สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด - ตอนที่ 31 การค้นพบใหม่
ในห้องทำงาน พวกเจ้าหน้าที่ตำรวจกลุ่มหนึ่งกำลังหารือกันเรื่องคดีของจ้าวหรู
“ผู้หญิงคนนี้เจ้าเล่ห์จริงๆ!”
ตำรวจหญิงที่ถูกพ่นสเปรย์จนเจ็บตาในสถานีรถไฟพูดด้วยความโกรธแค้น “เธอรู้ดีว่าหนีไม่รอด ถึงได้ยอมสารภาพให้รู้แล้วรู้รอดไปเท่านั้น! เธอรู้อยู่แล้วว่าโทษจากการแบล็กเมลไม่หนัก เห็นๆ อยู่ว่าจะหลบโทษหนักมารับโทษเบา!”
“นั่นสิครับ ผู้เสียหายหลักๆ เสียชีวิตไปหมดแล้ว พวกเราหาหลักฐานที่จ้าวหรูพูดคุยกับพวกเขาไม่พบ ถึงได้ปล่อยให้เธอพูดไปเรื่อย ถ้าให้เธอแก้ตัว ต้องอ้างประเด็นนี้ไม่หยุดแน่ๆ ครับ”
นายตำรวจอีกคนหนึ่งซัดกำปั้นเข้ากับฝ่ามือตัวเอง พูดอย่างอารมณ์เสียว่า “สถานการณ์แบบนี้น่าหงุดหงิดที่สุด”
หม่าโฮ่วเต๋อถูคลึงใบหน้าตัวเอง เขาคิดอยู่พักหนึ่งแล้วพูดว่า “เธอต้องติดต่อนักเรียนพวกนี้ลับหลังแน่ๆ ไม่ว่าเป็นทางจดหมาย ข้อความโทรศัพท์ หรืออีเมล เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่เหลือร่องรอยเลยสักนิด ส่งคนสักสองคนไปที่บริษัทโทรคมนาคมและบริษัทอินเทอร์เน็ต แล้วขอตรวจดูบันทึกการติดต่อทั้งหมดของผู้ตายและจ้าวหรูตลอดสองเดือนมานี้”
คิดๆ ไป เซอร์หม่าก็รีบพูดสั่งอีก “อีกอย่าง ให้พวกพี่น้องของเราไปดูในบ้าน ในห้องนอนอะไรพวกนี้ของผู้ตายสี่ห้าคนอีกสักหน่อยว่าเรียบร้อยดีไหม ลองดูว่าผู้ตายทิ้งของอะไรไว้บ้างหรือเปล่า! ในเมื่อเธอบอกว่าแบล็กเมล ผมก็ไม่เชื่อว่าจะไม่เหลือหลักฐานอะไรอีก!”
หม่าโฮ่วเต๋อตบมือแรงๆ แล้วพูดอย่างอารมณ์ดีว่า “เอาล่ะๆ ไปทำงานกันได้แล้ว ปัญหาครั้งนี้รับมือยากหน่อย ต้องลำบากทุกคนแล้ว พอคดีจบ ผมจะเลี้ยงข้าวมื้อใหญ่ตอบแทนแล้วกัน!”
พูดจบ เซอร์หม่าถึงได้มองดูนายตำรวจหนุ่มข้างกายแล้วพูดว่า “คุณตามผมไปบ้านกู้เฟิง ผมอยากลองไปดูอีกครั้ง”
“รับทราบครับ!”
…
…
ดูเหมือนว่าที่ว่างในห้องควบคุมตัวผู้ต้องหา ไม่ได้เล็กไปกว่าห้องเช่าเล็กๆ ของเธอสักเท่าไร
พูดได้เลยว่า หากไม่มีเฟอร์นิเจอร์ เกรงว่าพื้นที่ว่างของห้องนี้ยังใหญ่กว่าห้องเธอด้วยซ้ำ แต่พอถูกขังอยู่ข้างในแล้ว จ้าวหรูก็ไม่ขยับอีกเลย
เธอนั่งอยู่บนเตียงโกโรโกโสเงียบๆ ด้านข้างยังมีจุดทำธุระส่วนตัวที่ใช้แค่ปูนก่ออิฐเป็นกำแพงเตี้ยๆ เท่านั้น
อืม กลิ่นไม่น่าอภิรมย์เท่าไร…เผลอๆ สุดจะทนเลยด้วยซ้ำ
จ้าวหรูยกมือขึ้นมาคลำคอเสื้อตัวเองอย่างเผลอไผล แต่แล้วเธอก็ชะงักกึก เธอซึ่งสงบนิ่งมาตั้งแต่ห้องสืบสวนคดีจนถึงห้องขังเริ่มมีท่าทีแปลกไป
ความรู้สึกเหมือนกับความเคยชินถูกทำลายลงในฉับพลัน ทั้งที่เธอยังไม่ทันปรับตัวและจิตใจให้พร้อม ก็เหมือนคนเพิ่งเลิกบุหรี่ใหม่ๆ ที่ร่างกายลงแดง นั่งไม่ติดอย่างเห็นได้ชัด
เธอลุกขึ้นยืนมองดูเตียงที่ว่างเปล่าทันที จากนั้นก็นั่งยองๆ มองดูใต้เตียงที่นอกจากฝุ่นแล้วก็ไม่เห็นอะไรอีก
จ้าวหรูลุกพรวดพราดอีกครั้ง จากนั้นก็รีบพุ่งไปข้างหน้าสองก้าว แล้วจับลูกกรงตรงหน้าไว้แน่น เพื่อมองดูตามทางที่เดินมา
“ไม่มีแล้ว…หายไปไหนแล้วล่ะ?”
จ้าวหรูกำปกเสื้อตัวเองไว้แน่น พยายามนึกย้อนถึงเรื่องก่อนหน้านี้…ในทุกๆ รายละเอียด
“คุณกำลังหาอันนี้หรือเปล่าคะ?”
จ้าวหรูพลันได้ยินเสียงไพเราะของ ‘ผู้หญิง’ ดังมาจากด้านหลัง
เธอจึงรีบหันกลับไปทันที ภายใต้แสงไฟอ่อนๆ ในห้องขังนั้น เธอมองเห็นหญิงสาวท่าทางพิลึกคนหนึ่ง แต่งดงามจนแทบลืมหายใจ
ดวงตาสีฟ้าไพลินราวกับน้ำทะเลคล้ายจะกลืนกินเธอได้ทุกเมื่อ
สร้อยคอเส้นหนึ่งห้อยตกลงมาระหว่างนิ้วของอีกฝ่าย ขณะเดียวกันก็ทำให้จ้าวหรูไม่สามารถละสายตาไปได้ เธอรีบเดินไปคิดจะคว้าสร้อยเส้นนั้น
แต่เห็นได้ชัดว่าเธอไม่สามารถคว้าสร้อยกลับมาจากมือของอีกฝ่ายได้ง่ายๆ ด้วยเพราะคุณสาวใช้ถอยหลบไปก้าวหนึ่งอย่างนุ่มนวล
ก้าวหนึ่งที่ไม่สั้นไม่ยาว แต่กลับเว้นที่ว่างก้าวหนึ่งที่ทำให้จ้าวหรูคว้าได้เพียงอากาศ
“คืนฉันมานะ!”
“ไม่คิดจะถามว่าฉันเป็นใคร ทำไมมาอยู่ที่นี่ แต่อยู่ๆ กลับจะเอาสร้อยเส้นนี้ไป…” คุณสาวใช้ชูสร้อยเส้นนี้ขึ้นมาเล็กน้อย เธอยิ้มพร้อมกับพูดอีกว่า “ดูท่ามันคงสำคัญกับคุณมากจริงๆ…หรือจะบอกว่า คุณต้องพึ่งมันอีกมาก สวมมันมานานแล้วเหรอคะ?”
จ้าวหรูเหมือนตากฝนหนาวเหน็บ แล้วยังถูกลมเย็นพัดผ่านจนสั่นสะท้านไปทั้งตัว! เธอก้าวถอยหลังไปทันที จนชนเข้ากับลูกกรงถึงได้หยุด
ประตูลูกกรงก็ไม่ได้เปิด ตอนที่เธอมาถึงห้องขังนี้ก็ว่างเปล่า…แล้วผู้หญิงแปลกๆ คนนี้เข้ามาได้ยังไงกัน?
หญิงสาวคนนี้ค่อยๆ เดินเข้ามาหาเธออย่างเนิบช้า
ใบหน้าของจ้าวหรูเกร็งไปทันที พร้อมเอ่ยถามด้วยเสียงสั่นเครือ “คุณ…คุณคิดจะทำอะไรน่ะ?”
คุณสาวใช้เดินมาหยุดตรงหน้าจ้าวหรู เธอยิ้มน้อยๆ แล้วยื่นมือมาเชยคางจ้าวหรูอย่างนุ่มนวล “ไม่ต้องตกใจหรอกค่ะ ฉันจะไม่ทำร้ายคุณ ทำตัวสบายๆ หน่อยสิคะ”
ทันใดนั้นคุณสาวใช้ก็อ้าปากเล็กน้อย ทำท่าเป่าลมออกมา จ้าวหรูรู้สึกว่ามีลมบางเบาพัดผ่านใบหน้าไป แล้วก็เหม่อลอยไปทันที
พอโยวเย่เห็นปฏิกิริยาของจ้าวหรู ถึงได้ยิ้มอย่างพอใจ เธอยื่นมือออกไปดึงมือของจ้าวหรู แล้วจูงเธอมานั่งลงข้างๆ เตียงในห้องขัง
โยวเย่ใช้ฝ่ามือกดลงบนหลังมือจ้าวหรูเบาๆ แล้วถึงได้พูดพึมพำว่า “บอกฉันได้ไหมว่าได้สร้อยเส้นนี้มายังไงคะ?”
“ซื้อมาจากร้านเครื่องประดับร้านหนึ่งที่ตึกอิ่งชวน”
“ซื้อมานานเท่าไรแล้วคะ?”
“สามเดือนก่อน…”
“สวมติดตัวอยู่ตลอดไหมคะ?”
“ตลอด…ตลอดเลย”
โยวเย่วางจี้สร้อยคอลงกลางฝ่ามือตัวเอง หลังจากเธอมองพิจารณาอยู่ครู่หนึ่งแล้ว ถึงได้ยื่นมือออกไปจับหน้าของจ้าวหรูเบาๆ ให้หันมาอีกครั้ง
เธอเข้าใจความคิดของนายท่านเป็นอย่างดี นายท่านไม่ได้บอกให้เอาสร้อยเส้นนี้กลับไปด้วย โยวเย่จึงวางลงบนมือของเธอ
หรือก็คือ…จะจัดการกับสร้อยเส้นนี้ยังไงก็แล้วแต่เธอ
สิ่งที่นายท่านต้องการรู้ ก็แค่สร้อยเส้นนี้มาอยู่ในมือของจ้าวหรูได้ยังไงเท่านั้น
“ในเมื่อเป็นสิ่งที่สวมติดตัวอยู่ตลอด คราวหน้าก็อย่าทำหล่นหายล่ะ”
เธอสวมสร้อยกลับไปบนคอจ้าวหรูอีกครั้ง
“ที่จริงเป็นเด็กสาวที่สวยมากเลยนะ”
หลังจากนั้น โยวเย่ก็ใช้นิ้วสางจัดผมหน้าม้าที่ดูยุ่งเหยิง และจัดปกเสื้อของจ้าวหรูให้เรียบร้อย ก่อนหายตัวไป
…
…
ช่วงค่ำ กู้เฟิงเดินมาเปิดประตูบ้าน แล้วก็พบกับหม่าโฮ่วเต๋อและเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกคน
เขาดูรำคาญเล็กน้อย และพูดด้วยอย่างไร้มารยาท “นายตำรวจหม่า คุณมาทำอะไรที่นี่อีก? คุณยังทำร้ายผมไม่พออีกเหรอ? คราวที่แล้วก็เป็นเพราะคุณ ไม่งั้นครอบครัวผมคงไม่เป็นแบบนี้หรอก”
หม่าโฮ่วเต๋อก็ไม่อยากเป็นมิตรกับคนแบบนี้เหมือนกัน จึงพูดอย่างเย็นชาว่า “ถึงไม่มีผม คุณคิดว่าจะปิดเรื่องที่คุณไปมีเมียน้อยและลูกข้างนอกได้ตลอดเหรอ?”
“ยังมีธุระอะไรอีก?” กู้เฟิงยืนพิงประตู แล้วจุดบุหรี่สูบ “มีข่าวคราวของเมียผมแล้วเหรอ? ตำรวจอย่างพวกคุณทำงานกันยังไง? ผ่านมาหลายวันแล้ว ยังไม่ได้ข่าวคราวเลยสักนิด”
“คุณวางใจเถอะ ในเมื่อแจ้งความไว้แล้ว พวกผมก็จะทำให้ได้” หม่าโฮ่วเต๋อพูดอย่างเฉยชา “พวกเราตามสืบบันทึกการใช้บัตรเครดิตของภรรยาคุณ พอจะระบุสถานที่ได้บ้างแล้ว ถ้าเธอไม่เป็นไร อีกไม่นานก็คงหาตัวพบ”
“งั้นเหรอ งั้นก็ดีแล้ว” กู้เฟิงรับคำไปส่งๆ “แล้วยังมีเรื่องอะไรอีกล่ะครับ?”
หม่าโฮ่วเต๋อไม่อาจเปลืองน้ำลายกับคนประเภทนี้ได้อีกต่อไป จึงดันเจ้าหมอนี่กลับเข้าไปในบ้านพร้อมกันเสียเลย
“เดี๋ยวก่อน! ผมไม่ได้บอกให้พวกคุณเข้ามานะ! “กู้เฟิงขมวดคิ้วพูดท้วงทันที
แล้วนายตำรวจที่ตามมาด้วยก็เอาเอกสารมาทาบหน้าอกเขาเบาๆ “นี่คือหมายค้น คุณต่อต้านในใจยังไงก็ได้ แต่ทางที่ดีทำตัวดีๆ หน่อย โอเค?”
“คุณ…” กู้เฟิงหุบปากอย่างจนใจ แต่ถูกบังคับให้ยินยอมแบบนี้ก็มีแอบเคืองเหมือนกัน จึงพูดไปตรงๆ ว่า “อย่าทำบ้านผมสกปรกล่ะ! ก่อนหน้านี้พวกคุณก็เคยมาดูแล้วไม่ใช่เหรอ? ยังมีอะไรให้ดูอีก?”
หม่าโฮ่วเต๋อไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย แต่เดินดุ่มๆ เข้าไปในห้องของกู้จยาเจี๋ย และเริ่มค้นดูอย่างละเอียด แต่เดิมห้องนี้ก็ไม่ได้ใหญ่นัก ดูเหมือนว่าจะไม่มีข้อมูลที่เป็นประโยชน์เลย
เซอร์หม่าลองพลิกดูกองหนังสือของกู้จยาเจี๋ยทีละเล่มๆ อย่างเบื่อหน่าย
กู้เฟิงก็ยืนพิงอยู่ตรงหน้าประตูห้อง พร้อมกับมองดูด้วยสีหน้าหมดความอดทน แล้วหม่าโฮ่วเต๋อก็วางหนังสือลง “ไม่เคยแตะต้องห้องนี้เลยใช่ไหม?”
ตอนนี้เองกู้เฟิงถึงได้ตอบว่า “ไม่เลย หลังจากเมียผมจากไป ก็ไม่เคยแตะของในห้องนี้เลย”
หม่าโฮ่วเต๋อพยักหน้า ตอนนี้เขารู้สึกจนปัญญาและคิดจะกลับพอดี แต่ว่าขณะนั้นเอง เขาดันไปเหยียบของบางอย่างเข้า
หม่าโฮ่วเต๋อจึงนั่งยองๆ ลงไปดูพรมผืนหนึ่งตรงข้างหน้าต่าง
ตรงนั้นมีรอยนูนขึ้นมาเล็กๆ แต่เท้าเขากลับรู้สึกได้ แน่นอนว่าถ้าไม่สังเกต คงไม่มีทางเห็นได้ทันที
หม่าโฮ่วเต๋อเปิดพรมปูพื้นผืนนี้ออกด้วยความฉงน จึงพบของที่อยู่ใต้พรมผืนนี้ มันเป็น ‘เม็ดยาสีขาวเม็ดเล็กจิ๋วเม็ดหนึ่ง’
เหมือนว่าหล่นลงมาบนพื้นโดยบังเอิญ แล้วก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงกลิ้งไปอยู่ใต้พรมได้…แถมตอนนี้ยังแตกเป็นเสี่ยง เกรงว่าตอนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจมาตรวจค้นครั้งก่อนคงเผลอเหยียบมันเข้า
หม่าโฮ่วเต๋อหยิบเม็ดยาที่แตกขึ้นมา แล้วก็ขมวดคิ้ว
ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงเรื่องแปลกๆ ที่เหล่าฉินแผนกนิติเวชเคยพูดก่อนหน้านี้ได้
“เจออะไรน่ะ?” กู้เฟิงและนายตำรวจอีกคนเดินเข้ามาด้วยความใคร่รู้
หม่าโฮ่วเต๋อแบมือ พร้อมกับเอ่ยถามว่า “ปกติลูกชายของคุณต้องกินยาด้วยเหรอ? สุขภาพเขาเป็นยังไง?”
พอกู้เฟิงดูก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร “ไม่ได้เจ็บป่วยนี่ ผมไม่รู้ลึกขนาดนั้นหรอก เด็กโตขนาดนี้แล้ว หรือว่าป่วยเป็นหวัดยังดูแลตัวเองไม่ได้เลยเหรอ?”
“ลูกชายคุณตรวจสุขภาพครั้งที่แล้วไปเมื่อไหร่?” หม่าโฮ่วเต๋อทำตาค้อนพร้อมตั้งคำถาม
กู้เฟิงพูดอย่างหมดความอดทน “ผมจะไปรู้ได้ยังไงล่ะ!”
“นี่ไม่ใช่ลูกชายคุณหรือไง?”
“ขอพูดให้ชัดๆ นะ เขาไม่ใช่ลูกชายแท้ๆ ของผม!” กู้เฟิงพูดด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์
หม่าโฮ่วเต๋อลุกพรวด กู้เฟิงเห็นดังนั้นก็ถอยหลังไปหนึ่งก้าวคล้ายกำลังถูกอำนาจคุกคาม แล้วพูดอย่างลนลานว่า “คุณ…คุณคิดจะทำอะไรน่ะ?”
“เปล่านี่ครับ แค่จะไปกินมื้อดึก คุณคิดจะให้ผมอยู่กินมื้อดึกที่นี่ไหมล่ะ?” หม่าโฮ่วเต๋อมองค้อน
“ไม่ล่ะ…เชิญคุณตามสบาย”
…
…
“ฮัลโหล เหล่าฉินเหรอ ยังอยู่ที่แผนกไหม? ช่วยผมดูของบางอย่างหน่อยได้หรือเปล่า? คุณอย่าเพิ่งกลับนะ นี่ผมกำลังจะไป…”
หลังจากเซอร์หม่าโทรศัพท์แล้ว ก็มองนายตำรวจหนุ่มข้างกายพลางพูดว่า “มัวแต่อึ้งอะไรอีก? ออกรถสิ”
“เซอร์หม่าครับ เมื่อครู่ท่านไม่ได้บอกว่าจะไปกินมื้อดึกเหรอ…”
“ออกรถ! หรืออยากให้ผมคิดบัญชีทีหลัง?!”
“ครับๆๆ…”