สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด - ตอนที่ 53 จากนี้ฉันคือลูกพี่ของที่นี่
ชายร่างกำยำกว่าคนทั้งหมดนี้ยืนกอดอกรออยู่หน้าห้องกิจกรรม
ถึงแม้ไม่ได้เป็นคนควบคุมที่นี่ แต่ชายร่างสูงกำยำตรงหน้าคนนี้ก็แทบจะอยู่ในสถานะเช่นนี้ไปแล้ว
หน้าด้านซ้ายของเจ้าอ้วนจางยังมีรอยแผลเป็นรอยหนึ่ง ส่วนแขนก็ล่ำสันกว่าขาอ่อนของพวกนักโทษคนอื่นเล็กน้อย
“ไอ้เด็กเมื่อวานซืน ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ คิดว่าฉันหาเรื่องได้ง่ายเหรอ?”
ไท่อินจื่อไม่ขยับ เขายกแก้วน้ำขึ้นมาอย่างสำราญใจ แล้ววางมาดเม้มปาก โดยไม่มองอีกฝ่ายตรงๆ
เจ้าอ้วนจางหัวเราะเยาะ แล้วถึงได้เดินเข้ามา…ไม่ได้มีเขาแค่คนเดียวเพียงลำพัง ข้างหลังเขายังมีพวกร่างกายกำยำและหนุ่มแน่นติดตามอยู่อีกสามคน ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือล่าลี่ซาน
พวกคนที่อยู่ตรงหน้าเดินเข้ามาอย่างดุดัน โจวเสี่ยวคุนรีบโบกมือแล้วพูดว่า “ลูกพี่จาง เรื่องก็ผ่านมาแล้ว ค่อยๆ คุยกันดีกว่า…ช่วงนี้พี่ชายผมอารมณ์ไม่ค่อยดี เอางี้ ผมขอโทษพวกพี่แทนเขาแล้วกันนะ? ผมจะชดใช้ ชดใช้ให้พวกพี่เอง!”
“วางใจเถอะ แกต้องได้ชดใช้แน่” เจ้าอ้วนจางหัวเราะเยาะ ชี้ตัวเองแล้วพูดว่า “ฉันอยากเอาคืน หน้าตาศักดิ์ศรีฉันก็ต้องการ! ไอ้แก่นี่ทำร้ายคนของฉัน ก็เท่ากับตบหน้าฉัน ฉันต้องเอาคืน!”
พูดจบ เจ้าอ้วนจางก็ผลักโจวเสี่ยวคุนออกไป แล้วยื่นมือไปคว้าคอเสื้อของชายแก่ตรงหน้า ยกเขาขึ้นมาจากเก้าอี้อย่างง่ายดาย “ไอ้แก่ เลอะเลือน! กินยาผิดหรือไง? กล้าหาเรื่องฉันเหรอ!”
“ดูสถานการณ์ให้ดีสิ ทางที่ดี แกปล่อยฉันแล้วโขกหัวคุกเข่าต่อหน้าคนแก่อย่างฉันซะเถอะ แล้วฉันจะยอมให้อภัยแก” ไท่อินจื่อหาวนอนหนึ่งครั้ง
เจ้าอ้วนจางหัวเราะฮ่าๆ อย่างขบขัน “ได้ยินหรือเปล่า? สมองไอ้แก่นี้มีปัญหาจริงๆ ว่ะ! ฮ่าๆ ฉันขอดูหน่อยเถอะ ไอ้แก่อย่างแกมันเก่งแค่ไหน!”
พูดจบ เจ้าอ้วนจางก็ปล่อยตัวไท่อินจื่อ จากนั้นก็กำหมัดแล้วชกดังตุบตับ “อย่ามาหาว่าฉันไม่เคารพคนแก่แล้วกัน ฉันจะให้โอกาสแก…มาสู้กันตัวต่อตัว!”
“ได้!”
“อ๊ากกก!”
“จัดการมัน!”
ทันใดนั้น เจ้าอ้วนจางก็นำคนสามคนเฮลั่น…สำหรับนักโทษที่นี่แล้ว ชีวิตทั้งเรียบง่ายแล้วก็จืดชืดมาก ‘เกม’ บางอย่างที่พอจะปรับฮอร์โมนพลุ่งพล่าน ก็สามารถระบายความกระสับกระส่ายในใจได้เป็นอย่างดี
ไท่อินจื่อทำท่าทางเหยียดหยาม สองมือไพล่หลัง ยิ้มมุมปาก แล้วพูดแบบไม่ยินดียินร้ายว่า “คนแก่อย่างฉันต่อให้แกสักสามยกแล้วกัน”
“โอ้โห” เจ้าอ้วนจางเหมือนโดนดูถูก เขาเบิกตากว้างพูด “ได้ยินหรือยัง? ได้ยินหรือเปล่า? ไอ้แก่นี่…แม่งตลกจริงๆ ว่ะ! งั้นฉันไม่เกรงใจแล้วกัน!”
เมื่อโจวเสี่ยวคุนเห็นเจ้าอ้วนจางก้าวเข้ามาหนึ่งก้าวพร้อมกับหัวเราะเยาะเช่นนี้แล้ว เขาจึงรีบพูดห้าม “ลูกพี่จาง! อย่าวู่วาม เดี๋ยวผู้คุมจะมานะ”
“ไม่มาหรอก! อย่างน้อยก็ไม่มาก่อนที่ข้าจะจบเรื่องนี้!” เจ้าอ้วนจางส่ายหัว
เขานำคนสามคน เดินไปอยู่ข้างๆ โจวเสี่ยวคุนอย่างรวดเร็ว แล้วก็กดตัวโจวเสี่ยวคุนเอาไว้
“เตรียมพร้อมหรือยัง? ไอ้แก่!” เจ้าอ้วนจางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ยกหมัดขึ้นสูง
เขาเป็นคนที่เคยฝึกหมัดมวย แม้ตัวเขาจะดูเหมือนคนอ้วนท้วนสมบูรณ์ แต่ทั้งหมดนี้เป็นกล้ามเนื้อกำยำทั้งนั้น พอซัดหมัดแบบนี้ลงมา คนธรรมดาที่ไหนจะทนไหว แล้วนับประสาอะไรกับคนแก่ผอมแห้งแรงน้อยคนเดียว?
“เดี๋ยวก่อน!”
คาดไม่ถึงว่ายังไม่ทันซัดหมัด คนแก่คนนี้ก็ตะโกนเสียงดังจนเจ้าอ้วนจางตกใจ ไม่นึกว่าเสียงตะโกนของคนแก่จะน่าตกใจแบบนี้
เขารีบสะกดอารมณ์ พร้อมกับเลิกคิ้วพูดว่า “ทำไม? อยากขอร้องให้ยกโทษเร็วขนาดนี้เลย?”
ไท่อินจื่อหัวเราะอย่างไม่ใส่ใจ แล้วก็ไม่คิดจะหนีไป แต่กลับหยิบรีโมตบนโต๊ะขึ้นมา…นึกไม่ถึงว่าเขาจะเปิดทีวีที่มีเพียงเครื่องเดียวในห้องกิจกรรม
ทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงแหลมสูงดังขึ้นภายในห้องกิจกรรม…เขาเปิดช่องดนตรีเหรอ?
“แกทำอะไร?” เจ้าอ้วนจางถามอย่างงุนงง
ไท่อินจื่อแสยะยิ้มพูดว่า “ปัญญาอ่อน หรือแกไม่เคยได้ยินว่าเดิมทีฉันก็เป็นที่หนึ่งทางด้าน BGM?”
“สมองป่วยหรือไง!”
เจ้าอ้วนจางตะลึง หลังจากนั้นก็ถูกความโกรธเข้าครอบงำ ซัดหมัดไปที่ใบหน้าแห้งเหี่ยวของชายชราตรงหน้าทันทีโดยไม่คิดจะยั้งมือ
แต่คนแก่ตรงหน้ากลับเอนตัวหลบเล็กน้อยอย่างสบายๆ แล้วพูดอย่างเฉยเมยว่า “วัยรุ่นสมัยนี้คิดง่ายเกินไป!”
“รนหาที่ตาย!”
เจ้าอ้วนจางวาดหมัดออกไป
ไท่อินจื่อย่อตัวลงเล็กน้อย วาดแขนออกไปจากบนศีรษะของเขา แต่กลับไม่ได้ลดระยะหมัดของเขาแม้แต่น้อย แขนของเขายืดยาวออกไปราวกับงู นิ้วทั้งห้าบีบเข้าหากัน ก่อนตีแรงๆ ลงไปตรงช่วงเอวของเจ้าอ้วนจาง
ดูเผินๆ เหมือนไม่มีแรง แต่นึกไม่ถึงว่าเจ้าอ้วนจางจะส่งเสียงร้องเหมือนหมูถูกฆ่า เขาเอามือกุมตรงที่ได้รับบาดเจ็บ ใบหน้าซีดขาว เจ็บจนเหงื่อท่วมตัว!
ไท่อินจื่อยกเท้าข้างหนึ่งออกมาเตะไปทางเจ้าอ้วนจาง จนตัวลอยออกไปไกลกว่าสองร้อยเมตร
“โอ๊ย เจ็บชะมัด…” เจ้าอ้วนจางกุมท้อง แล้วจับอะไรบางอย่างยันตัวขึ้นมาอย่างไร้เรี่ยวแรง จากนั้นก็ตะเบ็งเสียงดัง “พวกแกมัวยืนอึ้งอะไร! ลุยพร้อมกันเลยสิ! อัดไอ้แก่นี่ให้ตายไปเลย!”
คนอีกส่วนหนึ่งดึงสติกลับมาทันที รีบปล่อยตัวโจวเสี่ยวคุน แล้วพุ่งเข้าไปหาชายแก่หนังเหี่ยวคนนี้โดยพร้อมเพรียง
“พวกไม่เอาไหนเอ๊ย! เหอะ!”
ได้ยินแค่เสียงสบถเท่านั้น
เรื่องเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว พวกนักโทษในห้องกิจกรรมเห็นคนหลายคนพุ่งเข้าไป จากนั้นก็ทยอยถอยร่น แล้วล้มกองบนพื้นพร้อมๆ กัน
พวกเขาเห็น ‘คนแก่’ อย่างเหล่าเฝิงที่ถ่อมเนื้อถ่อมตัวมาโดยตลอดแกว่งแขนข้างลำตัวสลับหน้าหลัง พร้อมกับสาวเท้ายาวๆ “จำไว้นะ แบบนี้เขาเรียกพลังที่แท้จริง! อะจ๊าๆๆ!!”
ล่าลี่ซานทรุดลงไปด้วยความเจ็บปวดเป็นคนแรก ไท่อินจื่อในร่างเหล่าเฝิงเอาชนะคนแรกได้!
ต่อจากนั้นวัยรุ่นอีกคนก็นอนร้องโอดครวญอยู่บนพื้น ไท่อินจื่อในร่างเหล่าเฝิงเอาชนะคนที่สองได้!
โอ๊ย! เสียงร้องโอดโอยดังขึ้น ไท่อินจื่อในร่างเหล่าเฝิงพิชิตสนามต่อสู้ได้แล้ว!
“อย่า…อย่าตบหน้า!” เจ้าอ้วนจางตกใจ รีบเอามือกอดหัวป้องกัน! ไท่อินจื่อในร่างเหล่าเฝิงเป็นนักต่อสู้ระดับตำนานไปแล้ว!
“เชอะ ยังจะเอาอีกไหม?”
พอไท่อินจื่อสะบัดแขนเสื้อ ก็เผยให้เห็นท่าทางที่องอาจ
พวกเจ้าอ้วนจางสี่คนรีบก้มหน้าลงมา สั่นหัว พูดอย่างหวาดกลัว “ไม่ ไม่แล้ว”
ไท่อินจื่อพยักหน้า เอามือไพล่หลังแล้วหันตัวไปอีกทาง พลางพูดอย่างเฉยเมย “พวกแกฟังไว้นะ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ฉันคือพี่ใหญ่ของที่นี่เพียงคนเดียวเท่านั้น! ได้ยินชัดแล้วนะ?”
“ได้ ได้ยินชัดแล้วครับ…” ผู้คนรีบพากันพยักหน้า
“อืม…เอาล่ะ เดี๋ยวข้าจะเล่าเรื่องต่อ…เอ๊ะ? เมื่อกี้ถึงไหนแล้วนะ?”
“พี่ใหญ่ เมื่อกี้นี้พี่ยังไม่ได้พูดถึงเวินโหวออกโรง…” โจวเสี่ยวคุนกลืนน้ำลาย พลางพูดเตือนเสียงเบา
ไท่อินจื่อพยักหน้า จากนั้นเขาก็ถอดรองเท้าแตะออก แล้วนั่งลงช้าๆ ใช้รองเท้าแตะตบลงบนโต๊ะอย่างหนักหน่วง
เสียงไม้เคาะดังขึ้นอีกครั้ง
“เล่ากันว่าตอนนี้เวินโหว …”
…
…
ช่างตัดเสื้อสามารถตัดขนาดเหมาะสมที่สุดได้ด้วยการตัดเพียงครั้งเดียว นี่เป็นประสบการณ์ตลอดหลายสิบปีของช่างตัดเสื้อวัยชรา
เหล่าเฝิงใช้แพรต่วนที่ดีที่สุดเท่าที่หาได้
แต่เหล่าเฝิงแก่แล้วจริงๆ สายตาเริ่มฝ้าฟางแล้ว แค่ร้อยด้ายก็ใช้เวลาไปไม่น้อย
นิ้วมือของเขาก็ไม่ได้คล่องแคล่วเหมือนเมื่อก่อน
ถึงจะบอกว่าเติมน้ำมันให้จักรเย็บผ้าแล้ว แต่เหล่าเฝิงก็ไม่กล้ารีบทำเกินไป นี่เป็นสิ่งที่เขาต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจทำให้ดีที่สุดในชีวิตของเขา
เขาไม่ยอมให้เกิดข้อผิดพลาดแม้เพียงนิดเดียว
เหล่าเฝิงเปิดโคมไฟบนโต๊ะทำงาน ทำงานอยู่แบบนี้ตลอดทั้งวัน จนตอนนี้ก็เลยช่วงพลบค่ำไปแล้ว
เขารู้ว่ามือเท้าของตัวเองไม่ได้คล่องแคล่ว และว่องไวเหมือนสิบกว่าปีก่อนแล้ว เขาทำได้แค่ใช้เวลามากกว่าเดิมเพื่อมาชดเชยข้อบกพร่องนี้
นอกจากกินข้าวกลางวันมื้อหนึ่งและเข้าห้องน้ำ เขาก็แทบไม่ได้ลุกออกจากโต๊ะทำงานตัวนี้เลย
ด้านนอกเหมือนฝนตกลงมาอีกแล้ว อากาศของเมืองนี้เริ่มผิดเพี้ยนไปอีกแล้ว แต่เหล่าเฝิงกลับไม่ได้สังเกต เพราะเขาฟุบหลับไปบนโต๊ะทำงานแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว
ในมือเขายังถือเข็มเย็บผ้าเอาไว้ แต่ตาของเขากลับปิดลง ด้วยเพราะเหนื่อยล้า
นี่เป็นสิ่งที่ร่างกายตอบสนองตามสัญชาตญาณ เหล่าเฝิงไม่อาจควบคุมตัวเองได้
เปาะแปะๆ น้ำฝนตกกระทบหน้าต่าง พอเห็นว่าเฟอร์นิเจอร์ในบ้านจะเปียกหมดแล้ว หน้าต่างก็ปิดเข้าหากันเบาๆ
เจ้าของสมาคมมองอยู่ที่นี่มาโดยตลอด
เขามองดูชายชราภายใต้แสงโคมไฟ
ลั่วชิวปิดหน้าต่าง โบกมือครั้งหนึ่ง แล้วน้ำฝนที่กระเซ็นเข้ามาก็หายไปในพริบตา
จากนั้นเขาก็เดินไปที่ตู้ชา เติมน้ำลงไปในกาน้ำร้อน
น้ำเดือดโดยอัตโนมัติ จากนั้นก็เข้าสู่สถานะรักษาอุณหภูมิ เท่านี้ พอชายชราตื่นขึ้นมาก็จะได้ดื่มน้ำร้อนๆ พอดี
เหล่าเฝิงไม่รู้สึกถึงการกระทำเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้เลย บางทีเขาคงไม่ได้ใส่ใจด้วย
เพราะเขาลืมการกินการนอนมานานแล้ว