สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด - ตอนที่ 49 ภาพตัดต่อ
‘ป้ายร้านหายไปแล้ว’
ตอนที่เหล่าเฝิงกลับมาถึงอาคารหลังเก่า เขาก็ไม่เห็นป้ายร้านที่เมื่อก่อนเขาติดไว้ตรงหน้าประตูแล้ว
เขาเคยเป็นช่างตัดเสื้อมาก่อน ในอาคารหลังนั้นเขาแบ่งพื้นที่ห้องรับแขกไว้เป็นที่สำหรับตัดเย็บชุดและวัดตัวลูกค้า
เนื่องจากบริเวณหน้าร้านตรงห้องรับแขกได้จัดโชว์ชุดไว้มากมาย พื้นที่ที่ใช้อยู่อาศัยจึงน้อยลงโดยปริยาย
ตอนแรกนั้นเหล่าเฝิงมีเพียงลูกสาววัยประถม พื้นที่ว่างตรงนี้แม้ไม่กว้าง แต่สองคนพ่อลูกก็พอหาพื้นที่เล่นด้วยกันได้
แม้ว่าป้ายร้านจะไม่อยู่แล้ว แต่เหล่าเฝิงก็ยังหากุญแจที่อยู่ในซอกด้านบนประตูเหล็กพบ…เหล่าเฝิงดีใจทันทีที่คลำเจอกุญแจดอกนั้น
แต่ดีใจได้ไม่นาน ความเศร้าสลดก็เข้ามาแทนที่
ตัวล็อกประตูยังคงเป็นตัวเดิมกับตอนนั้น กุญแจก็ยังเป็นกุญแจดอกเดิม ดูเหมือนว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลย…สิ่งที่เปลี่ยนไปมีเพียงแค่ที่นี่ไม่มีใครอยู่อีกต่อไปแล้ว
และไม่มีใครแวะเวียนมาอีก…เกรงว่าซย่ามั่นเองก็ไม่เคยกลับมาเหมือนกัน
เหล่าเฝิงนั่งอยู่บนโซฟานอนเก่าๆ ที่มีฝุ่นปกคลุม เขามองดูห้องนี้อยู่เงียบๆ มองดูชุดต่างๆ ที่แขวนไว้เป็นชุดๆ โดยไม่ส่งเสียง
พวกมันก็เหมือนกับดงหญ้า
เหล่าเฝิงหัวเราะเบาๆ
เขานึกขึ้นได้แล้ว เรื่องสมัยที่ซย่ามั่นยังเด็กๆ
เขานึกขึ้นได้แล้วว่า ลูกสาวมักจะซ่อนตัวอยู่ด้านหลังเสื้อผ้าพวกนี้ คุณไม่มีทางรู้หรอกว่าเธอจะกระโดดโผเข้าหาคุณจากตรงไหนหรือเมื่อไหร่กันแน่
ลูกสาวยังเคยขี่บ่าเขา แล้วสองพ่อลูกก็เดินไปทั่วทุกตารางนิ้วในห้องแคบห้องนี้
และบริเวณมุมกำแพงตรงระเบียงทางเดินของบ้านหลังเล็กนี้ ก็มีรอยขีดเขียนเป็นเส้นจางๆ
ครึ่งปีก็ขีดทีหนึ่ง ครึ่งปีก็ขีดอีกทีหนึ่ง
เหล่าเฝิงนั่งยองๆ ลงตรงนี้ แล้วยื่นมือไปลูบรอยขีดพวกนี้ ร่องรอยพวกนี้เขาเป็นคนขีดเอง เป็นเส้นระบุส่วนสูงของซย่ามั่นสมัยเด็ก
เหล่าเฝิงไม่ได้เปิดไฟตลอดทั้งคืน
ถึงแม้เขาจะแปลกใจ ว่าไม่อยู่มานานหลายปีขนาดนี้ ทำไมที่นี่ยังมีน้ำไฟใช้อยู่อีก แถมตอนหมุนเปิดก๊อกน้ำ ก็ยังมีน้ำที่ติดกลิ่นสนิมไหลออกมา
สาเหตุที่ปิดไฟ เพราะเหล่าเฝิงไม่อยากให้คนรู้ว่าที่นี่ยังมีคนอยู่…ถึงแม้ว่าจะผ่านไปสิบกว่าปีแล้ว คนที่อาศัยอยู่ที่นี่ต่างก็ย้ายออกไปตั้งนานแล้ว
ตอนที่เขากลับมา ได้เจอคนเคยรู้จักแถวๆ นี้บ้าง แต่ดูเหมือนว่า…คนพวกนั้นจะจำเขาไม่ได้ บางทีพวกเขาอาจไม่เคยคิดว่า เหล่าเฝิงจะมาโผล่ที่นี่ หรือเดินอยู่ที่นี่ได้อย่างอิสระแบบนี้
แต่ระวังไว้ก่อนก็ดี
เหล่าเฝิงตั้งใจไว้แต่แรกแล้วว่า จะต้องเก็บกวาดฝุ่นในห้องนี้ให้เรียบร้อยสักหน่อย รวมทั้งเครื่องมือที่ใช้หาเลี้ยงชีพด้วย
เขาคือช่างตัดเสื้อ แม้ไม่ได้แตะต้องบางสิ่งบางอย่างมามาสิบกว่าปีแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าอยากจะทิ้งก็ทิ้งได้ตามใจ
ทุกสิ่งทุกอย่างในที่แห่งนี้ไม่ได้ต่างไปจากความทรงจำแต่ก่อนเลย
เหล่าเฝิงเก็บกวาดไปจนถึงครึ่งค่อนคืน แล้วหลับสนิทไปโดยไม่รู้ตัว…เขาได้หลับอย่างสบายใจที่สุดเป็นครั้งแรกในช่วงสิบกว่าปีมานี้เลย
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ยามที่แสงแดดสาดส่องเข้ามา เหล่าเฝิงถึงรู้สึกไม่อยากตื่นขึ้นมาเลย
ถึงแม้ว่าหลายปีมานี้เขาจะเคยชินกับการตื่นนอนตรงเวลามานานแล้วก็ตาม
ดูเหมือนว่าเหล่าเฝิงจะนอนเลยเวลา พอเขามองดูเวลา ก็เห็นว่าใกล้จะสิบโมงเช้าแล้ว
นี่มันเรื่องไม่คาดฝันชัดๆ เลย…แต่ในตอนนั้นเอง จู่ๆ เหล่าเฝิงที่ยังไม่ทันได้ล้างหน้าล้างตา ก็ได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้น
นี่ทำให้ใจเขาเต้นแรง…ใครกลับมาที่นี่กัน?
ไม่น่าจะมีใครมาสิ
ถึงแม้เหล่าเฝิงจะรู้ว่าร้านลึกลับให้ตัวเขาออกจากคุกมาได้ แต่เขาก็ไม่แน่ใจเรื่องในคุกนัก
บางทีผู้คุมอาจจะพบว่าเขาหายไปแล้ว บางทีอาจเป็นคนที่…จะมาจับเขากลับไป!
เขาไม่กล้ายืนยันเหมือนกัน ว่าร้านนั้นจะคุ้มครองความปลอดภัยของเขาได้ตลอด เหล่าเฝิงตัดสินใจคว้ากรรไกรที่ใช้ตัดเย็บขึ้นมากำแน่นๆ ในมือทันที แล้วเดินเข้าไปใกล้ตรงหน้าประตู
เสียงเคาะประตูดังขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับเสียงชายคนหนึ่งกำลังพูดว่า “ไม่ทราบว่ามีคนอยู่ไหมครับ? มีใครอยู่ไหมครับ?”
เหล่าเฝิงขมวดคิ้ว เดินเข้าไปใกล้ตาแมวตรงประตู อยากดูสักหน่อยว่าใครมายืนอยู่ตรงหน้าประตูกันแน่
ทำไม…ทำไมเขาถึงมายืนอยู่ตรงนี้ได้?
เหล่าเฝิงไม่คิดว่าตนเองจะสายตาฝ้าฟางจนเห็นคนตรงหน้าประตูไม่ชัด…คนที่ยืนอยู่ข้างนอกคือว่าที่สามีของลูกสาวเขาเอง!
“ไม่ทราบว่ามีคนอยู่ไหมครับ?”
เหล่าเฝิงขบฟันแน่น เขารู้ว่าตนเองไม่ส่งเสียงตอบไปดีที่สุด บางทีโจวจื่อเหาเรียกแล้วไม่มีคนตอบก็จะจากไปเอง…แต่สุดท้ายเขาก็ไม่มีทางเงียบปากเอาไว้ได้
เขาอยากทำความเข้าใจชายคนนี้…ผู้ชายที่ลูกสาวเขาเลือกเป็นคนอย่างไรกันแน่
เขาอยากไปทำความรู้จักตัวตนของชายหนุ่มคนนี้ด้วยตนเองสักหน่อย
“ใครอยู่ข้างนอกน่ะ?” เหล่าเฝิงถามเสียงเข้มออกไปด้านนนอกประตู
เขารู้ว่า พูดคุยอยู่ตรงนี้นั้นเสี่ยงมาก…การเปิดเผยตัวตนถือป็นความเสี่ยงสำหรับคนที่หนีคุกออกมา
แต่ด้วยสัญชาตญาณของคนเป็นพ่อบังคับ ทำให้เขาไม่สนใจอะไรทั้งนั้น
“เยี่ยมไปเลย! มีคนอยู่ด้วย!” โจวจื่อเหาที่อยู่ตรงหน้าประตูเผยรอยยิ้มน้อยๆ “ตอนแรกผมนึกว่าไม่มีคนอยู่ซะแล้ว นึกไม่ถึงว่ายังมีคนอยู่จริงๆ!”
“คุณมีธุระอะไร”
โจวจื่อเหาได้แต่พูดใส่บานประตูเก่าๆ ว่า “อ้อ คืออย่างนี้ครับ คุณใช่ช่างตัดชุดของที่นี่หรือเปล่าครับ? ผมได้ยินว่าที่นี่มีช่างตัดชุดฝีมือดีคนหนึ่ง พอดีผมกำลังจะแต่งงานแล้ว ก็เลยอยากหาช่างตัดชุดฝีมือดีสักคน มาตัดชุดแต่งงานดีๆ สักชุดให้ว่าที่ภรรยาของผมน่ะครับ!”
“คุณ…คุณรู้ได้จักที่นี่ได้ยังไง?”
“ผมเจอในเว็บน่ะครับ” โจวจื่อเหาบอกโดยไม่ปิดบัง “ความจริงแล้ว ที่นี่ต่างจากที่คาดไว้อยู่มากนะครับ แถมไม่ใช่ร้านที่อยู่ติดถนน แล้วยังไม่มีป้ายร้านอีก ถ้าไม่มีคนพูดถึงในเว็บ ผมคงหาที่นี่ไม่พบหรอกครับ”
ในเว็บ?
แปลก…เหล่าเฝิงขมวดคิ้ว แล้วก็เข้าใจเรื่องบางอย่างได้ทันที
เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ขบกรามแน่นแล้วเปิดประตูไม้บานนี้ เขามองชายหนุ่มที่อยู่หน้าประตูคนนี้ แล้วพูดอย่างเฉยชาว่า “คุณเข้ามาก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
“ครับ!”
โจวจื่อเหาเดินเข้ามาพร้อมความคาดหวัง…พอเพิ่งเดินเข้าไป เขาก็เห็นชุดสไตล์จีนหลายแบบหลายสไตล์วางอยู่ในห้องรับแขกแห่งนี้
ยังมีเครื่องจักรเย็บผ้าโบราณวางอยู่บนโต๊ะทำงานตัวหนึ่ง แล้วก็พวกไม้บรรทัด เข็มเย็บผ้า กรรไกร…
โจวจื่อเหาเติบโตอยู่ที่เมืองนอกมาตั้งแต่เด็กๆ น้อยนักที่จะได้สัมผัสกับสิ่งที่ดูมีกลิ่นอายย้อนยุคพวกนี้
ชุดเหมือนภาพวาดโบราณปรากฏสู่สายตาของเขาทีละชิ้น ทีละชิ้น
“ไม่ทราบว่าช่างชื่ออะไรครับ?” โจวจื่อเหาถามอย่างสุภาพ
“ผม…” เหล่าเฝิงมองโจวจื่อเหาพลางนั่งลง “ผมแซ่โจว”
ตอนที่เหล่าเฝิงพูดนั้น ก็ลอบขอโทษน้องในคุกเงียบๆ ที่ขอยืมใช้แซ่ของเขาชั่วคราว
“ที่แท้ก็ช่างโจว” โจวจื่อเหานิ่งอึ้ง จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า “นึกไม่ถึงว่า เราจะมีแซ่เดียวกันนะครับ! ผมก็แซ่โจวเหมือนกัน โจวจื่อเหา!”
“จื่อเหา จื่อเหา โจวจื่อเหา” เหล่าเฝิงพึมพำเรียกชื่อนี้เบาๆ หลายครั้ง แล้วถึงได้พยักหน้าพูดว่า “ครับ ชื่อดีเลยนะครับ ท่าทางคุณคงเป็นคนใช้ได้เหมือนกัน”
จู่ๆ โจวจื่อเหาก็รู้สึกว่าแววตาของช่างตัดชุดแซ่โจวคนนี้ดูแปลกๆ…ไม่มีใครรู้ว่าแววตาแปลกๆ นี้คืออะไรกันแน่ เขาแค่กำลังคิดว่า ช่างตัดชุดพวกนี้น่าจะมีนิสัยแปลกๆ อยู่บ้างล่ะมั้ง?
“คุณจะบอกว่า…อยากให้ผมช่วยตัดชุดแต่งงานให้ว่าที่ภรรยาคุณใช่ไหมครับ?” เหล่าเฝิงถามพลางจ้องโจวจื่อเหา
โจวจื่อเหาพยักหน้าแล้วตอบว่า “ครับ ใช่ครับ! ว่าที่ภรรยาผมชอบชุดแต่งงานสไตล์จีนครับ แต่หาดีไซน์เนอร์มาหลายคนแล้ว ก็ดูเหมือนว่ายังไม่พอใจ ผมเลยคิดว่าจะหาช่างตัดชุดเก่าแก่อย่างคุณ บางทีอาจจะหาแบบที่ถูกใจพบน่ะครับ”
“ในเมื่อทำชุดแต่งงาน ทำไมคุณไม่พาว่าที่เจ้าสาวของคุณมาด้วยล่ะ?”
โจวจื่อเหาเกาหัว เขายิ้มอย่างเอียงอายแล้วตอบว่า “ผมคิดจะเซอร์ไพรส์เธอ จะบอกคุณตรงๆ ก็ได้ครับว่า ตอนนี้ผมแอบเธอมาเงียบๆ ผมกลัวว่าถ้าหากหามาไม่ถูกใจอีก จะทำให้เธอไม่พอใจน่ะครับ”
เหล่าเฝิงจ้องโจวจื่อเหาตาเขม็งอีกครั้ง พอผ่านไปสักพัก เขาถึงได้พยักหน้าอย่างช้าๆ “อืม คุณเป็นคนดีจริงๆ”
โจวจื่อเหารู้สึกว่าแววตาแบบนี้เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน…เหมือนกับตอนที่เขาพบคุณลุงคุณป้าตระกูลถาว พ่อแม่ของว่าที่ภรรยาเขาในครั้งแรก?
“เอ่อ…จริงสิครับ ช่างมีภาพแบบชุดอะไรพวกนี้หรือเปล่าครับ?”
เพื่อหลีกเลี่ยงความรู้สึกอึดอัด โจวจื่อเหาจึงรีบพูดทันทีว่า “ผมอยากเอากลับไปด้วย ลองดูว่าจะถูกใจว่าที่ภรรยาผมบ้างหรือเปล่า…เอ่อ ผมหมายถึงพวกภาพชุดแต่งงานที่ตัดเสร็จแล้วน่ะครับ? น่าจะมีอยู่บ้างใช่ไหมครับ? สะดวกไหมครับ?”
“รอผมสักครู่นะ” เหล่าเฝิงพยักหน้าแล้วก็ลุกเดินไปด้านหน้าโต๊ะที่เมื่อก่อนใช้ทำงาน
แต่หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้ว เขากลับไม่ได้หยิบอัลบั้มเก่าๆ ที่เมื่อก่อนเก็บไว้ออกมา
แต่เขากลับนั่งลง หยิบกระดาษวาดแบบออกมาจำนวนหนึ่ง พอครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้ว ก็หยิบดินสอสีวาดเขียนลงไปบนการดาษวาดแบบ
หลังจากนั้นไม่นาน เหล่าเฝิงก็ยื่นกระดาษวาดแบบพวกนี้ไปตรงหน้าโจวจื่อเหา “น่าจะเป็นสไตล์ประมาณนี้ครับ คุณลองเอากลับไปให้ว่าที่ภรรยาของคุณดูแล้วกัน หากเธอชอบ คุณค่อยกลับมาหาผม”
“อืม ผมว่าโอเคเลยครับ!” โจวจื่อเหามองดูแวบหนึ่ง รู้สึกว่าแบบพวกนี้ไม่ได้มีอะไรพิเศษตรงไหน…หรือบางทีเขาคงไม่ค่อยเข้าใจเรื่องอะไรพวกนี้ก็เป็นได้
“แต่ผมมีเงื่อนไขอยู่ข้อหนึ่ง” เหล่าเฝิงพูดช้าๆ “ถ้าอยากให้ผมตัดชุดแต่งงานให้คุณ ครั้งหน้าคุณต้องมาด้วยตนเองเท่านั้น และอย่าเปิดเผยที่อยู่ของผม”
“เอ่อ…” โจวจื่อเหานิ่งอึ้ง แล้วพูดพึมพำว่า “ช่างโจวครับ ก่อนตกลงกัน คุณยังยืนยันไม่ได้ว่าว่าที่ภรรยาผมจะชอบชุดพวกนี้แน่ๆ นี่ครับ?”
เหล่าเฝิงมองโจวจื่อเหาอย่างครุ่นคิดแวบหนึ่ง แล้วพูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “เธอต้องชอบแน่”
“ลองดูก่อน แล้วค่อยว่ากันเถอะครับ” โจวจื่อเหาไม่ได้รับปากในทันที
เหล่าเฝิงกลับบอกว่า “จำไว้นะ หากคุณอยากมาพบผม คุณมาที่นี่ได้คนเดียวเท่านั้น และห้ามเปิดเผยสถานที่นี้ด้วย ไม่อย่างนั้น คุณจะไม่มีทางหาผมเจออีก”
โจวจื่อเหาไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก
ช่างตัดเย็บชุดแก่ๆ พวกนี้มีนิสัยแปลกกันทั้งนั้นเลยสินะ
…
…
หลังจากผ่านสิ้นเดือนแปดไปหลายวันแล้ว แสงแดดในเมืองนี้ก็กลับมางดงาม ได้ยินว่าหลายวันก่อนยังมีพายุไต้ฝุ่น ครึ้มฟ้าครึ้มฝนอยู่เลย
ยากที่จะมีบรรยากาศแบบนี้ สำหรับนักศึกษามหาวิทยาลัยน้องใหม่ที่เพิ่งเปิดเทอม ก็เหมือนเป็นลางดีทีเดียว
สาวน้อยหิ้วกระเป๋าสัมภาระใบใหญ่ใบหนึ่งเดินออกมาจากสถานีรถประจำทาง เธอมองเห็นคนหนุ่มสาวจำนวนไม่น้อยที่ติดป้ายมหาวิทยาลัยบางแห่งเอาไว้กำลังยืนรอรถกัน น่าจะเป็นพวกรุ่นพี่ที่คอยช่วยเหลือรุ่นน้องอะไรแบบนั้น
เธอไม่ได้เดินเข้าไปถามทันที แต่เดินไปที่ประตูทางออกที่สาม แล้วยืนอยู่ตรงนี้อย่างเรียบร้อย เหมือนกำลังรอใครบางคน
สาวน้อยมองหาไปรอบๆ ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นสายตาเธอก็หยุดนิ่ง ริมฝีปากขยับนิดๆ แสดงอาการตกใจออกมาเล็กน้อย
เธอยังไม่ได้เจอคนที่เธอนัด แต่กลับเจอคนคุ้นเคยอีกคนที่ไม่ได้นัดเอาไว้…คนที่คาดไม่ถึง
เป็นชายหนุ่มที่เคยมาพักในบ้านพักตากอากาศของครอบครัวเธอเมื่อช่วงปิดเทอมหน้าร้อน
หลี่ว์อีอวิ๋นมองเห็นลั่วชิวตรงประตูทางออกที่สามนั้นเอง
แล้วสาวน้อยก็นึกขึ้นได้ทันทีว่า เขาเคยมอบดอกดาวสีฟ้าดอกนั้นให้เธอ