สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด - ตอนที่ 41-2 เสียงหัวใจแห่งความสุข
โรงพยาบาลลำดับที่สาม
กู้จยาเจี๋ยตื่นขึ้นหลังจากนอนหลับไม่สนิทตลอดทั้งคืน เขาถือกาน้ำจากห้องพักผู้ป่วยออกมา คิดว่าจะไปเติมน้ำร้อนสักหน่อย
แต่ตอนที่เพิ่งจะเปิดประตูออกมานั้น เขาก็พบกับคนที่เขาไม่รู้ว่าควรจะรับมืออย่างไรดี…แม่ของเขา ‘เฉินเหมยห่วน’
เฉินเหมยห่วนมายืนอยู่ตรงหน้าเขา ทำให้เขาไม่อาจหลบหลีกได้ เขาจึงเผลอปล่อยกาน้ำในมือตกลงพื้นไปอย่างลุกลี้ลุกลน
แต่เฉินเหมยห่วนกลับถอนหายใจ แล้วหยิบกาน้ำขึ้นมา เธอส่ายหน้าพร้อมพูดว่า “เจ้าลูกคนนี้ โตจนป่านนี้แล้ว ทำไมตกใจทีไรก็ลนลานทำอะไรไม่ถูกทุกทีเลยล่ะ?”
กู้จยาเจี๋ยจ้องแม่ของตัวเองอย่างตื่นตะลึง…ประโยคนี้ เขาได้ยินมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว ไม่มีทางลืมแน่นอน
“แม่…แม่ แม่…”
“แม่รู้หมดแล้ว”
…
“ขอโทษครับ…ผม ผมผิดไปแล้ว”
สองแม่ลูกเพียงระบายความในใจออกมาด้วยเสียงแผ่วเบา
กู้จยาเจี๋ยก้มหน้าก้มตาอยู่ตรงระเบียงทางเดินในโรงพยาบาล “แม่ครับ…นี่คือจดหมาย จดหมายที่พี่เขียนให้ผมครั้งสุดท้าย”
กู้จยาเจี๋ยล้วงกระดาษจดหมายที่พับเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมออกมาจากกระเป๋าเสื้อ แล้วส่งไปไว้ในมือของเฉินเหมยห่วน
เฉินเหมยห่วนเปิดจดหมายเงียบๆ อ่านผ่านไปทีละคำ ทีละคำ…น้ำตาก็ร่วงลงทีละหยด ทีละหยด สุดท้ายเธอก็สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วเงยหน้าขึ้นมา ด้วยหวังว่าทำแบบนี้แล้วน้ำตาจะสามารถไหลย้อนกลับเข้าไปได้
และหวังว่าวันเวลาจะสามารถย้อนกลับไปได้เช่นกัน
ในที่สุดเธอก็ถอนหายใจช้าๆ ลูบท้องน้อยของตัวเอง แล้วฉีกจดหมายในมือทิ้งไป
“แม่ครับ…นี่มันสิ่งที่พี่เขาเหลือ…”
เฉินเหมยห่วนเพียงแต่ส่ายหน้าเบาๆ “พี่ชายของลูกยังไม่ตาย เขายังมีชีวิตอยู่ มีชีวิตอยู่ในตัวแม่”
แม่จะบอกว่าพี่ยังมีชีวิตอยู่ในความทรงจำของแม่อย่างนั้นใช่ไหม? กู้จยาเจี๋ยยังไม่เข้าใจความหมายเท่าไรนัก แต่ก็พยักหน้าเหมือนเข้าใจ
เฉินเหมยห่วนวางมือสองข้างลงบนบ่าของกู้จยาเจี๋ยเบาๆ แล้วพูดด้วยเสียงแผ่วเบา “ตอนนี้ลูกมีสองบทบาทแล้วนะ รู้ไหม? อย่าทำให้พี่ชายของลูกต้องผิดหวัง ดูแลคุณย่าของลูกให้ดีๆ ล่ะ ไม่ต้องกลัวนะ เพราะแม่จะช่วยลูกเอง มา…”
เฉินเหมยห่วนรีบเช็ดหน้าตาของตัวเอง ในฐานะที่เป็นผู้ใหญ่ เป็นแม่ของลูก เธอรู้ว่าเธอจะต้องเข้มแข็งกว่าใครทั้งหมด
เธอเปิดหน้าต่างระเบียงทางเดินด้วยแววตาลุ่มลึก กัดฟันพลางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนทิ้งเศษกระดาษจดหมายในมือให้ปลิวลอยหายไปกับสายลม
…
ภายในห้องผู้ป่วย เหอเสี่ยวเม่ยที่เพิ่งตื่นขึ้นมาพยายามหรี่ตามองไปทั่ว เธอคลำไปที่หัวเตียง แล้วก็คิดจะถกผ้าห่มออกเล็กน้อย “จยาฮุยเหรอ? แม่ของหลาน แม่ของหลานกลับมาแล้วใช่หรือเปล่า? ย่าว่าย่า…”
สีหน้าของหญิงชราแฝงไว้ด้วยความเฝ้ารออย่างแรงกล้า
“ฉันเองค่ะ” เฉินเหมยห่วนเดินมาตรงหัวเตียงแล้วนั่งลง เธอจับมือของเหอเสี่ยวเม่ยไว้แน่น แล้วพูดแผ่วเบา “แม่คะ ฉันมาเยี่ยมแม่แล้วนะคะ”
“เหมยห่วน เหมยห่วน…” หญิงชราแทบจะร้องไห้ด้วยความเจ็บปวดใจเป็นที่สุด
เธอไม่เคยคิดเลยว่า อดีตลูกสะใภ้คนนี้จะเรียกเธอว่าแม่ด้วยน้ำเสียงอบอุ่นแบบนี้อีกครั้ง ไม่รู้ว่าสวรรค์เห็นใจเธอหรือเปล่า ความปรารถนาในช่วงชีวิตไม่กี่ปีสุดท้ายของเธอถึงเป็นจริงเสียที
“ดีเหลือเกิน ดีจริงๆ” หญิงชราเช็ดน้ำตา พูดพึมพำซ้ำไปซ้ำมา “ดีเหลือเกิน ดีเหลือเกิน! จยาฮุย มา!”
หญิงชรายื่นมือออกมา คว้ามือของกู้จยาเจี๋ย แล้วก็คว้ามือของเฉินเหมยห่วนมาด้วยเช่นกัน
มือของหญิงชรา มือของแม่ และมือของลูกชายกุมซ้อนกัน
หญิงชราระมัดระวังอย่างที่สุด กลัวว่าจะขัดจังหวะช่วงเช้าที่เป็นเหมือนฝันนี้ เธอพูดเสียงเบาๆ ว่า “รอให้จยาเจี๋ยกลับจากเมืองนอก ครอบครัวพวกเราก็จะได้พร้อมหน้าพร้อมตากันสักทีนะ”
เฉินเหมยห่วนสะอึกสะอื้นครู่หนึ่ง
เธออยากบอกเหลือเกินว่า ‘ครอบครัวพวกเราพร้อมหน้าพร้อมตากันแล้ว’
ในวินาทีนี้
…
…
โรงพยาบาลจัดสวนไว้ให้ผู้ป่วยได้พักผ่อนตามสบาย ต่อให้ทำตัวขี้เกียจอยู่ที่นี่อีกนานแค่ไหน ก็ไม่ได้ผิดอะไร
อากาศวันนี้ดีมากๆ ยิ่งเหมาะจะให้ผู้ป่วยในโรงพยาบาลนี้ออกมาเดินอาบแดดในสวน
ในศาลามุมหนึ่งของสวนโรงพยาบาลนั้น ชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่ตรงนี้ ไม่มีใครไปสังเกตเขา และไม่มีใครสังเกตเห็นเขาด้วยเช่นกัน และไม่มีใครสังเกตเห็นว่าบนม้าหินอ่อนข้างๆ เขายังมีค้อนอีกอันหนึ่ง
เป็นค้อนพลาสติกที่ใช้เล่นเครื่องเกมอะไรแบบนั้น
และเขากำลังแบมือของตัวเองออก บนฝ่ามือ เศษกระดาษชิ้นเล็กๆ กองหนึ่งกำลังปะติดปะต่อกันอย่างประณีต สุดท้ายกระดาษจดหมายที่ฉีกขาดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ก็ต่อกันจนกลายเป็นกระดาษจดหมายอย่างสมบูรณ์
ลั่วชิววางกระดาษจดหมายลงบนหน้าตักตัวเอง แล้วยื่นมือออกไปลูบกระดาษจดหมายให้เรียบ ถึงได้หยิบขึ้นมาอ่านอย่างอดทน
ถ้าหาก ถ้าหากตอนแรกคนที่ถูกพามาเป็นฉัน โชคชะตาของพวกเราจะต่างกันหรือเปล่า
ฉันนั่งอยู่ตรงนี้ นั่งอยู่ในห้องของนาย ที่นี่มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ฉันฝันอยากจะได้มาโดยตลอด และตอนนี้ฉันกำลังคว้าพวกมันเอาไว้ด้วยมือของฉันเอง
แต่ฉันรู้ดีว่า ของพวกนี้ไม่ใช่ของฉัน แม้ว่าตอนนี้ฉันจะมาอยู่ที่บ้านนี้ในฐานะของนายก็ตาม
ฉันเจอแม่แล้ว หลายปีมานี้ ในที่สุดฉันก็มีโอกาสได้พูดคุยกับแม่อีกครั้ง ในที่สุดฉันก็ได้มีโอกาสกินกับข้าวฝีมือแม่อีกครั้ง และในที่สุดก็มีโอกาสได้ยินแม่บอกราตรีสวัสดิ์
แต่ไม่รู้เพราะอะไร ฉันกลับไม่ดีใจเลยสักนิด…ฉันนึกว่าฉันจะดีใจ อย่างน้อยที่สุดช่วงเวลาสุดท้ายในชีวิตฉัน ฉันยังสามารถสัมผัสสิ่งเหล่านี้ ที่สำหรับฉันแล้ว ถือว่ามากมายอย่างไม่มีอะไรเทียบได้ด้วยตัวเอง
แต่ว่า ฉันไม่ดีใจเลยจริงๆ นายรู้ไหมว่าเพราะอะไร?
เพราะในสายตาของแม่ เห็นแต่นายเท่านั้น ฉันไม่โทษแม่หรอก เพราะแม่ไม่รู้ แล้วก็ไม่ได้โทษแม่ที่ในตอนนั้นไปเชื่อคำโกหกของพ่อห่วยๆ คนนี้ของพวกเรา เพราะฉันคิดว่า ในสายตาของแม่ คงไม่คิดว่าบนโลกใบนี้จะมีพ่อที่ไหนทำหลุมศพปลอมให้ลูกชายตัวเองแบบนั้น
ใช่แล้ว ฉันก็รู้เรื่องนี้ทั้งหมด ฉันไม่โทษแม่หรอก…แต่ฉันก็ยังไม่ดีใจอยู่ดี
ถ้าหาก ถ้าหากตอนแรกแม่ยอมไปสืบดูให้ดีๆ สักหน่อยละก็ จะพบอะไรบ้างหรือเปล่า? ถ้าหากตอนแรก คนที่แม่พาไปด้วยคือฉัน ผลลัพธ์จะต่างกันหรือเปล่า?
ฉันเอาแต่ถามตัวเองว่า ทำไมคนที่ทนลำบากถึงเป็นฉัน เพราะอะไร คนที่ถูกทิ้งไว้กับครอบครัวนี้ถึงเป็นฉัน เพราะอะไรคนที่ต้องทนอยู่กับพ่อห่วยๆ แบบนี้ถึงเป็นฉัน แค่เพราะเป็นคำตัดของศาลงั้นเหรอ?
บางครั้งฉันก็คิด การตัดสินหย่าครั้งนั้นได้ให้สิทธิ์แม่เลือกบ้างหรือเปล่า เป็นการเลือกของแม่ หรือการตัดสินของศาลกันแน่
ฉันไม่รู้ แล้วฉันก็ไม่กล้าคิด
วันนี้พ่อห่วยๆ ของนายตีฉันอีกแล้ว แน่นอนว่า ฉันอยู่ที่นี่ในฐานะของนาย ฉันตอบโต้เขา ตอบโต้เขาตามสัญชาตญาณ ฉันไม่รู้ว่าทำไมหลายปีมานี้นายถึงไม่ตอบโต้ แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ตอนที่ฉันรู้ว่าเขาทำกับนายแบบนี้ พูดจริงๆ นะ ฉันแอบดีใจนิดหน่อย
เพราะถึงโชคจะเข้าข้างนาย นายก็ไม่ได้มีชีวิตดีไปกว่าฉันสักเท่าไร
ฉันเกลียด ฉันเกลียดทุกสิ่งทุกอย่างนี้
ฉันเกลียดนาย
เกลียด ฉันเกลียดแม่
ฉันก็เลยตัดสินใจ ลงโทษพวกนายทุกคนให้สาสมสักหน่อย ฉันจะกระโดดตึกลงมาจากห้องพักของนายในฐานะของนาย
ฉันจะให้นายทุกข์ทรมาน และจะให้แม่เสียใจด้วย ถึงต่อมานายจะสารภาพความจริง ถึงต่อมาจะเปิดเผยความจริงเรื่องนี้ออกมา ฉันก็ไม่สนใจทั้งนั้น เพราะว่าพวกนายได้ลิ้มรสความทุกข์ทรมานมาแล้ว นี่เป็นบทลงโทษพวกนาย
น่าขำใช่ไหม? ในเมื่อตัดสินใจแบบนี้แล้ว กลับยังเขียนจดหมายฉบับนี้อีก
ไม่ว่ายังไง ฉันก็ฝากนายดูแลย่าให้ดีๆ ด้วย ไม่มีย่าแล้ว ฉันคงไม่รอดมาถึงตอนนี้หรอก
ฉันไม่เคยมีความสุขเลยสักครั้ง
หากชาติหน้ามีจริงละก็…
หลิวจยาฮุย จดหมายลาตาย
…
หลังเจ้าของสมาคมพับจดหมายในมืออย่างประณีตแล้ว เขาก็หยิบค้อนเล็กๆ ข้างตัวขึ้นมา แล้วเคาะม้าหินอ่อนไปเบาๆ
ป๊อก!
เสียงหัวใจเต้น
เสียงหัวใจเต้น…ของชีวิตน้อยๆ ทั้งแข็งแกร่งและทรงพลัง เต้นไปพร้อมกับเสียงหัวใจของผู้เป็นแม่