สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด - ตอนที่ 46 สู้ไม่เจอดีกว่า
หม่าโฮ่วเต๋อไม่รู้เลยว่าหวังเย่ว์ชวนคิดจะหาใครกันแน่
เขาดูคลิปจากกล้องวงจรปิดของโรงพยาบาลมาสองชั่วโมงกว่าแล้ว ทั้งยังไม่ยอมพลาดกล้องวงจรปิดไปแม้แต่ตัวเดียว
ทำไมฉันต้องเสียเวลามาเป็นเพื่อนเจ้านี่ตั้งสองชั่วโมงกว่าด้วยนะ?
ยิ่งเวลาผ่านไป โอกาสหาคนพบก็น้อยลงเรื่อยๆ ระดับความยากก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ…หรือว่า ทิ้งหมอนี่ไว้ที่นี่ดีไหมนะ?
ตอนที่เซอร์หม่าเตรียมจะอ้าปากพูด หวังเย่ว์ชวนก็เจออะไรบางอย่างเข้าพอดี สักพักเขาก็ตัดคลิปกล้องวงจรปิดส่วนหนึ่งออกมาไว้บนหน้าจอหลักแล้วขยายใหญ่
หม่าโฮ่วเต๋อก็เริ่มสนใจแล้วเหมือนกัน จากภาพพวกนี้สามารถมองเห็นด้านข้างของชายหนุ่มคนหนึ่งได้อย่างชัดเจน เขาดูเหมือนคนอายุราวๆ สามสิบปี
ถ้าจะให้พูดจุดเด่น…ก็น่าจะเป็น สวมแว่นตา?
“คุณอยากหานี่น่ะเหรอ?”
เขาเห็นหวังเย่ว์ชวนจ้องชายหนุ่มในภาพอย่างเอาเป็นเอาตาย ก็ขมวดคิ้วถามทันที “คนนี้ช่วยจ้าวหรูหนีออกไปเหรอ คุณ…รู้จักคนคนนี้?”
“เฉาอวี้ เป็นชื่อสุดท้ายที่เขาใช้” หวังเย่ว์ชวนตอบทันควัน
“อะไรนะ? ชื่อสุดท้ายที่ใช้?” เซอร์หม่าทำหน้างุนงง
หวังเย่ว์ชวนเพียงพยักหน้าพูดว่า “เขาใช้นามแฝงมากมาย ไม่มีใครรู้ว่าที่จริงแล้วเขาชื่ออะไรกันแน่ แต่เฉาอวี้เป็นชื่อที่เขาใช้ล่าสุด”
“คุณจะบอกว่า…นี่คือตัวร้าย?” หม่าโฮ่วเต๋อขมวดคิ้ว…เขายังจำคำที่หวังเย่ว์ชวนใช้เมื่อไม่นานมานี้ได้เป็นอย่างดี
หวังเย่ว์ชวนจ้องหม่าโฮ่วเต๋ออยู่ครู่หนึ่ง คล้ายกำลังครุ่นคิดบางอย่าง ผ่านไปครู่หนึ่งเขาถึงพูดขึ้นมาช้าๆ ว่า “ผมไปเจอประวัติของเขาโดยบังเอิญ เมื่อหนึ่งปีก่อน เกิดคดีฆาตกรรมต่อเนื่องขึ้นในมณฑล คุณยังจำได้หรือเปล่า?”
“เอ่อ…ผมขอนึกดูก่อน” หม่าโฮ่วเต๋อคิดอยู่สักพัก “นึกออกแล้ว คดีฆาตกรรมต่อเนื่องคดีใหญ่นั่นใช่ไหม? ฆาตกรลงมือได้โหดเหี้ยมมาก ตอนนั้นก็มีรายงานมาเหมือนกัน แต่ว่า จับคนร้ายไม่ได้งั้นหรือ? สถานีตำรวจในมณฑลเคยจัดสัมมนาเรื่องนี้ ขอให้องค์กรน้อยใหญ่ในมณฑลส่งตัวแทนไปเข้าร่วม จริงสิ…ผมเคยเจอคุณนี่!”
หวังเย่ว์ชวนไปสะกิดความทรงจำเมื่อหนึ่งปีก่อนของหม่าโฮ่วเต๋อจนชัดเจนขึ้น ก็ว่าทำไมเขาถึงไม่ถูกชะตากับหมอนี่นัก
เซอร์หม่าเคยเจอหมอนี่ในการสัมมนาเมื่อหนึ่งปีก่อน
“คุณเป็นคนคลี่คลายคดีนี้เมื่อหนึ่งปีก่อนนี่เอง!” หม่าโฮ่วเต๋อตีหัวตัวเอง
แถมยังจำได้อีกว่าหมอนี่ท่าทางร้ายกาจมาก เมื่อผู้คลี่คลายคดีออกโรงอธิบายตอนเริ่มสัมมนา ก็ทำท่าเต๊ะจุ๊ยแบบนี้ไปแล้ว
“คดีนี้ไม่ผิดแน่” หวังเย่ว์ชวนพยักหน้า “ถึงแม้จะปิดคดีได้แล้ว และฆาตกรก็คือผู้ต้องหาที่ถูกตัดสินโทษคนนั้นไม่ผิดแน่ แต่ยังมีบางอย่างที่ไม่ได้เปิดเผยต่อสาธารณชน นั่นก็คือการมีอยู่ของคนคนนั้น”
หวังเย่ว์ชวนยื่นนิ้วชี้ออกมา จิ้มไปที่ใบหน้าชายหนุ่มที่อยู่บนจอผู้นี้ ‘เฉาอวี้’
“บอกมาว่ามันเกิดอะไรขึ้น…ทำไมเขาถึงเกี่ยวข้องกับจ้าวหรู?” เซอร์หม่าถามด้วยท่าทีขึงขัง
หวังเย่ว์ชวนพูดว่า “หนึ่งปีก่อน ตอนที่ผมจับกุมคนร้ายก่อคดี ก็ได้รู้พฤติกรรมประหลาดของเขาเข้า ดูเหมือนเขาจะสนใจของที่ใส่อยู่บนร่างกายมาก ก่อนที่เขาจะถูกตัดสินโทษประหารชีวิต ได้ถูกบังคับให้ถอดของพวกนั้นออก แต่แล้วเขาก็กระวนกระวายจนคลุ้มคลั่ง”
หวังเย่ว์ชวนส่ายหน้า “แต่คุณคงไม่รู้ว่าต่อมาของชิ้นนั้นที่ติดตัวเขาได้หายไป…หายไปจากห้องเก็บหลักฐานอย่างไร้ร่องรอย ไม่มีใครรู้ว่ามันหายไปได้ยังไง มีเพียงใบหน้าด้านข้างของชายแปลกหน้าที่กล้องวงจรปิดถ่ายไว้ได้เท่านั้น”
“ซึ่งก็คือเฉาอวี้?” หม่าโฮ่วเต๋อตะลึง ถามต่อ “หมอนี่เป็นใครกันแน่ ทำไมถึงเอาของกลางออกไปจากห้องเก็บหลักฐานของสถานีตำรวจได้?”
“ผมไม่รู้ แล้วก็ไม่มีใครรู้เหมือนกัน” หวังเย่ว์ชวนสูดหายใจเข้าลึกๆ พูดว่า “แต่เห็นได้ชัดว่าเขามาที่นี่ด้วยเป้าหมายบางอย่าง”
ทันใดนั้นหม่าโฮ่วเต๋อก็โบกมือขึ้น “เดี๋ยวก่อน คุณรู้ได้ยังไงว่าเฉาอวี้เกี่ยวข้องกับจ้าวหรู?”
หวังเย่ว์ชวนหรี่ตามองแล้วตอบคำถามของเขา “เพราะบนตัวจ้าวหรูมีของแบบเดียวกับนักโทษคนนั้น อีกทั้งปฏิกิริยาของพวกเขายังเหมือนกันมาก ตอนที่สร้อยคอนั้นห่างจากตัวเธอ เธอก็อยู่ไม่สุข ท่าทางกระวนกระวาย กระทั่งคลุ้มคลั่ง!”
“แต่…แต่ว่านั่นใช้พิสูจน์อะไรได้?” หม่าโฮ่วเต๋อยังคงไม่เข้าใจ
หวังเย่ว์ชวนจึงเล่าให้ฟังว่า “ความจริงแล้ว ไม่ใช่แค่คดีเมื่อหนึ่งปีก่อนกับคดีของจ้าวหรูเท่านั้น แต่ปีนี้ยังเกิดคดีฆาตกรรมต่อเนื่องที่คล้ายๆ กันอีกสองคดีในพื้นที่อื่น รวมทั้งหมดสี่คดี ผู้ร้ายทั้งหมดมีลักษณะต่างกันโดยสิ้นเชิง แถมยังไม่รู้จักเหยื่อ ผมลองสืบประวัติทางสังคมทั้งหมดแล้ว สรุปว่าพวกเขาเป็นคนธรรมดาอยู่ตัวคนเดียว แต่ว่า…”
“พวกเขามี…” หม่าโฮ่วเต๋อถามอย่างตกใจ “ของของเฉาอวี้?”
หวังเย่ว์ชวนพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม “พูดให้ถูกก็คือ ทุกคนมีของแบบเดียวกัน…บางทีอาจจะเป็นสร้อยเส้นเดียวกันก็ได้ นอกจากจ้าวหรูแล้ว ของกลางจากคดีสามครั้งก่อนก็หายไปจากห้องเก็บหลักฐานอย่างลึกลับทั้งสิ้น”
หม่าโฮ่วเต๋อครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ แล้วจึงพูดด้วยท่าทางขึงขัง “นี่คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญแล้ว…ถ้าเจ้าเฉาอวี้นี่เกี่ยวข้องกับคดีมากมายขนาดนี้…ถึงพวกเราไม่รู้เป้าหมายของมันแน่ชัด แต่ถ้าเขาวางแผนอยู่เบื้องหลังเรื่องพวกนี้ละก็…งั้นคุณก็พูดถูก”
หม่าโฮ่วเต๋อสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ จ้องไปที่หวังเย่ว์ชวน แล้วพูดด้วยเสียงขรึม “นี่คือจอมวายร้ายดีๆ นี่เอง! ผมเข้าใจแล้ว เพื่อนร่วมงานหวัง ผมจะช่วยคุณเต็มที่ ขอแค่เขายังอยู่ในเมืองนี้ ผมสาบานว่าจะต้องหาตัวเขามาให้คุณแน่นอน!”
หวังเย่ว์ชวนพยักหน้าเล็กน้อย แล้วพูดว่า “นายตำรวจหม่า ผมหวังว่าจะไม่มีใครรู้เรื่องนี้มากเกินไป”
หม่าโฮ่วเต๋อเลิ่กลั่กแต่ก็ตอบรับอย่างรวดเร็ว “ผมเข้าใจความหมายของคุณ…หมอนี่สามารถเอาของออกมาจากห้องเก็บหลักฐานได้ทุกครั้ง บางทีเขาอาจจะคุ้นเคยกับระบบภายในของเราเป็นอย่างดี ผมจะระวังตัว”
ทันใดนั้นหวังเย่ว์ชวนก็ยื่นมือออกมา แล้วพูดอย่างเฉยเมยว่า “หวังว่าผมจะไว้ใจคุณได้”
แต่เซอร์หม่าไม่ได้ยื่นมือออกมาจับด้วย เขาพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “ผมไม่อยากเป็นเพื่อนกับคุณ แต่ทำเพราะหน้าที่เท่านั้น ถ้ามีใครบางคนกำลังใช้เล่ห์เหลี่ยมสร้างอุบายต่อหน้าต่อตาผมจริงๆ ละก็ ผมไม่ยอมแน่ๆ”
แต่ไม่ว่าจะหาเฉาอวี้เจอหรือไม่ สิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้คือ ต้องหาจ้าวหรูที่หายตัวไปให้เจอก่อน
…
…
ไท่อินจื่อคิดว่าลูกค้าที่เขาเฟ้นหามาได้คนนี้ใช้ชีวิตน่าเบื่อมาก…
แม้จะบอกว่าคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในสถานที่แบบนี้ต้องใช้ชีวิต ทำงาน และพักผ่อนให้ตรงเวลาเหมือนเครื่องจักร แต่อย่างน้อยคนเหล่านี้ก็ต้องมีช่วงเวลา ‘ผ่อนคลาย’ หรือได้เห็นอะไรสวยงามบ้างสิ?
ต่อให้คุณไม่ไปเล่นไพ่ที่ห้องสันทนาการ แต่ก็ไปดูคนเล่นบาสที่สนามบ้างสิ? คุณมัวแต่ซ่อมเสื้อผ้าอยู่ที่นี่ทำไม?
อืม ฝีมือเย็บปักใช้ได้เลยนี่…
ทูตภูตดำตนใหม่…ที่แข็งแกร่งที่สุดในสมาคม อยู่ในคุกแห่งนี้มาเป็นเวลาสองวันแล้ว
ไท่อินจื่อรู้สึกว่าที่นี่เต็มไปด้วยความมุ่งร้ายที่มีต่อเขา
เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจน ว่าความหวังของเฝิงกุ้ยชุนที่อยากเจอลูกสาวนั้นแรงกล้าขนาดไหน แต่ขณะเดียวกัน ชายแก่คนนี้กลับใจแข็งเหนือคาด
เขานั่งลงหน้าเฝิงกุ้ยชุน มองดูชายแก่ที่กำลังปะเสื้อผ้าอยู่ทีละเข็ม ทีละเข็ม…ที่นี่ไม่อนุญาตให้นักโทษเก็บอุปกรณ์มีคมใดๆ ไว้ ดังนั้นที่ที่เฝิงกุ้ยชุนอยู่ตอนนี้ก็คือช่วงเวลาทำงานของนักโทษโดยเฉพาะ
“พี่ พี่!”
ขณะที่ไท่อินจื่อกำลังคิดจะใช้เสียงพูดเกลี้ยกล่อมชายแก่จนค่อยๆ ใจอ่อน เขาก็เห็นโจวเสี่ยวคุนเพื่อนนักโทษของเฝิงกุ้ยชุนเดินเข้ามาอย่างรีบร้อน
“เป็นอะไร? ทำไมดูรีบร้อนนักล่ะ” เฝิงกุ้ยชุนตกใจ วางมือจากงานที่ทำ
“ได้ข่าวแล้วครับ” โจวเสี่ยวคุนพูดขึ้นอย่างเร่งรีบ “ครั้งก่อนที่น้องชายมาหาผม เขาบอกว่าได้ข่าวลูกสาวพี่แล้วใช่ไหม? เขาส่งจดหมายมาให้ผมอีก ผมคิดว่าอาจจะมีข่าวใหม่!”
เฝิงกุ้ยชุนมือแข็งไปชั่วครู่ แต่เขายังคงสูดหายใจลึก พันด้ายเป็นวงกลมแล้วผูกปม ใช้ปากกัดด้ายให้ขาด แล้วจึงวางเข็มเย็บผ้าในมือลง สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ อีกครั้ง พูดว่า “งั้น…มาอ่านกันเถอะ”
พี่เสี่ยวคุนที่เคารพ
โจวเสี่ยวคุนอ่านข้อความในจดหมายทีละตัวๆ พลางมองสีหน้าของเฝิงกุ้ยชุนอย่างกระวนกระวาย แต่ว่าเพิ่งจะแค่สองสามบรรทัด โจวเสี่ยวคุนก็หยุดอ่าน
เหล่าเฝิงขมวดคิ้ว “ทำไมไม่อ่านต่อล่ะ?”
“ครับ…” โจวเสี่ยวคุนสูดหายใจ แล้วอ่านอย่างระมัดระวัง “เมื่อวานผมติดต่อลูกสาวของเฝิงกุ้ยชุนได้ และไปพบเธอมาด้วยตัวเอง เธอสวยมาก มีมารยาทและนอบน้อม แต่กลับเลี่ยงไม่พูดเรื่องเพื่อนในคุกของพี่ สุดท้ายเธอยังบอกว่า…”
โจวเสี่ยวคุนอ่านมาถึงตรงนี้ก็หยุดชะงัก เขามองดูสีหน้าเฝิงกุ้ยชุนแวบหนึ่ง แล้วจึงอ่านด้วยเสียงแผ่วเบากว่าเดิม “บอกว่า ตอนนี้เธอสบายดี เธอไม่อยากจำเรื่องราวในอดีต การพบกันอีกครั้งเป็นความทุกข์แสนสาหัส ดังนั้น…ดังนั้น…”
“ดังนั้นอะไร?” เหล่าเฝิงบีบข้อมือโจวเสี่ยวคุนแน่น
“ดังนั้น ดังนั้น…สู้ไม่เจอดีกว่า”
ชายแก่ปล่อยมือออกจากข้อมือของเขาทันที
เฝิงกุ้ยชุนหันหลังกลับอย่างหมดอาลัยตายอยาก เขานั่งลงเงียบๆ ไม่พูดอะไรสักคำ ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน ชายแก่ก็หยิบเข็มเย็บผ้าเล่มใหม่ขึ้นมาอีกครั้ง แล้วทำงานในมือต่อ
ทำงานในมือ ไม่ต้องไปคิด ไม่ต้องไปจำ ทำเหมือนไม่เคยได้ยินอะไร…อีกเดี๋ยวก็คงลืมเรื่องนี้ไปเอง
“พี่…”
โจวเสี่ยวคุนตบไหล่เหล่าเฝิงเบาๆ
จากนั้นเหล่าเฝิงก็ยกมือขึ้นปิดตาตัวเอง แล้วร้องสะอื้นออกมาเบาๆ
หัวไหล่เขากระตุกขึ้นลง
“เธอไม่อยากเจอฉันแล้ว…”
…
…
เหล่าเฝิงมองไปยังหน้าต่างกรงเหล็กบานเล็กๆ ที่อยู่ตรงหน้าอย่างเหม่อลอย
ในคืนที่พระจันทร์ส่องแสงอ่อนๆ เหล่าเฝิงก็ได้ยินเสียงนั้นอีกครั้ง
“มาสิ…มาสิ…มาสิ…มา…”
จากที่ไกลออกไป ก็ใกล้เข้ามา วนเวียนอยู่ทุกหนแห่ง จนจิตใจของเหล่าเฝิงคล้ายมีคลื่นซัดสาดจนไม่อาจสงบใจได้
“มาเถอะ…มาสิ…ได้พบกับลูกสาวคุณ…ให้เธอเรียกคุณว่าพ่อ”
นี่เหมือนการเปิดสวิตช์บางอย่าง ฉับพลันเหล่าเฝิงก็มองไม่เห็นหน้าต่างกรงเหล็กตรงหน้า รวมถึงข้าวของในห้องขังอีก
ทว่าเห็นเพียงประตูบานหนึ่ง…ประตูที่เหมือนว่าเตรียมไว้ให้เขามาแสนนาน
“ยินดีต้อนรับคุณลูกค้า มีอะไรให้พวกผมช่วยไหมครับ?”