สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด - ตอนที่ 41-1 เสียงหัวใจแห่งความสุข
พวกปีศาจน้อยล้อมรอบขอบหน้าต่างด้วยท่าทางน่ารักน่าเอ็นดู เพราะกลัวว่าหากส่งเสียงเล็ดลอดออกมาเบาๆ จะทำให้พี่เฮยสุ่ยที่นอนหลับสบายอยู่บนเตียงตกใจตื่นได้
ขนาดจูหลัวจื่อที่กำลังกอดมันฝรั่งทอดถุงหนึ่ง ก็ยังไม่กล้ายัดมันฝรั่งแผ่นเข้าปากเสียงดัง แต่ค่อยๆ เคี้ยวบดแผ่นมันฝรั่งในปากเบาๆ ราวกับเคี้ยวลูกอมเม็ดหนึ่งเท่านั้น
ตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว พี่เฮยสุ่ยกลับมาด้วยสีหน้าซีดขาวจนน่าตกใจ บอกว่าจะนอนพักสักหน่อย อย่าเพิ่งรบกวนเธอ…จนถึงตอนนี้ก็คืนหนึ่งเต็มๆ แล้ว
บนเตียงนั้น เฮยสุ่ยวางสองมือประสานกันอยู่บนหน้าท้อง ชุดเดรสสีดำแผ่สยายอยู่สองข้างกันเท่าๆ กัน
ดูสงบเยือกเย็น
“พี่หลิงหลิง พี่จะทำอะไรเหรอ”
จูหลัวจื่อเอ่ยถามปีศาจกระต่ายน้อยหลิงหลิง ด้วยเพราะจูหลัวจื่อเห็นปีศาจกระต่ายน้อยปีนขึ้นมาถึงบนเตียง และกำลังเขยิบเข้าไปใกล้ข้างหมอนเฮยสุ่ย
ปีศาจกระต่ายน้อยกะพริบตาดวงโตสีแดงราวกับอัญมณี แล้วตอบว่า “ข้าจะดูว่าจุมพิศปลุกพี่เฮยสุ่ยให้ตื่นได้หรือเปล่าไง!”
“หา?”
“เจ้าโง่! เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าเจ้าชายปลุกเจ้าหญิงนิทรายังไงน่ะ?” ปีศาจกระต่ายน้อยหลิงหลิงท้าวสะเอว ดูราวกับเป็นพี่สาวคนโตของพวกปีศาจน้อยในที่นี่ทั้งหมดอย่างเห็นได้ชัด “รู้จักแต่กิน! เจ้าสมองหมู*!”
“ข้าก็เป็นหมูอยู่แล้วนี่”
“ไม่สนเจ้าแล้ว!” หลิงหลิงทำตาค้อนใส่ แล้วถึงได้รวมรวมสมาธิ ทำปากจู๋ๆ โน้มตัวเข้าไปใกล้ริมฝีปากของเฮยสุ่ยอย่างช้าๆ
ทันใดนั้นเอง พวกปีศาจน้อยก็นึกเรื่องหนึ่งได้ พี่เฮยสุ่ยเคยบอกว่าการจุมพิศเป็นเรื่องน่าอาย จึงพากันยกมือปิดตาตัวเอง แล้วแอบมองลอดช่องว่างระหว่างนิ้วแทน
เกือบจะจุมพิตโดนริมฝีปากของพี่เฮยสุ่ยแล้ว…เสี่ยวหลิงหลิงก็กลืนน้ำลายอย่างเผลอไผล ไม่รู้ทำไมจู่ๆ หัวใจก็เต้นแรงขึ้นมา
รู้สึกใบหน้าเริ่มร้อนผ่าวขึ้นมาทันที ร่างกายยังดูเหมือนจะแห้งผากอย่างน่าประหลาด หน้าอกก็กระเพื่อมขึ้นลงน้อยๆ และหัวใจก็เอาแต่เต้นดังตึกตัก
นี่มันความรู้สึกแบบไหนกันนะ? ทั้งตื่นเต้น และรู้สึกรอคอย…ปีศาจกระต่ายน้อยหลิงหลิงรู้สึกว่าการหายใจของตัวเองเปลี่ยนเป็นกระชั้นขึ้นด้วยเช่นกัน
แต่ในขณะนั้นเอง เฮยสุ่ยกลับลืมตาขึ้นทันที
วินาทีที่ดวงตาทั้งสองคู่ประสานกัน ปีศาจกระต่ายน้อยหลิงหลิงก็ตกใจจนสะดุ้งลุกขึ้นยืนทันที แต่ไม่ทันได้ยืนให้มั่นคงก็ตกเตียงไปเสียก่อน
เธอยังไม่ทันร้องเจ็บด้วยซ้ำ แต่ลุกขึ้นมานั่งกุมหน้าผากตัวเองที่ถูกกระแทกจนเจ็บ แล้วพูดด้วยท่าทางตื่นเต้นดีใจ “พี่เฮยสุ่ย พี่ตื่นแล้ว!”
เฮยสุ่ยลุกขึ้นนั่งทำท่าจุ๊ปาก พูดเบาๆ ว่า “เด็กดี ทุกคนรีบไปหลบก่อน”
เพิ่งจะสิ้นเสียงของเฮยสุ่ย ปีศาจน้อยพวกนี้ต่างพากันรีบหลบไปอย่างรวดเร็ว บ้างก็หลบใต้เตียง บ้างก็เข้าไปในตู้เสื้อผ้า ในห้องน้ำ ใต้โต๊ะ ตลอดจนด้านหลังทีวี
ทำตามที่ซ้อมกันไว้ทั้งนั้น
แต่เฮยสุ่ยกลับไม่ดีใจเลยสักนิดเดียว…ต้องฝึกฝนการหลบซ่อนเป็นระเบียบแผนแบบนี้ ก็ด้วยหลายปีมานี้ต้องใช้ชีวิตหลบๆ ซ่อนๆ อยู่ตลอด
เดิมทีพวกมันน่าจะได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขไร้กังวลในป่าต่างหาก
เฮยสุ่ยลอบถอนหายใจอยู่ในใจ เธอพยุงตัวลุกขึ้นจากเตียง แล้วเดินมาตรงหน้าประตูห้อง…ก่อนเปิดประตูออก
วินาทีที่เปิดประตูนั้น ก็เห็นเฉินเหมยห่วนยืนอยุ่ตรงหน้าประตูห้อง พร้อมกับมือที่กำลังทำท่าจะเคาะประตูค้างอยู่กลางอากาศ เห็นได้ชัดว่า เธอยังไม่ทันได้เคาะประตู ประตูก็เปิดออกแล้ว
เฉินเหมยห่วนดูตกใจเล็กน้อย
“มาหาฉันมีเรื่องอะไร?” เฮยสุ่ยมองดูคุณแม่คนนี้แวบหนึ่ง
ดวงตาของเธอยังบวมแดง แต่แววตากลับต่างกันออกไป…คาดว่าคงแก้ไขปัญหาจบลงด้วยดีแล้วล่ะมั้ง
“ฉัน ตอนหลังฉันได้ยินคนคนนั้นบอกว่า เป็นเพราะคุณ…” เฉินเหมยห่วนคิดจะอธิบายจุดประสงค์การมาของตัวเอง
แต่เฮยสุ่ยกลับพูดตัดบททันที “ถ้าไม่มีธุระอย่างอื่นก็เชิญกลับไปเถอะ ฉันไม่สนใจอยากพูดกับคุณ แล้วต่อไปนี้ก็ไม่ต้องมาหาฉันแล้วนะ”
“ไม่ว่ายังไง…” เฉินเหมยห่วนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พูดว่า “คุณมีบุญคุณยิ่งใหญ่กับฉัน ชั่วชีวิตนี้ฉันจะไม่ลืมเลยค่ะ!”
“แล้วแต่คุณแล้วกัน” เฮยสุ่ยพูดด้วยแววตาไร้เยื่อใย แล้วก็คิดจะปิดประตู “พวกเราไม่เกี่ยวข้องกันแล้ว กลับไปดูแลลูกชายคุณให้ดีๆ เถอะ อย่าให้เขาเดินหายไปอีกล่ะ”
เฉินเหมยห่วนมองดูประตูที่กำลังจะปิดลง แล้วก็ยื่นมือออกมาขวางไว้ทันที เธอสบตากับหญิงลึกลับ คนนี้ผ่านช่องว่างเพียงเล็กๆ พวกเธอไม่เคยรู้จักกันมาก่อน เพียงแค่มีวาสนาได้มาพบกันเท่านั้น
เฉินเหมยห่วนหน้าตาจริงจังพูดอย่างซาบซึ้งใจ “ฉันจะคลอดเขาออกมา ถึงต้องยากลำบากหรือเป็นทุกข์ยังไง ฉันจะให้เขาเกิดมาเป็นเด็กแข็งแรง และเป็นแม่ของเขาตลอดไป!”
“คลอด?” เฮยสุ่ยหยุดชะงัก ในดวงตามีประกายความสงสัยเล็กน้อย
เฉินเหมยห่วนพยักหน้า แล้วก้มหน้าลูบคลำท้องน้อยของตัวเองเบาๆ ด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข
…
ในที่สุดประตูก็ปิดอย่างไร้สุ้มเสียง ปิดกั้นการสนทนาของหนึ่งมนุษย์หนึ่งปีศาจ
เฮยสุ่ยพิงประตูเงียบๆ พร้อมกับพูดพึมกำกับตัวเองว่า “ฉันก็แค่…”
ถึงแม้ว่าเธอจะบอกสิ่งที่ต้องการซื้อออกไป แต่เธอก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่า ร้านค้าลึกลับที่มาจากในความมืดมิดนั้นเข้าใจความหมายของเธอแล้ว
เธอแค่หวังว่าจะทำให้ศพฟื้นกลับมาอยู่ในสภาพเดิม กำจัดกลิ่นศพให้หมดไป ทำให้ดวงวิญญาณเกิดใหม่ดวงนี้สามารถเติบโตได้อย่างแข็งแรงก็เท่านั้น
แต่กลับเปลี่ยนรูปแบบไปเสียแล้ว ถ้าเธอให้กำเนิดดวงวิญญาณดวงนั้นจริงๆ ละก็….มันจะรู้สึกได้ถึงความรักที่แท้จริงบนโลกมนุษย์ และเติบโตอย่างแข็งแรงยิ่งขึ้น
มัน…จะกลายเป็นเขาจริงๆ สินะ
“เขาจะโตขึ้นเป็นคนแบบไหนกันแน่นะ…”
คุณเฮยสุ่ยที่มาจากหุบเขาลึกในป่าเก่าแก่ บำเพ็ญเพียรมาหลายร้อยปี และมีอคติอย่างแรงกล้ากับพวกมนุษย์ เริ่มนอนหลับลึกอีกครั้งด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก
…
…
ตอนที่เซอร์หม่าเพิ่งกลับมาถึงห้องทำงาน เขาก็พบว่าในนี้มีชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งรออยู่แล้ว
เขาจำชายหนุ่มคนนี้ได้ นี่คือลูกน้องของเหล่าฉินฝ่ายนิติเวช
“เอ๊ะ เสี่ยวเป่า ทำไมคุณมาหาผมที่นี่ตั้งแต่เช้าเลยล่ะ?”
“นายตำรวจหม่า!” เห็นแต่ชายหนุ่มคนนี้พูดพร้อมคอตกว่า “ผมขอมาลี้ภัยการเมืองอยู่กับคุณที่นี่ชั่วคราวได้ไหมครับ?”
“ว่าไงนะ?” เซอร์หม่าที่ไม่เข้าใจ ทำหน้าตางงเป็นไก่ตาแตก
“หัวหน้าฉินอารมณ์เสียตั้งแต่เช้าเลยครับ ผมนี่ไม่กล้ากลับไปเลย” เสี่ยวเป่าพูดพร้อมกับถอนหายใจ
“เป็นอะไรอีกล่ะ?”
“คืออย่างนี้ครับ ก่อนหน้านี้มีศพถูกส่งมาใช่ไหมครับ? ครั้งแรกส่งชิ้นเนื้อไปชันสูตรผลออกมาว่ามีเซลล์มะเร็ง ต่อมาก็หายไป แต่ส่งไปชันสูตรอีกทีเมื่อกี้ก็ดันเจออีก…”
เสี่ยวเป่าพูดพลางถอนหายใจว่า “หัวหน้าฝ่ายนิติเวชบอกว่า ผมไม่ตั้งใจทำงาน ด่าผมสาดเสียเทเสียซะยับไปเป็นชุดเลย แต่ผมรับรองได้ว่าตรวจชันสูตรละเอียดทุกครั้งนะครับ…เหมือนผีหลอกเลยจริงๆ! ทำไมผลถึงเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาแบบนี้ล่ะ?”
“ผลออกมาแล้ว?” หม่าโฮ่วเต๋อแววตาเป็นประกาย
“ครับ ผลออกมาแล้ว เป็นเซลล์มะเร็งจริงๆ ครับ” เสี่ยวเป่าพยักหน้าพูดต่อ “ครั้งนี้ไม่ผิดแน่ครับ…เอ่อ นายตำรวจหม่า ท่านกับหัวหน้าเป็นเพื่อนสนิทกันมาหลายปีขนาดนี้ ถ้าไง…ท่านช่วยผมพูดหน่อยได้ไหมครับ?”
หม่าโฮ่วเต๋อส่ายหน้าปฏิเสธทันที “ผมไม่กล้ายุ่งเรื่องซวยๆ ของเหล่าฉินหรอก บนโลกใบนี้มีเพียงคนเดียวที่กล้ามีเรื่องกับเขาซึ่งๆ หน้า น่าเสียดายที่คนนั้นไม่อยู่แล้ว”
“หา? ยังมีคนกล้ามีเรื่องกับหัวหน้าอีกเหรอครับ? เท่ขนาดนั้นเลย? ใครกันครับ?”
หม่าโฮ่วเต๋อค่อยๆ นั่งลง ดูดบุหรี่ไปครั้งหนึ่ง ก่อนนึกย้อนกลับไปแล้วตอบว่า “คนที่เมื่อก่อนนั่งอยู่ในห้องทำงานนี้…พี่ใหญ่ของผมไง น่าเสียดาย เขาไม่อยู่แล้ว”
“งั้น…งั้นผมยังต้องกลับไปห้องแผนกหรือเปล่าครับ?”
หม่าโฮ่วเต๋อยิ้มแล้วพูดว่า “คุณไม่ต้องกลัวไปหรอก ผมเข้าใจเหล่าฉินดี ถ้าเป็นคนที่เขาคิดว่าขุดไม่ขึ้น เขาก็จะไม่พูดอะไรสักคำ ถ้าเขาด่าคุณสาดเสียเทเสียไปชุดหนึ่งแล้วจริงๆ งั้นก็ยืนยันได้ว่าเขาคาดหวังในตัวคุณ เข้าใจไหม?”
“…ท่านยังไม่ตอบผมเลย ผมจะกลับไปดีหรือเปล่าครับ”
“งั้นคุณยังต้องการเงินเดือนอยู่ไหม!” หม่าโฮ่วเต๋อตบโต๊ะฉาดหนึ่ง แล้วพูดด้วยท่าทางดุร้าย อย่างกับยมทูตตนหนึ่งก็มิปาน “ยังไม่รีบไสหัวกลับไปอีก! หมอนิติเวชมานั่งลอยชายอยู่ในฝ่ายสืบคดีทั้งวัน ประสาทหรือไง!”
“ขอ ขอ ขอ ขอโทษครับ…”
…
…
*เจ้าสมองหมู เป็นคำด่าในภาษาจีน แปลว่า เจ้าโง่