่าเพิ่งกังวลไป พวกเราจะดูแลความปลอดภัยของเธอเอง” หม่าโฮ่วเต๋อพูดเสียงเข้ม “หลังจากพวกเราเจอกันเมื่อครั้งที่แล้ว ฉันก็ให้คนคอยคุ้มกันเธออยู่ลับๆ ถ้ามีคนร้ายเข้าใกล้เธอ เขาก็จะถูกจับทันที เรื่องนี้เธอวางใจได้”
แต่นักเรียนหญิงกลับพูดแบบวิตก “แต่…แต่ทำไมของแบบนี้ยังส่งมาที่โรงเรียน…”
นี่คือก็จุดที่เซอร์หม่าค่อนข้างอับจนหนทาง
จดหมายข่มขู่ส่งไปที่ประตูโรงเรียนโดยตรงผ่านทางไปรษณีย์ แต่พวกเขาติดต่อไปรษณีย์แล้ว ตรงเคาน์เตอร์ไม่มีภาพวิดีโอของจ้าวหรูเลย…พูดได้เพียงว่า เธอส่งผ่านทางตู้ไปรษณีย์
แต่ปัญหาคือ พวกเขาให้คนจับตาดูตู้ไปรษณีย์นั้นตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงแล้ว ทว่าคนมาส่งของที่ตู้ก็เยอะทุกวัน แยกแยะไม่ได้แล้วว่าใครเป็นใคร…อีกอย่าง หากให้เข้าไปถามทุกคนที่มาส่งจดหมาย นั่นก็เพียงแค่แหวกหญ้าให้งูตื่นเท่านั้น
“เธออยากแก้ไขเรื่องนี้ไหม?” หวังเย่ว์ชวนถามขึ้นทันที
เด็กสาวมัธยมปลายอึ้ง
เธอเจอตำรวจคนนี้เป็นครั้งที่สองแล้ว ใบหน้าแสนเย็นชา…แต่ก็หล่อเหลามากเช่นกัน ครั้งที่แล้วเขาไม่ได้พูดอะไรเลย เพียงแค่รับฟังเท่านั้น ทว่าครั้งนี้กลับเป็นฝ่ายเปิดปากถามก่อน
เธอมองหวังเย่ว์ชวน แล้วพยักหน้าอย่างเผลอไผล…ใบหน้าที่ทั้งเย็นชาและหล่อเหลานี้ทำให้เธอกระวนกระวาย เมื่อเทียบกับนายตำรวจหม่าที่อยู่ข้างๆ ชายกลางคนหนวดเฟิ้มพุงพลุ้ยคนนี้ดูจะน่าเชื่อถือกว่า?
“งั้นเธอช่วยอะไรอย่างสิ” หวังเย่ว์ชวนพูดอย่างเฉยเมย “ฉันอยากให้เธอช่วยจัดฉาก…ฆ่าตัวตาย”
…
หม่าโฮ่วเต๋อไม่ได้พูดตรงๆ กับหวังเย่ว์ชวนต่อหน้าสาวมัธยมปลายคนนี้
แต่หลังจากส่งเธอกลับไปแล้ว หม่าโฮ่วเต๋อถึงได้ขมวดคิ้วพูดว่า “เพื่อนร่วมงานหวังเย่ว์ชวน ผมว่าคุณไปกันใหญ่แล้ว! คุณให้นักเรียนทำเรื่องแบบนี้ได้ยังไง! มันอันตรายมากนะคุณ!”
“หากยังจับตัวคนไม่ได้ นักเรียนคนอื่นก็จะอันตรายเหมือนกัน” หวังเย่ว์ชวนพูดอย่างเฉยเมย “วันนี้เป็นเธอ พรุ่งนี้ก็จะเป็นอีกคน รายชื่อนักเรียนในข้อมูลชุดนั้นไม่ได้มีแค่คนเดียว แต่ถ้ายินยอมให้ความร่วมมือตอนนี้ก็จะมีแค่คนเดียว”
“ที่ว่ามาก็จริง!”
แต่หม่าโฮ่วเต๋อก็ยังไม่เห็นด้วย “แต่คุณรับประกันได้หรือ ว่าจ้าวหรูจะไม่ซ่อนตัวอยู่แถวนั้น? ทุกครั้งเธอบังคับให้นักเรียนฆ่าตัวตายก็จริง แต่ถ้าหากครั้งไหนเลิกขู่ แต่เปลี่ยนมาลงมือด้วยตัวเองแทนล่ะ? เพื่อนร่วมงานหวังเย่ว์ชวน! คุณรู้ไหม? แค่ครั้งเดียว! ก็เป็นอันตรายต่อชีวิตคนคนหนึ่งแล้ว!”
“เธอแค่รับผิดชอบโต้ตอบเท่านั้น”
หวังเย่ว์ชวนพูดอย่างเฉยเมยว่า “จากข้อมูลก่อนหน้านี้แสดงให้เห็นว่า จดหมายข่มขู่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ก่อนที่จิตใจของผู้ได้รับจะกระเจิดกระเจิงไป ก็จะได้รับคำสั่งให้ฆ่าตัวตาย…พอได้คำสั่ง คนที่จะขึ้นไปบนดาดฟ้าก็คือผม”
…
คนเก็บขยะแต่ละคนล้วนมีที่เก็บขยะของใครของมัน…จะพูดแบบจริงจังละก็ เหมือนเป็นเขตอิทธิพลอย่างไรอย่างนั้น
ที่นี่ก็เป็น ‘เขตอิทธิพล’ เขตหนึ่งของลุงม่าย
“วันนี้ลังกระดาษเยอะขนาดนี้เชียวหรือ?” เหล่าม่ายดีใจเล็กน้อย
พนักงานที่พาเหล่าม่ายมาที่นี่ก็ตอบสบายๆ “อืม วันนี้มีคนมาฉีกพัสดุไปรษณีย์ทิ้งไว้ที่นี่เยอะไปหมด อ้อ จริงสิ ข้างในมีเศษกระดาษที่ใช้ห่อของอยู่ส่วนหนึ่ง พวกเราไม่ต้องการแล้ว ลุงลองดูว่าจะเก็บอะไรกลับไปก็แล้วกัน”
“โอ้ ได้สิ”
พูดจบเหล่าม่ายก็ตบหลังหลานของตัวเองเบาๆ…นี่เป็นระหว่างทาง ที่เขาเพิ่งรับหลานกลับมาจากโรงเรียน
“เสี่ยวจวิน หลานไปรอตรงนั้นก่อน เดี๋ยวปู่ทำเสร็จจะกลับไปนะ!”
ม่ายเสี่ยวจวินเดินออกไปอย่างระริกระรี้ โดยปกติแล้วจะผ่านที่นี่ทุกวัน ม่ายเสี่ยวจวินหันไปมองปู่ของตัวเองแวบหนึ่ง ก่อนใส่จดหมายฉบับหนึ่งลงไปข้างในตู้ไปรษณีย์ด้านนอกประตูโดยอาศัยช่วงที่ปู่ไม่ได้สังเกต
พี่เสี่ยวหรูบอกไว้แล้ว ว่าอย่าให้ใครรู้เข้า…จากนั้น จะเลี้ยงเวเฟอร์ช็อกโกแลตเขาสองชิ้นทุกวัน!
…
…
ตอนพลบค่ำ…ค่ำแล้วหรือนี่?
เหล่าเฝิงตื่นขึ้นมา ก็พบว่าตอนนี้ท้องฟ้ามืดลงเสียแล้ว เห็นได้ชัดว่าแสงที่ลอดเข้ามาจากนอกหน้าต่างนั้น ไม่เพียงพอให้เขาทำงานในมือได้อีกต่อไป
เขาถอดแว่นออก แล้วขยี้ตาอย่างแรง บนเคาน์เตอร์ที่อยู่ตรงหน้า เขาเย็บชุดแต่งงานสไตล์จีนเรียบร้อยแล้ว บนเสื้อยังปักหงส์ตัวหนึ่งไว้ด้วย
แต่เขายังต้องปักหงส์อีกหลายตัว รวมถึงลายเมฆมงคลและรูปอื่นๆ อีก
ที่เสียเวลาจริงๆ ก็คือรูปพวกนี้
เหล่าเฝิงกำลังคิดจะเปิดไฟ แต่กลับได้ยินเสียงเคาะประตูเบาๆ…ทำให้หัวใจเหล่าเฝิงเต้นแรงขึ้นทันที
ที่นี่เงียบสงัด ตึกนี้ไม่มีใครอาศัยอยู่นอกจากเขา…แล้วใครจะมาหาเขา?
เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่โจวจื่อเหา เพราะยังไม่ถึงเวลานัด
เหล่าเฝิงไม่ได้ทำเสียงดัง แต่ค่อยๆ เดินย่องไปใกล้รูเล็กหน้าประตู เพื่อสังเกตดูว่าคนนอกประตูเป็นใครกันแน่
เป็น…เจ้าของร้านคนนั้น!
เหล่าเฝิงลังเลอยู่สักพัก แต่สุดท้ายก็ยังเลือกเปิดประตู ในความเห็นของเขา หากเจ้าของร้านลึกลับคนนี้อยากเข้ามาจริงๆ ก็คงไม่ใช่เรื่องยากอะไร
แต่…แต่ทำไมเขาถึงมาที่นี่ได้?
เหล่าเฝิงไม่เคยอยากเห็นใบหน้าใต้หน้ากากประหลาดของเจ้าของร้านลึกลับเลย แล้วก็ไม่อยากรู้ด้วยว่าเขาเป็นใครกันแน่ แต่เขากลับอยากรู้ว่า “คุณ…คุณมาหาผม?”
“นอกจากลุงแล้ว ก็ไม่มีใครอาศัยอยู่ที่นี่แล้วล่ะมั้ง?” เจ้าของสมาคมพูดเสียงเบา “ผมแค่มาติดตามผลหลังการแลกเปลี่ยน วางใจได้ครับ แค่มาดูเท่านั้น…จริงสิ คุณลุงกินข้าวหรือยังครับ? ผมเอาของกินมาฝากคุณนิดหน่อย”
เหล่าเฝิงปล่อยให้เขาเดินเข้ามา
ในมือของเจ้าของสมาคมคนนี้ถือกล่องอาหารไว้กล่องหนึ่งจริงๆ แล้วเหล่าเฝิงก็ได้กลิ่นคุ้นเคยโชยมา
เจ้าของร้านลั่วมองด้านในห้องรับแขกแวบหนึ่ง แล้วก็เห็นเหล่าเฝิงใจลอยหลังได้กลิ่นอาหาร จึงพูดเสียงเรียบเฉยว่า “นี่คือบะหมี่เตาเซียวเมี่ยน* ซื้อมาจากร้านบะหมี่ใต้ตึกไม่ไกลจากที่นี่ เพื่อนบ้านแถวนี้บอกว่า หลายปีมานี้รสชาติอร่อยไม่เปลี่ยนเลยล่ะครับ”
“ร้านนั้นเหรอ…” เหล่าเฝิงทำหน้านึกย้อน แล้วจึงพยักหน้า “อืม ตอนที่ผมย้ายมาที่นี่ มันก็อยู่ตรงนี้แล้ว เมื่อก่อนนะ ตอนที่ยุ่งไม่มีเวลากินข้าวก็จะไปสักรอบ”
สองคนพ่อลูก
เหล่าเฝิงนึกถึงเรื่องก่อนหน้านี้นานมาแล้ว “จะว่าไป ตอนที่ลูกสาวเจ้าของร้านบะหมี่ร้านนั้นแต่งงานออกไป ก็มาตัดเสื้อกับผม”
เหล่าเฝิงหันไปมองรูปเก่าๆ ที่เขาติดไว้บนกำแพง
นั่นเป็นช่วงเวลาที่ดีมากทีเดียว
“พวกเธอยิ้มสวยมากเลยครับ” ลั่วชิวเดินไปข้างๆ เหล่าเฝิง “เล่าเรื่องพวกเธอให้ผมฟังหน่อยได้ไหม?”
“เล่าเรื่อง?” เหล่าเฝิงตะลึง
ลั่วชิวพยักหน้า พร้อมกับรอยยิ้มเล็กน้อย “ถือว่าเป็นค่าอาหารมื้อนี้แล้วกันครับ ผมเลี้ยงคุณลุงเอง คุณลุงเล่าเรื่องพวกเขาให้ผมฟังหน่อย แน่นอนแค่เวลาที่กินข้าว ผมไม่ถ่วงเวลาคุณลุงหรอกครับ”
อาจด้วยกลิ่นหอมหวนของบะหมี่ยามเมื่อครั้งวันวาน
หรือบางทีเขาคงเหงา จึงอยากหาเพื่อนคุย
ยังไงเวลากินข้าวมื้อเดียวก็ไม่ได้นานนัก
เหล่าเฝิงพยักหน้า “ได้สิ คุณอยากฟังเรื่องไหน?”
“อืม…คนนี้เป็นยังไงครับ?” เจ้าของร้านลั่วชี้รูปภาพบนกำแพงนั้นราวกับเลือกสุ่ม
ผู้หญิงคนนั้นมีใบหน้ายิ้มแย้มอบอุ่น
เหล่าเฝิงเดินไปตรงเคาน์เตอร์ทำงาน แล้วก็สวมแว่นเข้าไปใหม่ จากนั้นก็ดึงรูปภาพลงมาพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วนใต้แสงโคมไฟ ก่อนพยักหน้า “อืม ผู้หญิงคนนี้ ฉันคุ้นอยู่นิดหน่อย อ้อ…ฉันนึกออกแล้ว ฉันจำสามีของเธอได้”
เหล่าเฝิงถอนหายใจ “เป็นความทรงจำที่ลึกซึ้งมาก”
ลั่วชิวถามอย่างประหลาดใจ “จริงหรือครับ เพราะอะไร?”
เหล่าเฝิงฝืนยิ้มแล้วพูดว่า “ฉันถูกสามีของเธอจับตัวไป เรื่องนี้จะลืมได้ยังไงล่ะ? คุณ…คุณไม่ได้รู้อยู่ก่อนแล้ว ถึงเลือกรูปใบนี้เหรอ?”
ลั่วชิวส่ายหัว…เขาแค่มาฟังเรื่องเล่าธรรมดาๆ เท่านั้นเอง
เรื่องราวของแม่แท้ๆ ของเขาคนหนึ่งที่เคยเกิดขึ้นที่นี่
“ในเมื่อมันทำให้คุณลุงนึกถึงเรื่องทุกข์ใจ งั้นเลือกรูปอื่นก็ได้ครับ”
“ไม่ต้องๆ”
เหล่าเฝิงส่ายหัว เขาค่อยๆ นั่งลง “ผมบอกแล้วไง ทำผิดก็ต้องรับกรรม ไม่เคียดแค้นใครหรอก…เรื่องที่ผมทำผิดทรมานผมมาหลายสิบปีแล้ว จับผมไปเป็นการช่วยให้หลุดพ้นด้วยซ้ำ ในเมื่อคุณอยากฟัง งั้นผมก็จะเล่าให้คุณฟัง”
“ว่ามาเลยครับ” ลั่วชิวเทน้ำให้เหล่าเฝิงแก้วหนึ่ง
ชายแก่เหมือนได้รับความโปรดปรานอย่างน่าประหลาด แต่ก็ไม่กล้าดื่มลงไป คิดอยู่สักพักแล้วถึงพูดว่า “อืม…ผมลืมชื่อไปแล้ว แต่ผมจำได้ว่า วันนั้นสองสามีภรรยามาด้วยกัน แล้วยังอุ้มลูกมาด้วยคนหนึ่ง น่าจะเพิ่งเกิดได้ไม่นาน”
“ลูก?” ลั่วชิวตะลึง
เหล่าเฝิงพยักหน้า “เหมือนเพิ่งจะคลอดลูกได้ไม่นาน ได้ยินผู้ชายคนนั้นเล่าว่า ตัวเขายุ่งจนไม่มีเวลา ไม่ได้จัดงานแต่งอย่างเป็นทางการ ก็เลยตั้งใจมาตัดชุดแต่งงานที่นี่ เพราะอยากจะชดเชยให้เต็มที่ ไม่ค่อยมีใครพาลูกมาตัดชุดแต่งงานด้วยแบบนี้หรอก ผมก็เลยจำได้แม่น”
…
“…เด็กคนนั้นว่าง่ายมาก ไม่ร้องไห้เลย”
“อืม…ครั้งหนึ่ง ตอนที่ผู้หญิงคนนี้พาลูกมาลองชุด เด็กคนนั้นตกลงมาจากเก้าอี้…อืม โซฟาตัวนี้แหละ แม่ของเขาตกใจมาก แต่เขากลับไม่ร้องไห้เลยสักแอะ”
“ขอนึกแป๊บหนึ่งนะ จริงสิ ผู้หญิงคนนั้นชอบติดกิ๊บสีฟ้ารูปผีเสื้อ …”
ลั่วชิวฟังอยู่เงียบๆ ไม่ได้เอ่ยปากพูด เขาคิดว่าเหล่าเฝิงนึกย้อนได้มากขนาดนี้ เหล่าเฝิงคงไม่ได้เกลียดใครจริงๆ
แล้วเขายังรู้ว่า…
เขาก็เคยมาที่นี่
ก่อนหน้านี้นานมาแล้ว นานมากแล้ว
*เตาเซียวเมี่ยน ก๋วยเตี๋ยว ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของซานซี