สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด - ตอนที่ 40 ชีวิตน้อยๆ
ลั่วชิวไม่ค่อยมีความทรงจำร่วมกับเฮยสุ่ยนัก
ถึงจะบอกว่าเคยแลกเปลี่ยนกับเฮยสุ่ยมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ก็เพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ไม่ได้ถือว่าอยู่ในระดับลูกค้าที่สนิทสนมกันนัก
แต่ถึงอย่างนั้น เธอก็ยังเป็นลูกค้า
ยังไงเจ้าของสมาคมก็ไม่ทำตัวเสียมารยาทกับลูกค้าอยู่แล้ว
“สิ่งที่ลูกค้าจ่ายได้ ไม่พอสำหรับทำเรื่องนี้”
ลั่วชิวให้คำตอบเฮยสุ่ย “และวิญญาณที่เกิดขึ้นใหม่ในร่างกายเขาก็ไม่ใช่วิญญาณเดิมของเขา”
เฮยสุ่ยพยักหน้าเล็กน้อยด้วยความฉงน
ลั่วชิวมองดูเขาที่ยังก้มหัวโขกพื้น พร้อมกับพูดเสียงเบาๆ ว่า “วิญญาณเกิดใหม่ดวงนี้แค่อาศัยความห่วงหาตลอดจนความทรงจำที่ยังหลงเหลืออยู่ในร่างนี้ สร้างเป็นวิญญาณใหม่ทั้งหมด บางทีเขาอาจมีความฝังใจลึกซึ้งเกี่ยวกับแม่ แต่เขาจะไม่รู้ว่าตัวเองเคยเป็นใคร…เขาจะเป็นเหมือนทารกเกิดใหม่คนหนึ่งเท่านั้น อย่างเช่นความเจ็บปวดในตอนนี้ของเขา ก็เป็นแค่ความทรงจำถูกปฏิเสธแค่นั้น”
เด็กแรกเกิด
บางทีก็เหมือนจุดเริ่มต้นของสิ่งที่มีชีวิตทั้งหมดทั้งมวล พอเขาเห็นเฉินเหม่ยห่วนคนแรกก็คิดว่าเธอเป็นญาติสนิทเพียงคนเดียว
“ไม่สิ…ในเมื่อเป็นแบบนี้ทำไมเขาถึงปฏิเสธแม่ของเขาได้?” เฮยสุ่ยคิดจะไปโต้แย้ง
แต่มุมมองความคิดของเธอไม่ได้ลึกซึ้งเท่ากับเจ้าของสมาคม
“ผมบอกแล้วว่าเขาเกิดมาจากความทรงจำที่มีร่วมกันในช่วงนี้ รวมกับความห่วงหาที่หลงเหลืออยู่ในใจ ซึ่งเป็นส่วนที่หล่อเลี้ยงวิญญาณของเขา…” ลั่วชิวมองเฉินเหมยห่วนที่กำลังสับสน
ตอนนี้ผู้เป็นแม่ซึ่งอยู่ในสภาวะสับสนก็ก้มหน้าอย่างเลื่อนลอย คล้ายไม่ได้ยินเรื่องอะไรทั้งนั้น
เธออาจจะได้ยิน เพียงแต่ไม่รู้ว่าตัวเธอสามารถทำอะไรได้บ้าง
“ในเมื่อเป็นส่วนหล่อเลี้ยงวิญญาณของเขา โดยธรรมชาติแล้วต้องมีเศษเสี้ยวความทรงจำของหลิวจยาฮุยมาด้วย” ลั่วชิวมองเฮยสุ่ย แล้วพูดเสียงเบาๆ “เขาจึงเกิดความรู้สึกไปตามสัญชาตญาณ ถึงเขาคิดให้ลึกซึ้งไม่เป็น แต่ก็รับรู้ได้”
“เพราะแรกเกิด เขาจึงแสดงความรู้สึกของตัวเองในรูปแบบที่ถูกต้องไม่ได้ ถึงจะเจ็บปวด…” ลั่วชิวหยุดชะงัก กำลังคิดคำพูดที่เหมาะสมที่สุด “ถึงเจ็บปวด ก็คงจะรู้จักแค่การทำร้ายตัวเองล่ะมั้ง”
ถึงเจ็บปวด ก็คงจะรู้จักแค่การทำร้ายตัวเองล่ะมั้ง
คำพูดดังเข้าไปในหูและใจของเฉินเหมยห่วน…อย่างชัดเจน
เธอเงยหน้าขึ้นมาทันที
เขายังคงเอาหัวกระแทกกับพื้นอย่างบ้าคลั่ง แต่ฉับพลันนั้นก็กระแทกเข้ากับของนุ่มๆ…กระแทกเข้ากับมือที่เคยจับและกุมมือของเขา
“พอแล้ว” เฉินเหมยห่วนพูดทั้งน้ำตา “พอได้แล้ว”
เธอสูดจมูก หายใจเข้าลึกๆ แล้วกอดหัวของเขาแนบแน่น “พอแล้ว…อย่าทำร้ายตัวเองอีกเลย”
นั่นเป็นเสียงที่อ่อนโยนที่สุดที่เขาเคยได้ยินมา เสียงที่ทำให้ร่างกายเขาหยุดชะงัก…ไปพร้อมกับเสียงร้องไห้
“หยุดเถอะ” เธอพูดเบาๆ อีกครั้ง…ซ้ำแล้วซ้ำลเ “พอได้แล้ว”
เฮยสุ่ยทนเห็นภาพนี้ไม่ได้ จึงหันหน้าหนีไปทันที…ผู้หญิงคนนี้ใช้น้ำเสียงอบอุ่นคล้ายกับเสียงเล่านิทานให้เด็กดื้อไม่ยอมนอน พูดเบาๆ ว่า “อย่าร้องนะ แม่เป็นคนธรรมดา บางครั้งแม่ก็กลัวเป็น…อย่าร้องเลยนะจ๊ะ”
เขาอยู่ในอ้อมอกของแม่เงียบๆ
เขาผู้ที่หัวใจหยุดเต้นกลับได้ยินเสียงเต้นของหัวใจอันทรงพลังและเข้มแข็งดังมาจากร่างกายที่อบอุ่นนี้
เขาไม่มีความทรงจำมากมาย แต่เหมือนเคยได้ยินเสียงหัวใจเต้นแบบนี้ที่ไหนมาก่อน
ถึงสมองจะจำไม่ได้…แต่ร่างกายยังคงเหลือความรู้สึกนี้
นั่นคือตอนที่เขายังอยู่ในร่างกายของเธอ ยังอยู่ในครรภ์อบอุ่นที่เต็มไปด้วยน้ำคร่ำอันเป็นพื้นที่ที่ปลอดภัยที่สุดในโลก เสียงที่เคยได้ยิน เสียงที่ทำให้เขารู้สึกปลอดภัย
เป็นเสียงแรกที่เขาได้ยินในร่างกายของแม่เมื่อมาอยู่บนโลกใบนี้
เสียงหัวใจเต้นของแม่
มีเพียงเฮยสุ่ยและลั่วชิวที่ได้ยินเสียงจากลำคออันเน่าเปื่อย
เขาอ้าปากพูดอยู่ในอ้อมอกเฉินเหมยห่วน ราวกับเด็กเล็กที่เรียนพูดครั้งแรก
เขาร้องเรียก ‘แม่’
แม่
…
“เขา…เขาสงบลงแล้ว”
ไม่รู้ว่าทำไมเฮยสุ่ยถึงโล่งอกไปด้วย
บางทีอาจจะดีใจอยู่บ้าง
เพียงแค่เห็นแม่ที่เจ็บปวดที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ เธอก็แอบถอนหายใจอีกครั้ง ผ่านไปไม่นาน เฮยสุ่ยก็เดินไปข้างๆ ลั่วชิวทันที เธอก้มหน้าแล้วพูดเบาๆ ว่า “ข้าอยากซื้อของอย่างหนึ่งกับเจ้า”
พูดจบเธอก็กัดฟัน ก้มหน้าลงแล้วเดินไปจากข้างกายลั่วชิว…เธอไม่ได้ไปไหนไกล เพียงแค่เดินไปข้างๆ เครื่องเล่นอีกเครื่องในสวนสนุกเท่านั้น
ลั่วชิวมองแม่ลูกคู่นี้…พอวิญญาณที่เพิ่งเกิดใหม่ได้เจอเรื่องทุกข์ยากก็ยิ่งงดงาม เจ้าของร้านลั่วตัดใจจากความงดงามนี้ไม่ลงจนไม่อยากขยับเท้าของตัวเองจากไปไหน
แต่…เขาจำต้องจากไปชั่วคราว ด้วยเพราะมีลูกค้ามาเจรจาธุรกิจด้วยแล้ว
ยังดีที่ไม่ไกล
“ไม่ทราบว่าคุณเฮยสุ่ยอยากซื้ออะไรหรือครับ?”
เขามักจะตั้งใจแบบนี้เสมอตอนที่เผชิญหน้ากับลูกค้า…ถึงแม้ตอนนี้วิญญาณที่เพิ่งเกิดใหม่ตนนั้นจะดึงดูดเขามากก็ตามที
เฮยสุ่ยกลับถามว่า “เขาจะไม่ตายตอนนี้…ใช่ไหม?”
ลั่วชิวพยักหน้าตอบ “ไม่ใช่แค่ไม่ตาย แต่ยังแข็งแกร่งกว่าเดิมด้วย…วิญญาณเป็นสิ่งมหัศจรรย์มาก บางทีเขาอาจจะตายในวินาทีถัดไป แต่บางทีเขาก็อาจจะเกิดใหม่ในวินาทีต่อไปเช่นกัน อืม…ถ้าหากจะใช้การบำเพ็ญเพียรมาอธิบายแบบนี้ น่าจะเป็นการทำลายกฎเก่าแล้วสร้างกฎใหม่ขึ้นมาล่ะมั้งครับ แน่นอนว่าความจริงแล้ว ผมไม่เข้าใจเรื่องการบำเพ็ญเพียรเลยแม้แต่น้อย คำพูดที่ว่า ‘ปราศจากการทำลายล้างย่อมไร้การประกอบสร้าง’ ก็แค่เรียนมาจากการดูอภิปรายมาบ้างเท่านั้น หวังว่าจะไม่เป็นการสอนจระเข้ว่ายน้ำต่อหน้าคุณเฮยสุ่ยหรอกนะครับ”
สอนจระเข้ว่ายน้ำ? นี่ไม่ใช่การเสียดสีจริงๆ เหรอ?
เฮยสุ่ยมองเจ้าของสมาคมอย่างเฉยชาแวบหนึ่ง ถึงเธอเข้าใจดีว่าอีกฝ่ายแสดงการนอบน้อมและจริงใจ
แต่พอเธอได้ยินแล้ว…ก็ยังตะขิดตะขวงใจอยู่ดี
“งั้น…ร่างกายของเขา?”
“จะเน่าเปื่อยต่อไป แต่ยังเดินได้ครับ” ลั่วชิวคิดอยู่สักพักแล้วพูดว่า “แต่หลังจากเน่าเปื่อยถึงระดับหนึ่งแล้ว ก็จะหยุดลง…นี่เป็นระดับสูงสุดตามกำลังซื้อของเฉินเหมยห่วนแล้วครับ”
เฮยสุ่ยถอนใจแล้วพยักหน้า ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์…อย่างที่คิดไว้จริงๆ
เธอมองลั่วชิวผู้ไม่มีเงาสะท้อนของสิ่งใดในดวงตาทั้งคู่เลย ทันใดนั้นเองเธอก็ดึงคอเสื้อของเธอออก
ชุดเดรสสีดำกับผิวขาวหมดจด เป็นสีที่ตัดกันอย่างสวยงาม
ตอนที่ค่อยๆ เปลื้องผ้าออกมาจนก่อนถึงหน้าอก เฮยสุ่ยถึงได้หยุดมือ…เธอใช้นิ้วมือวาดไปบนหน้าอกของตัวเองเบาๆ
เล็บมืออันแหลมคมกรีดจนเป็นบาดแผลตื้นๆ หนึ่งรอยบนผิวหนัง
แผลปริออก เลือดสีแดงอมดำเริ่มทะลักออกมา…แต่ในตอนนี้เอง ของเหลวคล้ายทองหลอมก็ไหลออกมาพร้อมกับเลือดสีแดงสด
เฮยสุ่ยมีสีหน้าอ่อนเพลียเล็กน้อย เธอกัดฟัน ใช้ฝ่ามือปิดไว้บนแผล หลังผ่านไปสักพักเธอถึงได้เอามือออก แล้วยื่นมือมาตรงหน้าลั่วชิว
ในฝ่ามือของเธอ มีไข่มุกสีทองคล้ายกับหยดน้ำตาหยดหนึ่งกำลังขยับอยู่ช้าๆ
“เลือดกลั่นหยดหนึ่งพอหรือไม่”
“เลือดกลั่นหนึ่งหยดของคุณมีค่าสูงมาก” ลั่วชิวพยักหน้า พูดว่า “แต่ คุณเฮยสุ่ยยังไม่บอกสิ่งที่อยากได้เลยนะครับ”
เฮยสุ่ยพูดอย่างเฉยชาว่า “พวกเจ้ารู้ไปเสียทุกเรื่องไม่ใช่เหรอ? ทำไมยังต้องถามข้าอีก?”
“ผมเข้าใจแล้วครับ ลูกค้าที่เคารพ” ลั่วชิวโค้งคำนับให้สัญญาณ
เลือดกลั่นหยดนั้นก็ลอยขึ้นกลางอากาศ ส่วนเฮยสุ่ยที่สีหน้าซีดเผือดก็หันหลังไปจัดเสื้อของตัวเองให้เข้าที่
ลั่วชิวพูดพร้อมกับพิจารณาเลือดกลั่นหยดนี้ “ดูเหมือนว่าคุณเฮยสุ่ยจะไม่ได้เกลียดมนุษย์อย่างที่คิดเอาไว้นะครับ”
“เจ้าผิดแล้ว ข้าไม่เคยรู้สึกดีกับมนุษย์เลยต่างหาก” เธอเอียงคอเล็กน้อย “สำหรับข้าแล้ว เธอเป็นแค่แม่คนหนึ่งเท่านั้น”
“นั่นสินะครับ…” ลั่วชิวยิ้มน้อยๆ
น่าจะเพราะ…ปีศาจก็มีความรู้สึกล่ะมั้ง
“คำถามเดียว” จู่ๆ เฮยสุ่ยก็เอ่ยถาม “พวกเจ้าชอบใช้ข้อมูลที่ได้เปรียบกว่ามาหลอกลูกค้าหรือ?”
“ทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะครับ?”
เฮยสุ่ยยิ้มเจื่อนถามกลับ “หรือว่าไม่จริง? ตอนแรกพวกเจ้าไม่ยอมบอกว่านั่นคือลูกชายอีกคนของเธอ นี่เรียกว่ายุติธรรมเหรอ? หรือเจ้าคิดว่า ถ้าเธอรู้ว่านี่คือลูกชายอีกคนก็จะไม่ยอมแลกเปลี่ยน? ก็เลยปิดเอาไว้?”
แต่เฮยสุ่ยไม่ได้ยินคำตอบโดยทันที
เธอส่ายหน้า เอาเถอะ ยังไงเสียพวกเจ้า…ก็ไม่ใช่สถานที่ที่ทำบุญสุนทานอะไร เอาตามนี้แล้วกัน”
เธอไม่เลือกดูจนถึงท้ายที่สุด…ด้วยเพราะเธอรู้ว่า สมาคมนี้ทำสิ่งที่เธอต้องการได้เป็นอย่างดี
แต่ขณะที่เธอกำลังจะก้าวขาออกจากสวนสนุกกลับได้ยินอีกฝ่ายพูดว่า
“ถึงตายไปแล้วก็ยังสร้างความทรงจำร่วมกับแม่ของเขาไม่ได้…แบบนี้จะยุติธรรมกับเขาหรือครับ”
ตอบกลับมาแบบนี้
เหมือนกับกำลังทอดถอนใจ
ได้ยินคำตอบแบบนี้ก่อนก้าวออกจากประตู ก็ให้เฮยสุ่ยชะลอฝีเท้าของตัวเองทันที
เธอไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจเจ้าของร้านวัยรุ่นที่มีพลังน่ากลัวคนนี้เอาเสียเลย
เขา…กำลังสงสารจยาฮุยหรือ?
ตั้งแต่แรก
เฮยสุ่ยไม่เข้าใจเช่นกัน เธอเคยพูดกับตัวเองว่าจะไม่แลกเปลี่ยนกับสมาคมแห่งนี้โดยเด็ดขาด แต่ที่น่าเยาะเย้ยก็คือ ไม่ทันไรเธอก็ทำลายเจตนารมณ์ที่ยังดังก้องอยู่ในหูลงด้วยน้ำมือของตัวเอง
เฮยสุ่ยก้มหน้าแล้วออกจากที่นี่ไป…สำหรับเธอแล้วเลือดกลั่นหยดหนึ่ง เกี่ยวพันถึงสภาวะแวดล้อมที่ให้ปีศาจดำรงอยู่ในยุคปัจจุบันเลยทีเดียว…
สรุปก็คือเธอจะต้องอ่อนแอไปอีกระยะหนึ่ง
…
…
ลั่วชิวเก็บค้อนของเครื่องเล่นทุบเต่าที่ถูกโยนทิ้งบนพื้นขึ้นมา แล้วหยิบกระดาษทิชชูออกมาเช็ดคราบสกปรกบนผิวค้อนออกจนสะอาด
เฉินเหมยห่วนไม่สนใจเขา…ตอนนี้เธอเอาแต่สนใจคนในอ้อมกอดเธอเท่านั้น
ไม่ว่าจะเป็นเขาหรือว่าเขา เธอรู้แค่ว่า…นี่ก็คือลูกของเธอ เฉินเหมยห่วนมองดูเขาที่หลับตาพริ้ม รวมถึงท่าทางหลับลึกของเขา ก่อนยกนิ้วมือของเขาขึ้นมาเบาๆ
ก็เหมือนกับวันที่เธอเพิ่งจะให้กำเนิดสองพี่น้องจยาฮุยและจยาเจี๋ย วันที่เธอจับมือน้อยๆ ของสองพี่น้องขึ้นมาเป็นครั้งแรก
เจ้าของร้านลั่วเดินไปยืนอยู่ตรงหน้าเธอ
เขาย่อตัวลงมา ทำให้คนแม่สะดุ้งตกใจ เธอมองลั่วชิวด้วยท่าทางหวาดกลัว วินาทีที่เธอคิดจะพูดนั้น กลับพบว่าตัวของเธอขยับไม่ได้แล้ว
แม้กระทั่งความสามารถในการพูดก็ดูเหมือนถูกควบคุมเอาไว้อย่างไรอย่างนั้น
เธอมองลั่วชิวเอามือทาบบนหน้าอกของเขาด้วยความตกใจกลัว เขาเอาแสงสีขาวบริสุทธิ์เล็กๆ ออกมาจากตรงนี้…เฉินเหมยห่วนคิดอยากจะขยับหัว อยากจะลืมตาของตัวเอง ด้วยอยากจะหยุดทุกสิ่งทุกอย่างนี้
แต่เธอกลับตอบโต้ใดๆ ไม่ได้
ลั่วชิวกำลังพิจารณาสิ่งที่ก่อตัวเป็นรูปร่างดวงไฟสีขาวบริสุทธิ์ในฝ่ามือของเขา ด้วยแววตาหลงใหล
ผ่านมาเป็นเวลานาน ตอนที่เฉินเหมยห่วนเหลือแค่น้ำตาแห่งความสิ้นหวัง ลั่วชิวถึงพูดเสียงเบาๆ ว่า “ไม่ต้องกลัวครับ เดี๋ยวมันก็ดีขึ้น”
เขายัดดวงไฟในมือเข้าไปในท้องของเฉินเหมยห่วนทันที ดวงไฟซึมเข้าไป แล้วก็หายวับไปทันที!
สุดท้ายเฉินเหมยห่วนก็กลับมาขยับเขยื้อนได้ เธอคว้าแขนลั่วชิวอย่างโกรธแค้น “คุณ! คุณคิดจะทำอะไรกันแน่! เขาเป็นแบบนี้แล้ว หรือว่าคุณก็ยังไม่ปล่อยเขาไปอีก”
“ฟังนะครับ”
ลั่วชิวดึงมือเธออกแล้วหันมา จากนั้นก็เอามือของเธอไปแตะตรงท้องช้าๆ “ฟังและสัมผัส”
เฉินเหมยห่วนเงยหน้าอย่างตื่นตะลึง
“สัมผัสได้ไหมรับ?” ลั่วชิวพูดเสียงเบาๆ “ชีวิตน้อยๆ นี้”
เธอสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่คนเป็นผู้หญิงถึงสามารถสัมผัสได้ และก็เป็นความรู้สึกที่คุ้นเคย…ความรู้สึกที่ชีวิตน้อยๆ กำลังก่อตัว
…
ถ้าชาติหน้ามีจริง
ก็ขอเกิดเป็นลูกแม่อีกครั้ง