สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด - ตอนที่ 36 ก้าวแรกของวิญญาณ
โรงพยาบาลลำดับที่สาม
กู้จยาเจี๋ยกำลังคุยโทรศัพท์แบบขอไปที พร้อมกับรอให้ชื่อของตัวเองปรากฏบนหน้าจอ
เป็นโทรศัพท์จากแม่ของเขา ‘เฉินเหมยห่วน’
“ยังเลยครับ ยังไม่ได้ต่อแถว …ไม่ต้องมาแล้วนะครับ คงไม่มีปัญหาอะไร แค่กๆ…น่าจะแค่เป็นหวัดธรรมดา ตรวจร่างกาย? ไม่ต้องหรอกมั้ง วุ่นวายขนาดนี้…เอาเถอะครับ ผมรู้แล้ว เดี๋ยวผมจะลองถามหมอแล้วกัน”
กู้จยาเจี๋ยมองรอบๆ อย่างเบื่อหน่าย ส่วนแม่ที่อยู่ปลายสายก็ไม่คิดจะวางสายไปสักที
“พ่อ? ไม่มีอะไรนี่ครับ…ดีมากแล้วล่ะมั้ง…”
กู้จยาเจี๋ยไม่อยากพูดมาก แล้วเอ่ยถามทันที “วันนี้แม่จะกลับดึกไหม? จะทำโอทีเหรอ…รู้แล้วครับ ไม่ต้อง ไม่ต้องให้พ่อกลับมาอยู่เป็นเพื่อนผมหรอก ไม่จำเป็นครับ ผมดูแลตัวเองได้”
พูดจบ สายตาของกู้จยาเจี๋ยก็กวาดมองไปรอบด้านอย่างเบื่อหน่ายอีกครั้ง แล้วก็หยุดลงกะทันหัน
เขามองเห็นคนที่เดินก้มหน้าเหม่อลอยผ่านไปคนหนึ่ง
คนที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขา เดินผ่านหน้าเขาไป
คนที่มองไม่เห็นเขา ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ถึงได้แสดงอาการห่อเหี่ยวแบบนี้…แถมยังเหมือนกับเขาแทบทุกอย่าง
กำลังเดินผ่านไป
“แม่…เดี๋ยว เดี๋ยวแค่นี้ก่อนนะครับ ถึงคิวผมแล้ว”
กู้จยาเจี๋ยวางโทรศัพท์ทันที แล้วตามไปเงียบๆ
…
…
“อย่าหนีนะ หลิวจยาฮุย! หยุด หยุดสิ!”
คนหนึ่งวิ่งนำอยู่ข้างหน้า อีกคนวิ่งตามอยู่ข้างหลัง เซอร์หม่ามองดูประตูที่จะวิ่งออกไปจากโรงพยาบาล ด้วยเท้าของเขายังเจ็บอยู่ ตอนนี้วิ่งไม่ถึงสองก้าวก็เจ็บจนเหงื่อแตกแล้ว
เขาจึงตะโกนเสียงดังว่า “เธอจะวิ่งไปไหน? ไม่สนใจย่าแล้วเหรอ?”
เขาวิ่งช้าลง และหยุดลงทันที จากนั้นก็หันมาขมวดคิ้วถามว่า “ย่า…ย่าเป็นอะไร?”
แล้วเซอร์หม่าก็ค่อยๆ เดินเข้ามา “ย่าของเธอไม่เป็นไร แต่ว่าแม่เธอน่ะ กำลังเสียใจมาก เธอไม่รู้เหรอ?”
“ผม…ผมไม่มีแม่” เขาหันหน้าหนี
หม่าโฮ่วเต๋อตอบ “ไม่ว่าเธอจะคิดยังไง แค่ตอนนี้สถานการณ์ของแม่เธอไม่ค่อยดี ลูกชายของหล่อนหรือก็คือพี่น้องแท้ๆ ของเธอเพิ่งตายไป เธอก็รู้ไม่ใช่เหรอ? ตามรอยเฉินเหมยห่วนอยู่ตลอด ต้องรู้เรื่องแล้วสิ”
เขาพยักหน้า แต่กลับพูดอย่างเฉยชา “แล้วยังไงล่ะ…ไม่ได้หมายความว่าผมต้องไปหาเธอนี่”
หม่าโฮ่วเต๋อขมวดคิ้ว…เพราะแบบนี้ การรับมือกับเด็กที่โตมาในครอบครัวไม่สมบูรณ์ ถึงเป็นงานยากลำบากจริงๆ
เซอร์หม่าส่ายหน้า “ฉันว่าเรื่องที่พ่อของเธอหย่าตอนนั้นจะส่งผลกระทบกับหล่อนมาก แต่ว่าสุดท้ายหล่อนก็เป็นแม่แท้ๆ มีเรื่องเข้าใจผิดอะไรก็เคลียร์กันดีๆ บางทีเจอหน้ากันอาจดีกับตัวเธอเองก็ได้ จะว่าไป ถ้าเธอไม่ยอมรับหล่อนจริงๆ เธอจะเอาแต่สะกดรอยตามหล่อนอยู่ตลอดทำไม?”
พอเห็นเด็กหนุ่มตรงหน้าคนนี้ไม่พูดไม่จา หม่าโฮ่วเต๋อก็ถอนหายใจ ถามว่า “วันนั้นคนที่ฉันเห็นใต้ตึกบ้านแม่เธอก็คือเธอล่ะสิ? เธอหาที่อยู่แม่เธอเจอตั้งนานแล้ว ก็เลยวนเวียนอยู่แถวนั้นตลอดเลยล่ะสิ วันนั้นเธอเห็นว่าแม่เธอเจ็บปวดขนาดไหนไหม?”
“หยุดพูดได้แล้ว!” เขาตวาดใส่หม่าโฮ่วเต๋อทันที “ไม่ว่าคุณจะพูดยังไง ผมก็จะไม่ไปพบเธอ…อย่างน้อย อย่างน้อยช่วงนี้ ก็อย่าหวัง!”
“เธอ…เธอคิดให้ดีแล้วกัน” หม่าโฮ่วเต๋อส่ายหัวเล็กน้อย เขารู้ว่าไม่สามารถบีบเด็กที่อารมณ์แปรปรวนเกินไปได้ “ยังไงซะแม่ของเธอก็รู้ว่าเธออยู่ที่นี่แล้ว เธอก็ไม่สามารถพาย่าไปแบบนี้ได้ใช่ไหมล่ะ? ย่าเธอยังต้องรับการรักษาอยู่ที่โรงพยาบาล จะไปเจอแม่หรือไม่ก็คิดดูให้ดีๆ”
“คุณช่วยผมบอกเธอว่า…” หลังจากเขาคิดอยู่สักพัก “คุณให้เธอกลับไปก่อนเถอะ ขอเวลาผมคิดให้ดีก่อน อาจจะไปเจอเธอ แต่ไม่ใช่ตอนนี้”
…
“จยาฮุย…เขา เขาพูดแบบนี้จริงๆ เหรอคะ?”
ในห้องผู้ป่วย เฉินเหมยห่วนจับแขนหม่าโฮ่วเต๋อเอาไว้แน่น ถามว่า “ทำไมเขาไม่ยอมเจอฉันหรือคะ?”
“ใจเย็นก่อนเถอะครับ?” หม่าโฮ่วเต๋อถอนหายใจพูดว่า “เขาอาจจะยังไม่ได้เตรียมใจยอมรับ คงต้องการเวลาคิดสักหน่อย คิดดูแล้วเขายังคงห่วงแม่อย่างคุณอยู่นะครับ ไม่อย่างนั้นเขาจะสะกดรอยตามคุณทำไม เด็กอายุเท่านี้ยังไม่มีวุฒิภาวะมากพอ คุณต้องให้เวลาเขาหน่อย อย่าไปบังคับเขาเลย ตราบใดที่คุณเหอเสี่ยวเม่ยยังอยู่ที่นี่ เขาก็ไม่หนีไปไหนหรอกครับ”
เฉินเหมยห่วนปล่อยแขนเซอร์หม่าทันที ด้วยเพราะคำพูดของหม่าโฮ่วเต๋อได้เตือนสติเธอ
เหอเสี่ยวเม่ยยังคงอยู่ที่นี่ หลิวจยาฮุยกับเธอยังต้องพึ่งพาอาศัยกัน หลิวจยาฮุยต้องไม่หนีไปแน่ ขอแค่เธอรออยู่ที่นี่ ก็จะได้เห็นหลิวจยาฮุยแน่นอน
แต่…ไม่รู้ว่ากู้จยาเจี๋ยที่คืนชีพมาไปอยู่ที่ไหนแล้ว
เธอให้ใครเจอตัวกู้จยาเจี๋ยไม่ได้…ตอนนี้สิ่งที่เธอต้องการทำยิ่งกว่าก็คือไปตามตัวกู้จยาเจี๋ยกลับมา!
เฉินเหมยห่วนมองเหอเสี่ยวเม่ยครู่หนึ่ง หญิงชราก็มองตอบกลับด้วยสายตาคาดเดายาก ดวงตาของเธอแก่ชราไปตามกาลเวลา จะมองเห็นใบหน้าเฉินเหมยห่วนได้ชัดเจนไหม?
“ฉัน…ฉันขอตัวก่อน” เฉินเหมยห่วนหันหน้าไป “พักผ่อนเยอะๆ นะคะ”
…
หน้าประตูโรงพยาบาล เฉินเหมยห่วนยังหันกลับไปมองด้วยความเป็นห่วงพักหนึ่ง
“คุณนายกู้ พวกเราไปส่งคุณดีไหมครับ? คุณก็น่าจะเหนื่อยเหมือนกัน” ตอนนี้หม่าโฮ่วเต๋อได้แต่พูดคำพูดพวกนี้เท่านั้น
“ไม่เป็นไรค่ะ” เฉินเหมยห่วนส่ายหน้า “ฉันจะไม่กลับไปที่นั่น แล้วก็ไม่อยากเห็นหน้าผู้ชายคนนั้นอีก…ถ้าคุณอยากช่วยฉันจริงๆ ก็บอกกู้เฟิงแทนฉันทีนะคะ ฉันจะไม่ยุ่งกับเขาอีก ไว้ฉันหาเวลาไปจัดการเรื่องหย่ากับเขา เอาตามนี้แล้วกันค่ะ พวกคุณไม่ต้องตามฉันมาแล้วนะคะ”
“นี่เบอร์ผมครับ” หม่าโฮ่วเต๋อพยักหน้า…จริงๆ เขาก็ไม่มีเวลาขนาดมาสอดส่องเรื่องครอบครัวหรอก เขาจึงเขียนเบอร์โทรศัพท์ให้แทน “ถ้ามีเรื่องก็โทรหาผม”
“ขอบคุณนะคะ”
จากนั้นเฉินเหมยห่วนก็เดินออกจากโรงพยาบาลลำดับที่สามไปเพียงลำพัง
เซอร์หม่ายังไม่ได้ตาพร่า ตอนนี้เขาเหลือบไปเห็นเงาคนคนหนึ่งกำลังแอบจับตาดูเงียบๆ ใต้ต้นไม้ได้ชัดเจน
หม่าโฮ่วเต๋อได้แต่ส่ายหัวเล็กน้อย ถอนหายใจยาวพูดว่า “เรื่องในครอบครัวคนนอกยากจะเข้าใจได้”
เขามองสีท้องฟ้าครู่หนึ่ง แล้วลูบท้องตัวเองอย่างเผลอไผล ที่แท้เขาวิ่งอยู่ข้างนอกมาตั้งแต่เมื่อคืนวาน จนถึงตอนนี้ก็ใกล้เวลาเที่ยงแล้ว
เขาหิวจนท้องร้องโครกครากมาตั้งนานแล้ว
แย่แล้ว! ลืมโทรรายงานแม่เสือที่บ้านซะแล้ว!
“บ้าเอ๊ย…สายไม่รับสี่สิบหกสาย ครั้งนี้ซวยแล้ว ซวยสุดๆ!”
…
…
“ใคร ใครมา?” แม้ตาไม่ดีแต่หูดีมาก เหอเสี่ยวเม่ยมองไปตรงประตู “จยาฮุยเหรอ?”
“ผมเอง”
เหอเสี่ยวเม่ยโล่งอก เธอยื่นมือออกมาดึงมือหลานชาย “จยาฮุย หลานไม่รู้เหรอว่าเมื่อกี้นี้แม่หลานมาหา?”
“ผมรู้แล้ว” เขาส่ายหน้า “ย่าอย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องนี้ก่อนจะได้ไหมครับ? ตอนนี้เรื่องสำคัญที่สุดคือรอให้ย่าหายดี จริงสิ น้ำกานี้เย็นแล้ว ผมไปเอาน้ำร้อนให้ย่าหน่อยแล้วกัน”
“ไม่เป็นไร หลานเพิ่งกลับมา นั่งลงก่อนเถอะ”
แต่กลับห้ามหลานไม่ได้ เหอเสี่ยวเม่ยเห็นภาพด้านหลังของหลานคนนี้เดินออกประตูไป ก็ได้แต่ถอนหายใจ
ตั้งแต่หลิวเฉิงตายไป เธอย่าหลานสองคนก็ต้องพึ่งพาอาศัยกัน ดูก็รู้ว่าเด็กคนนี้เป็นเด็กรู้จักคิดมากๆ นี่คงเป็นเรื่องที่คนเป็นผู้ปกครองอยากเห็น แต่สำหรับเหอเสี่ยวเม่ยแล้ว เด็กคนนี้ประสบเคราะห์กรรมมามากขนาดนี้ ถึงจะโตก่อนวัยก็ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องดีหรือไม่กันแน่
หญิงชราถอนหายใจยาว
ความจริงเขาไม่ได้ไปไหนไกล แต่กลับนั่งอยู่บนม้านั่งยาวริมระเบียงทางเดินนอกห้อง
เขามองด้านข้างตัวเองครู่หนึ่ง น่าจะเมื่อสองเดือนกว่าๆ ก่อนหน้านี้…พี่น้องฝาแฝดของเขาคนนั้นมานั่งพูดคุยกับเขาตรงนี้เนิ่นนาน
“กู้จยาเจี๋ย…นาย จำเป็นต้องอยู่จริงๆ เหรอ?”
เขาบ่นพึมพำกับตัวเอง
ทันใดนั้นเขาก็กอดตัวเองแน่นด้วยความกลัวจนตัวสั่น…วันนั้นเขาเห็นชัดเจนว่าคนที่แม่ตัวเองพาออกมาด้วยเป็นคนตายที่เดินเองได้
“เกิดเรื่อง…อะไรกันแน่…”
…
…
เขาก็นั่งเหม่อมองวิวของสวนสาธารณะเงียบๆ บนม้านั่งยาวริมน้ำ
บอกว่าเป็นผีก็ไม่ใช่ คนก็ไม่เชิง แม้กระทั่งร่างกายก็เริ่มเน่าเปื่อยแล้ว ความจริงแล้วก็เป็นเป้าสายตาได้ง่ายมาก เพียงแค่เดินออกมาก็ทำให้คนตกใจได้ดีทีเดียว แต่คนที่ผ่านมาอาจคิดว่าจงใจแต่งหน้าแบบนี้หรือเปล่า
ใช่แล้ว แม้จะเป็นแบบนี้ ก็ต้องมีคนเห็นเขาบ้างสิ
แต่เห็นได้ชัดว่าคนที่มาเดินเล่นที่นี่ ไม่ได้สังเกตเห็นถึงตัวตนของเขาเลย ราวกับเขาไม่มีตัวตนอยู่อย่างนั้น
ในเมื่อคนอื่นมองไม่เห็นเขา งั้นก็ต้องไม่เห็นเจ้าของสมาคมที่นั่งเป็นเพื่อนข้างๆ เขาด้วย
เจ้าของร้านลั่วอยู่เป็นเพื่อนเขามาตั้งแต่ในสวนสนุก จากถนนสายเก่าแก่ที่เดินผ่านมา จากร้านของกินเล่น จากศูนย์การค้าที่มีผู้คนพลุกพล่าน จนมาถึงที่นี่ เดินผ่านถนนที่แม่เคยพาเขามาเดินอีกครั้ง
เจ้าของสมาคมไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ด้วยเพราะร่างกายของเขาไม่รู้สึกถึงความเหนื่อย การนอนตามปกติก็แค่ทำให้กฎการดำรงชีวิตของตัวเองสมบูรณ์แบบเท่านั้น
“แม่คุณรู้เรื่องที่พี่น้องคุณคนนั้นยังมีชีวิตอยู่แล้ว แต่ว่าพวกเขายังไม่ได้เจอหน้ากัน”
เขากำลังพูดเรื่องบางอย่างให้กับคนที่นั่งเงียบๆ ตรงนี้ฟัง เป็นเรื่องที่แม้ไม่ต้องไปถึงที่นั่นก็รู้ได้
“ยังไงแม่นายก็จะมาตามหานาย” ลั่วชิวพูดเสียงเบา “นายกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่”
ไร้เสียงตอบกลับ เขาไม่พูดไม่จา ในดวงตาเขาคล้ายแสงเทียนกลางลม พลิ้วไหวไปมา ใกล้จะดับมอดเต็มที
แต่เจ้าของร้านลั่วกลับไม่ได้เค้นคำตอบ
เขาเพียงยิ้มน้อยๆ รอคอยอย่างอดทน…แต่ระหว่างที่รอ เขาก็เบนสายตาไปมองอีกทางด้วย
ตรงนั้นมีสาวสวยในชุดเดรสสีดำกำลังเดินโต้ลมมา…เธอคนนั้นก็คือ ‘เฮยสุ่ย’
ปีศาจงูอายุหลายร้อยปีตนนี้กำลังเสาะหากลิ่นที่ส่งมาตามสายลม…เธอมาเพราะกลิ่นศพ แม้รู้ดีว่าผู้หญิงที่มากับเด็กคนนั้นจะไม่มาหาเธอก็ตาม
เห็นได้ชัดว่าปีศาจงูตนนี้ไม่ได้เลิกสนใจเหมือนอย่างที่พูดไว้
เธอยังตัดความสงสารทิ้งไม่ได้ สุดท้ายเธอก็ตามกลิ่นศพมาท่ามกลางสายลมนี้…แล้วก็มาหยุดอยู่ต่อหน้าลั่วชิว
เฮยสุ่ยไม่ได้ตกใจกลัวมากจนเกินไป เธอยืนอยู่ตรงหน้าลั่วชิว พร้อมกับพูดอย่างเฉยชาว่า “เป็นพวกเจ้าจริงๆ…คนธรรมดาไม่มีพลังฟื้นคืนชีพคนตายเป็นศพเดินได้แบบนี้หรอก”
ลั่วชิวยิ้มน้อยๆ ราวกับไม่ได้ตกใจกับการปรากฏตัวของปีศาจงูตนนี้เช่นกัน
เขาพูดเสียงเบาๆ ราวกับเจอคนคุ้นเคยคนหนึ่งว่า “คุณคิดว่าเขาเป็นศพเดินได้จริงๆ หรือครับ?”
“เดิมก็เป็นคนที่ตายไปแล้วนี่”
เฮยสุ่ยขมวดคิ้วพร้อมกับพูดว่า “ดวงจิตของเขาหายไปตั้งนานแล้ว ตอนนี้ก็เป็นแค่ศพไร้จิตสำนึกศพหนึ่งเท่านั้น หรือพวกเจ้าไม่รู้ว่าศพประเภทนี้จะถูกดวงจิตอาฆาตเข้าสิงได้ง่าย แล้วเปลี่ยนแปลงไปหรือ? พอเกิดเรื่องแบบนั้นปุ๊บ ก็เป็นไปได้สูงว่าแม่ของเขาจะถูกทำร้ายคนแรก!”
ลั่วชิวส่ายหน้า “ผมไม่เข้าใจเรื่องการบำเพ็ญเพียร แต่ว่าคุณเฮยสุ่ย คุณคิดว่าโอกาสกลายร่างเป็นวิญญาณอาฆาตในสภาพแวดล้อมปัจจุบันนี้มีมากขนาดไหนกันครับ?”
เฮยสุ่ยขมวดคิ้ว ไม่ถกเรื่องนี้กันต่อไป แต่กลับพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ทำไมพวกเจ้าถึงเหี้ยมโหดแบบนี้!”
“พวกเราจะไม่ปฏิเสธความต้องการของลูกค้า” ลั่วชิวส่ายหน้า “คุณเฮยสุ่ย แน่นอนว่าคุณขอแก้ไข…เรื่องนี้ได้”
เฮยสุ่ยยิ้มแห้งๆ แล้วตอบว่า “เจ้าคิดว่าทุกคนต้องยินยอมแลกเปลี่ยนกับพวกเจ้าหรือ? เหลวไหล! ของที่ตัวข้าอยากได้ ข้าจะพยายามเพื่อให้ได้มาเอง ไม่จำเป็นต้องพึ่งพา…การแลกเปลี่ยนต่ำช้าแบบนี้”
“ผมก็หวังว่านะครับ” ลั่วชิวมองเมืองที่อยู่อีกฟากของแม่น้ำสายนี้
เขาไม่ได้พูดอะไรอีก เฮยสุ่ยไม่รู้ว่า ‘หวังว่า’ ที่เขาพูดคืออะไรกันแน่
เพียงแต่มีแค่เสี้ยววินาทีหนึ่ง ที่เธอมองไม่เห็นภาพโลกใบนี้จากแววตาของเจ้าของสมาคมคนนี้เลย…สะท้อนที่กลับด้าน
เฮยสุ่ยถอยหลังไปทีละก้าว ทีละก้าว เธอไม่ได้กลัวอะไรเลย รู้เพียงอย่างเดียวว่า ในเมื่อเจ้าของสมาคมนั่งอยู่ตรงนี้แล้ว ถ้าอย่างงั้นนอกจากเธอจะเสนอการแลกเปลี่ยนแล้ว น่ากลัวว่าจะไม่มีวิธีอื่นเข้าใกล้ศพเดินได้นี้เลย
“พวกเจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่…ให้เขาทำตัวแบบคนมีชีวิตหรือไง?”
ลั่วชิวพูดเสียงเบาๆ ว่า “ผมแค่อยากรู้ว่าเขา…กำลังคิดอะไรอยู่บ้าง”
“ดวงจิตของเขาแตกสลายไปตั้งนานแล้ว! ยังมีความคิดที่ไหนกัน” เฮยสุ่ยส่ายหน้าเล็กน้อย
คาดไม่ถึงว่าในตอนนี้เอง เจ้าของร้านลั่วกลับทำสัญญาณมือให้เงียบ “ชู่”
เขากำลังมองเฮยสุ่ย
แล้วพูดเสียงเบาๆ ว่า “ได้ยิน ได้ยินไหม? ก้าวแรกของวิญญาณ”