สภานักเรียนกับโรงเรียนสิ่งมีชีวิตลี้ลับ - ตอนที่ 70 เศษเสี้ยวเรื่องราวที่สอง พี่ต้น (3)
- Home
- All Mangas
- สภานักเรียนกับโรงเรียนสิ่งมีชีวิตลี้ลับ
- ตอนที่ 70 เศษเสี้ยวเรื่องราวที่สอง พี่ต้น (3)
ไม่มีใครเคลื่อนไหว
เฉกเช่นเวลาถูกหยุดชั่วขณะ…
“บอกไว้ก่อนว่าพวกแกจะตีกันจนตายไปข้าง ฉันก็ไม่สนใจ …แต่พอดีฉันรับเคสมา และคนที่ฉันต้องการคือหมอนั่น”
ปลายนิ้วชี้มาทางผม
คริสโตเฟอร์พูดต่อ
“จะทำร้ายมนุษย์ธรรมดาก็เชิญ เรื่องนั้นให้กฎหมายจัดการเอา ถ้าพวกแกมีปัญญาไปแจ้งตำรวจล่ะก็นะ”
ถึงตรงนั้นผมก็เดินเข้าไปกระชาก
“นายมาทำอะไรที่นี่…”
“คิดว่าฉันอยากมาหรือไง? แกผิดเองต่างหาก รู้ใช่มั้ยว่าเด็กที่แกทำร้ายไปวันก่อนเป็นเด็กจิตตฯ?”
หน้าของเด็กมอสามที่ผมจัดการไปเมื่อสองวันก่อนลอยขึ้นมา
“ถ้าไม่มีเรื่องนั้น ฉันไม่มายุ่งหรอก …ส่วนที่ต้องทำตอนนี้น่ะเหรอ? คงต้องลากแกกลับไปทำโทษที่โรงเรียนนั่นแหละ อยากโดนอะไรล่ะ? หักคะแนนหรือไม้เรียว?”
ผมจับไหล่คริสโตเฟอร์แน่น
“จะทำโทษหรืออะไรก็ช่าง! ช่วยกลับไปก่อนได้มั้ย!?”
อันตราย…เจ้านี่ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ากำลังอยู่ในสถานการณ์แบบไหน
“ไอ้โพธิ์! เอ็งเรียกผีมาช่วยเพิ่มอีกใช่มั้ย!? ตอบมานะโว้ย!”
หัวโจกทนไม่ไหว
โพธิ์ตะโกนกลับมาที่ผม
“ต้น! รีบพาเด็กคนนั้นออกไปได้แล้ว!”
“ได้ยินมั้ย!? คริสโตเฟอร์!”
ผมบอกไปแบบนั้น
คริสโตเฟอร์ปัดมือผมออกพร้อมส่ายศีรษะ
“อะไรกันล่ะเนี่ย…อยู่ๆมาเป็นห่วงเพื่อ? พวกแกต่างหากที่ต้องห่วงตัวเอง ส่วนแก กระหัง ถ้าฉันเห็นแกต่อยมนุษย์อีกที แกได้ไปเสียใจในนรกแน่”
“ต้น! เด็กนั่นมันพูดอะไรอยู่!?”
ผมเรียกสติคริสโตเฟอร์
“นี่ไม่ใช่สถานการณ์จะพูดบ้าๆแบบนั้นนะ! แล้วต่อให้ฉันทำอะไร นายพึ่งพูดเองว่าปล่อยเป็นหน้าที่ตำรวจไม่ใช่เรอะ!”
“เออแฮะ…จริงของแก คำสั่งยัยนั่นเริ่มจะย้อนแย้งเข้าไปทุกที อืม…เอาไงดี”
เขากุมคางครุ่นคิด
จังหวะเดียวกันกับที่ฝั่งคู่อริพุ่งเข้ามา
“ใครก็ไม่รู้แหละ! แต่อย่ามาทำตัวปัญญาอ่อนแถวนี้นะว้อย!!!”
ผมยกแขนจะป้องกันกำปั้นที่จะต่อยคริสโตเฟอร์
คริสโตเฟอร์กดมือผมลง รับกำปั้นไว้อย่างเต็มใจ
เสียงกระแทกเกิดขึ้นที่ใบหน้า
“หึ…แรงของมนุษย์มันก็ประมาณนี้ล่ะนะ”
“พูดห่าอะไรอยู่วะ!”
คริสโตเฟอร์หันมองรอบๆ
“…ดูเหมือนจะไม่จบง่ายๆสินะ ไม่อยากทำงี้หรอก แต่เดี๋ยวฉันร่วมด้วยก็ได้”
ร่วมด้วย…?
ขณะกำลังสงสัย คริสโตเฟอร์ร่ายอาคม
“อาภรณ์เงา…ชาโดว์สกิน”
ด้วยคำพูดเรียบๆ
ก่อนที่เงาของคริสโตเฟอร์จะเคลื่อนไหวอย่างน่าหวาดหวั่น ก่อนที่มันจะโผล่ขึ้นเหนือพื้นและเข้าปกคลุมร่าง
จนสุดท้ายก็กลายเป็นสิ่งมีชีวิตสีดำทะมึน…
“ไหนๆก็ไม่มีใครกล้าไปแจ้งตำรวจ เดี๋ยวฉันจัดการเองแล้วกัน …แน่นอนว่าไม่ได้ช่วยฝ่ายไหนสักฝั่ง เพราะงั้น…ใครที่ไม่อยากนอนโรงบาลก็กลับบ้านไปซะ”
“หนอย!”
“ไอ้บ้านี่!”
ทันทีที่คริสโตเฟอร์พูดจบ เหล่าผู้คนที่อยู่ในลานกว้างก็พร้อมพุ่งเข้าใส่คริสโตเฟอร์ด้วยความเดือดดาลทันที
รวมถึงพรรคพวกของโพธิ์ด้วย
“ไม่ได้ออกแรงนานแล้วแฮะ …ลองเล่นสนุกแบบที่เด็กวัยรุ่นมนุษย์ชอบทำกันอาจจะได้ประสบการณ์ที่ดีก็ได้”
คริสโตเฟอร์พึมพำ
ร่างสีดำทำร้ายมนุษย์ธรรมดาไม่เลือกหน้า ทั้งฝั่งคู่อริและพวกของโพธิ์
ผลั่ก! ผลั่ก!
ได้ยินเสียงกำปั้นกระแทก
แทบมองไม่ออกแล้วว่าอะไรเป็นอะไร
ที่สังเกตได้อย่างเดียวคือพวกที่พุ่งใส่คริสโตเฟอร์ค่อยๆกระเด็นออกมาทีละคน โดนรุมจนมองไม่เห็นตัวคริสโตเฟอร์แล้ว
ถึงจะบ้ายังไง เขาก็เป็นนักเรียนของจิตตฯ ถ้าทำร้ายมนุษย์แบบนั้นไม่เจ็บที่แผลฟกช้ำแน่
ผมที่คิดได้แบบนั้นก็วิ่งเข้าไป
กระชากกลุ่มคนออกด้วยแรงภูตผี เข้าประชิดคริสโตเฟอร์ก่อนจะดึงคอเสื้อเขาขึ้นมา
ดวงตาสีแดงมองกลับ
“อะไร? กำลังสนุกเลย”
“ไปต่อยมนุษย์แบบนั้นได้ไง! เดี๋ยวก็ตายกันพอดี!”
“เฮ้ๆ ฉันรู้น่าว่ามนุษย์อ่อนแอแค่ไหน ถึงได้ออมแรงไว้ไง? อีกอย่างก็แค่ต่อยตี”
“คิดว่าแค่นั้นพอเป็นเหตุผลได้เรอะ!?”
พูดถึงตรงนั้น คริสโตเฟอร์ก็แสยะยิ้ม รอยยิ้มภายใต้ความมืดที่ปกคลุมทำผมขนลุก
“เห…จะบอกว่าที่แกทำก่อนหน้านี้แตกต่างจากที่ฉันทำงั้นรึ?”
“อ๊ะ…”
“เป็นภูตผีแต่มายุ่งเรื่องของมนุษย์ ซ้ำยังทำร้ายมนุษย์ …ไม่ใช่ว่าแกก็ทำโดยที่ให้ข้ออ้างกับตัวเองแบบนั้นหรอกรึ? ออมแรงไว้แล้ว? ยังไงก็แค่ต่อยตี? หรือมีข้ออ้างน้ำเน่าแบบอื่นมาช่วยกลบความไร้เหตุผลของตัวเอง?”
ผมขบริมฝีปาก
“ที่นายทำมันเกินไป!”
“เกินไปยังไง? ไม่เห็นต่างจากที่แกทำตรงไหน …ฉันไม่ยอมรับเรื่องไร้เหตุผล ถ้าแกหาเหตุผลมาให้ฉันไม่ได้…”
พูดจบคริสโตเฟอร์ก็ผลักผมออก เขาออกวิ่งและต่อยไปที่ใบหน้าของคนคนนึงเหมือนเป็นการประกาศถึงความหนักแน่น
เป็นหมัดที่รุนแรง คนคนนั้นกระเด็นไปไกลจนชนกำแพง อีกทั้งคนคนนั้นคือ…
“โพธิ์!”
นิ่งไปเลย สลบ…หรือว่าตาย?
“เห็นแกมองหมอนี่บ่อย ฉันเดาว่าน่าจะเป็นเพื่อนหรืออะไรเถือกๆนั้นใช่มั้ย?”
“คริสโตเฟอร์!!!”
เหมือนเขาจะรู้อยู่แล้ว จึงหลบหมัดที่ผมปล่อยออกไปอย่างง่ายดาย
ผมรุกรับกับคริสโตเฟอร์ แน่นอนว่าไม่ได้ออมแรง อีกฝั่งเป็นภูตผี เพราะงั้นไม่มีความจำเป็น!
คนรอบๆได้แต่มองแต่ไม่กล้าเข้ามายุ่ง ความรุนแรงของการต่อสู้ระหว่างภูตผี ส่งผลให้มนุษย์ไม่กล้าที่จะยื่นมือ
“โกรธที่เพื่อนโดนต่อยเหรอ? งั้นที่แกต่อยคนอื่นไปตั้งเยอะคิดว่ามีคนโกรธกี่คนกันล่ะ?”
เรื่องนั้นผมจะไปรู้ได้ไง
“เพื่อนแกคงบาดเจ็บหนัก และฉันจะไม่ขอโทษหรืออะไรทั้งนั้น …ก็น่าจะเจ็บพอๆกับเด็กที่นายทำร้ายไปวันก่อนล่ะมั้ง? ฉันก็ไม่เห็นแผลเด็กคนนั้นซะด้วยสิ”
“เพราะงี้นายถึงต่อยเพื่อนฉันเรอะ!?”
ปัง!
คริสโตเฟอร์รับหมัดพร้อมใช้แรงกำหมัดผมไว้ เสียงดังสนั่นเหมือนดินปืน
“ต่อยมาเต็มแรงเลยนี่หว่า”
“ชิ!”
…น่าโมโหชะมัด
…ทำไมถึงได้น่าโมโหแบบนี้
ไม่ใช่เรื่องที่ผมจัดการคริสโตเฟอร์ไม่ได้ ที่จริงอาจจะไม่ใช่เพราะที่โพธิ์โดนต่อยด้วย…
…ผมรู้ดี ใช่ ผมรู้อยู่แก่ใจว่าทำไมผมถึงหงุดหงิด
เพราะเรื่องคริสโตเฟอร์พูดนั้น ถูกต้องทั้งหมด
ต่อให้จะออมแรงแค่ไหน สิ่งที่ผมทำก็คือทำร้ายมนุษย์ และก็สร้างความบาดหมางไปทั่วจนแพร่กระจายเป็นวงกว้างอย่างไม่น่าให้อภัย
ผมให้เหตุผลกับตัวเอง อย่างน้อยทั้งสองฝั่งก็ไม่ใช้ของมีคม ถึงจะบาดเจ็บแค่ไหนก็ไม่ถึงชีวิต แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่ผมจะมายุ่งเกี่ยวได้อยู่ดี
และเหตุผลน้ำเน่า ว่าอยากช่วยเพื่อนนั่น…
…ก็แค่หลอกตัวเองชัดๆ
ผมแค่กลัวว่าถ้าปฎิเสธคำขอของโพธิ์ ก็อาจไม่ได้เป็นเพื่อนกับโพธิ์
แค่ความเห็นแก่ตัว ผมถึงเลือกที่จะทำร้ายมนุษย์
ผมหลบสายตาคริสโตเฟอร์ คริสโตเฟอร์สลายเงาที่ปกคลุม
“เริ่มจะเข้าใจแล้วสินะ?”
“อ่า…”
“งั้นก็กลับโรงเรียนกัน ฉันยังมีเรื่องต้องคุยกับแก”
คริสโตเฟอร์หันหลังและเดินออกไปดื้อๆ ไม่สนใจคนที่อยู่รอบๆเหมือนพวกเขาเป็นแค่อากาศ
“คริสโตเฟอร์”
“หา?”
ผลั่ก!
ทันทีที่คริสโตเฟอร์หันกลับมา เขาก็โดนหมัดเข้าไปเต็มๆจนหน้าสะบัด
“…ทำบ้าอะไร…? กระหัง”
“ฉันเข้าใจที่นายจะสื่อหมดแล้ว แต่ว่า…วิธีการของนายมันน่าโมโห แล้วถึงฉันจะยังไม่ได้ขอโทษเด็กคนนั้น แต่นายต้องไปขอโทษโพธิ์ก่อน”
“ลำเอียงชะมัด ฉันก็ต่อยไปตั้งหลายคน”
“แค่โพธิ์คนเดียวก็พอ คนอื่นฉันไม่สน”
ผมพูดไปแบบนั้น
คริสโตเฟอร์หรี่ตายิ้ม
“มีด้านที่เห็นแก่ตัวเหมือนกันนี่หว่า สมแล้ว…ถึงร่างกายจะเป็นภูตผี แต่เนื้อแท้ก็เป็นเด็กวัยรุ่น”
“อ่า”
“แต่โทษที จะหมดเวลาชมรมแล้ว ฉันไม่อยากยกเคสบ้าบอไว้ทำต่อพรุ่งนี้ เพราะงั้น…”
อาคมพวยพุ่ง มาจากวงเวทที่ริมฝีปากนั่น
ผมตั้งการ์ด
…ไร้ประโยชน์ เพราะสิ่งที่คริสโตเฟอร์ทำ ไม่ใช่การโจมตีทางกายภาพ
หากเป็นการโจมตีทางจิตใจ
“ด้วยนามแห่งข้า จงฟัง …กลับโรงเรียนพร้อมฉันซะ”
.
.
.
…เมื่อได้สติอีกที ภาพตรงหน้าก็เปลี่ยนไป
ห้องทรงสี่เหลี่ยมที่มีความกว้างพอๆกับห้องเรียน พร้อมด้วยโซฟา กับโต๊ะสำนึกงานที่ตั้งอยู่ ป้ายบนโต๊ะนั่นเขียนไว้ว่า ‘ประธานนักเรียน’
“คงไม่เมาอาคมแล้วมั้ง? แกเคยโดนไปทีนึงแล้วด้วย”
ผมมองตาม พบคริสโตเฟอร์นั่งอยู่โซฟา ส่วนที่นั่งอยู่ข้างๆก็คือน้ำ
“ช้าไปหน่อย ยัยนั่นเลยกลับไปแล้ว แต่ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันจัดการเอง ไปนั่งได้แล้ว”
“…”
ผมไม่ขยับ
น้ำเอ่ยเร่ง
“นั่งเถอะต้น ไม่เป็นไรหรอก”
“ทำไมเธอถึงอยู่ที่นี่? แล้วที่นี่…ชมรมเหรอ?”
“สภานักเรียนน่ะ ตอนนี้ฉันเป็นสภานักเรียนแล้วด้วยนะ”
น้ำว่าแบบนั้น
นี่คือห้องสภานักเรียนงั้นเหรอ? เคยได้ยินอยู่นิดหน่อย แต่ดูธรรมดาต่างจากที่คิดไว้
“โพธิ์…คนที่นายต่อยไป เป็นไงบ้าง?”
“ห่วงเรื่องนั้นเองหรอกเรอะ? ถ้าอยากรู้ก็ไปถามเจ้าตัวเองสิ”
ที่คิดไว้คืออย่างน้อยน่าจะต้องเรียกรถพยาบาล โดนคริสโตเฟอร์ซัดเต็มแรงแบบนั้น ลำพังร่างกายของมนุษย์จะไปทนได้ยังไงกัน
อย่างกับวางเอาไว้ล่วงหน้า จู่ๆก็มีเสียงข้อความ ผมหยิบโทรศัพท์
“ต้น! นายหายไปไหน? พอฉันตื่นมาฝั่งโน้นก็กลับไปหมดแล้ว เกิดอะไรขึ้นเนี่ย!?”
ดูเหมือนจะสบายดี ทำไมกันล่ะ…ก็คริสโตเฟอร์พึ่งจะ…
“คิดว่าฉันจะต่อยมนุษย์สุดแรงให้เปลืองมือเรอะ? หมอนั่นสลบเพราะโดนอาคมเข้าไปก็แค่นั้น”
“แต่นายบอกว่า…”
“พูดไปงั้น เป้าหมายจริงๆก็แค่อยากให้แกคิดได้ จากที่ดูก็น่าจะเริ่มคิดได้แล้วสินะ?”
ผมนั่งลงที่โซฟาฝั่งตรงข้าม ไม่ต้องห่วงอะไรโพธิ์แล้ว
น้ำผสานมือ
“อธิบายให้ต้นฟังกันเถอะค่ะ”
คริสโตเฟอร์พยักหน้าเบาๆพร้อมพูด
“…ฉันได้รับเคสมา เด็กมอสามของจิตตฯถูกทำร้าย สืบไปสืบมาก็รู้ว่ามีต้นเหตุจากนักเรียนของจิตตฯบางคนไปยุ่งเกี่ยวการต่อยตีกันระหว่างสองสถาบันของมนุษย์ เดิมทีจิตตฯไม่จำเป็นต้องเข้าไปจัดการ แต่ก็อย่างที่พูด…ฝั่งที่ได้รับบาดเจ็บคือเด็กมอสามของจิตตฯ”
“น้องคนนั้นอยู่จิตตฯสินะ…”
“ประธานนักเรียนรู้แค่ว่าต้นเหตุเป็นนักเรียนจิตตฯ แต่ยังระบุตัวไม่ได้ …แต่ว่า จากเสียงนินทาของนักเรียนที่นี่แล้ว ล้วนแต่ตั้งข้อกังขาให้กับนักเรียนคนนึง หรือก็คือแกเข้าข่ายความเป็นเป็นได้ที่จะเป็นต้นเหตุมากที่สุด”
คริสโตเฟอร์ชี้นิ้วมาทางผม
ผมผสานมือแน่น
“ถึงจะว่าแบบนั้น ก็เป็นแค่ความเป็นไปได้ เมื่อไม่มีหลักฐานแน่ชัด ที่ฉันทำได้ก็คือตามสืบ…และก็ได้รู้ว่าแกนั่นแหละคือต้นเหตุ แถมยังรู้สถานที่ที่พวกแกจะนัดไปตีกันวันนี้ด้วย”
“รู้…งั้นเหรอ?”
ผมแน่ใจว่าไม่เคยคุยกับคริสโตเฟอร์เรื่องนั้นมาก่อน
คริสโตเฟอร์แค่นลมหายใจ
“จำเหตุการณ์ตอนพักเที่ยงได้มั้ยล่ะ?”
ตอนนั้นเองรึ
แสดงว่า…ผมคงโดนอาคมอะไรสักอย่าง ก่อนที่ภาพจะตัดมาที่ห้องเรียนในช่วงบ่าย ผมคงโดนผลของอาคมนั้นอยู่…
“เข้าใจง่ายดีนี่ …อ๋อ ฉันลงอาคมให้นายส่งสถานที่มาให้ด้วย คงมีช่วงนึงที่รู้สึกตัวอีกทีก็ส่งข้อความไปให้ใครก็ไม่รู้ใช่มั้ยล่ะ?”
ตอนที่โพธิ์ทักผมก่อนจะไปยังสถานที่นั่นสินะ ฤทธิ์อาคมของคริสโตเฟอร์…
“จากนั้นฉันเลยไปที่นั่นเพื่อจับให้ได้คาหนังคาเขา …ถึงตอนแรกจะเกือบแผนแตกตอนผีไร้หัวนี่ไปคุยกับแกก็เถอะ แต่ตอนนี้ก็ยืนยันได้แล้วว่าแกเป็นต้นเหตุจริงๆ กระหังต้น”
ที่น้ำมาหาผมก่อนหน้านี้ คือรู้เรื่องอยู่แล้วและพยายามเตือนงั้นเหรอ?
ถึงว่าทำไมถามย้ำว่าผมจะกลับบ้านรึเปล่าแบบนั้น…
ผมถาม
“แล้วไงล่ะ? จริงอยู่ว่าที่นายพูดไม่ผิด …แล้วจะทำโทษฉันหรือไง? ข้อหาที่ไปทำร้ายน้องมอสามคนนั้น?”
“เปล่า ฉันว่าเด็กนั่นไม่ได้นึกติดใจอะไรหรอก พูดกันตามตรง…ฝั่งที่ดื้อไปรับเคสมาทั้งที่ไม่ต้องรับก็ได้คือประธาน…”
คริสโตเฟอร์หันมองโต๊ะประธานด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่ายใจ
“แต่ก็นะ…ในเมื่อจับได้แล้ว คงต้องทำโทษกันสักหน่อย ซึ่งก่อนจะไปถึงตรงนั้น…แกสำนึกผิดหรือยัง?”
…สำนึกผิด
“จำเป็นด้วยเหรอ?”
“แค่อยากฟัง”
ผมนิ่งเงียบ
ผมสำนึกผิดมาตลอดนั่นแหละ…
รู้ดีว่าไม่ควรทำร้ายคนธรรมดา ต่อให้ไม่ใช่ผีสาง แต่คนเราก็ไม่ควรทำร้ายกันเองอยู่แล้ว…
“อ่า ฉันจะไม่ทำอีก”
“ดีมาก แกนี่คุยรู้เรื่องกว่าพวกนอกคอกในโรงเรียนส่วนใหญ่เยอะเลยแฮะ”
อาจจะเป็นคำชม? เพราะคริสโตเฟอร์ยิ้มตอนพูดแบบนั้น
“นี่ต้น”
น้ำทำเสียงลำบากใจพูด
“…ก่อนหน้านี้ฉันอาจใช้คำพูดผิดไปหน่อย ที่นายอยากช่วยเพื่อนก็ไม่ผิดหรอก …แต่ว่าวิธีช่วยเพื่อนมันก็มีตั้งหลายวิธีไม่ใช่หรือไง ไม่เห็นต้องไปทำร้ายคนอื่นเลย”
“…รู้แล้วน่า”
ผมตอบขอไปที
น้ำขึ้นเสียง
“ไม่ต้องมาทำเสียงแบบนั้นกับฉันเลยนะ!”
“…ก็บอกว่ารู้แล้วไง เลิกสอนได้แล้ว”
“งั้นเหรอ? ไหนลองบอกสิว่าต่อจากนี้จะทำยังไงกับเพื่อนคนนั้น”
ผมคิดไปสักพัก
“…เลิกคบเหรอ?”
“จะบ้าหรือไงยะ!!!”
น้ำดันตัวขึ้นมาเคาะศีรษะผม
“เจ็บนะ…ไหนก่อนหน้านี้เธอบอกว่าเพื่อนแบบนั้นให้เลิกคบไปไม่ใช่เหรอ?”
“แล้วก็พึ่งพูดไปหยกๆว่าฉันใช้คำผิดไปหน่อยไง! ฟังนะ! หน้าที่ของเพื่อนอย่างเราก็คือการช่วยชี้แนะทางที่ถูกต้องให้! การเลิกคบแบบนั้นมันคือความเห็นแก่ตัว! ปัดความรับผิดชอบ!”
เป็นงั้นหรอกเหรอ…
ผมถามออกไป
“แล้วต้องทำยังไง?”
“ก็ไปบอกให้เลิกชกต่อยไงล่ะ! ที่นายทำไปเพราะเหตุผลอะไรก็ไม่รู้แหละ! แต่ไม่ใช่ไปช่วยเพราะเห็นว่าเป็นเพื่อน!”
…แบบนั้นมัน…อาจจะถือว่าช่วยเหลือมากกว่าก็ได้
ถ้าผมเป็นคนช่วยดึงให้โพธิ์เลิกชกต่อยล่ะก็…
“เห…แบบนี้เขาเรียกว่าโดนมิตรภาพบังตา?”
“น้องคริสช่วยเงียบไปก่อนค่ะ!”
คริสโตเฟอร์ยักไหล่รับคำพูดของน้ำ
“เข้าใจมั้ยต้น! เพราะงั้นต่อจากนี้ห้ามชกต่อยแล้วนะ! แล้วก็ไปบอกเพื่อนคนนั้นให้เข้าใจด้วย!”
“…”
ท่าทีเป็นห่วงของน้ำ นั่นอาจจะเป็นสิ่งที่ผมตามหามาตลอดก็ได้
เพื่อนที่คอยห่วงว่าผมจะเลือกเส้นทางผิดพลาด…
เพื่อนที่คอยดึงสติ …ที่จริงเพื่อนร่วมชั้นของผมก็คงพยายามทำแบบนั้นอยู่ แค่ผมไม่สนใจก็เท่านั้น…
แม้โพธิ์จะไม่ใช่คนเลวร้าย แต่ความจริงที่ว่าการกระทำของโพธิ์คอยฉุดให้ผมทำสิ่งที่ไม่น่าให้อภัยก็เป็นความจริง
ทั้งผมทั้งโพธิ์ล้วนแต่ทำพลาด ทั้งที่ควรจะห้ามซึ่งกันและกันแท้ๆ
ผมพยักหน้า
“เข้าใจแล้ว…”
ด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“เอ๊ะ?”
น้ำอุทาน ผมพูดให้เด็ดขาด
“ฉันจะเลิกชกต่อย แล้วก็จะไปบอกให้โพธิ์เข้าใจด้วย ถึงไม่รู้ว่าโพธิ์จะทำตามหรือเปล่า แต่ฉันจะลองดู”
น้ำที่ได้ยินดังนั้นก็คลี่ยิ้ม
แม้จะไม่เห็นใบหน้า แต่ก็กำลังยิ้มอยู่
“ทำซึ้งอะไรกันอยู่เนี่ย? เห็นแล้วอยากอ้วก”
คริสโตเฟอร์ขัดขึ้นมาจนบรรยากาศเมื่อครู่ปลิวไปกับสายลม
“น้องคริส!”
“อีกอย่าง แกก็คิดได้ตั้งนานแล้วไม่ใช่เรอะ? ต่อให้ไม่มีคำพูดของผีไร้หัวนี่ เพราะงั้นที่ฉันบอกว่ามิตรภาพบังตามันผิดตรงไหน?”
“ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ!”
“อีกเรื่อง ลืมแล้วหรือไงว่าฉันเป็นหัวหน้าเธอ? คิดไงถึงได้มาจัดการเอาเองล่ะนั่น?”
ถึงจะทำเสียงหงุดหงิด แต่คริสโตเฟอร์ก็ไม่ได้แสดงท่าทีคัดค้านอย่างจริงจัง
ผมพูด
“อย่างที่นายพูดนั่นแหละคริสโตเฟอร์ ฉันรู้อยู่เต็มอก …ต่อให้น้ำไม่พูด ฉันก็เข้าใจว่ามันผิด”
“เออ”
“ฉันเป็นเชื้อสายภูตผี ถึงจะให้เหตุผลกับตัวเองว่าอยากช่วยโพธิ์ แต่นั่นก็แค่คำพูดเข้าข้างตัวเอง เพราะไม่มีความกล้าพอจะห้ามก็เท่านั้น”
“เห…”
คริสโตเฟอร์เปลี่ยนแววตาที่มองผมเล็กน้อย
ผมยิ้มบางๆ
“ประมาณนั้นล่ะ …แล้วบทลงโทษล่ะ?”
ไม่มีความจำเป็นต้องหาเหตุผลสำหรับการกระทำของตัวเองแล้ว ผมรู้ตัวว่าทำผิด เพราะงั้นสิ่งที่จะได้รับต่อไปก็คือบทลงโทษ
ไม่รู้ว่าจะช่วยชดเชยสิ่งที่ทำไปทั้งหมดได้หรือไม่ ทั้งคนธรรมดาที่ผมทำร้ายไป หรือแม้กระทั่งเด็กมอสามคนนั้น…
คริสโตเฟอร์เงียบไปหนึ่งจังหวะ
“…รอบนี้ยัยนั่นฝากให้ฉันจัดการเองทุกอย่าง เพราะงั้นบทลงโทษ ฉันจะเป็นคนคิดเอง”
พูดถึงตรงนั้น คริสโตเฟอร์ก็ยื่นมือ
“?”
ผมสงสัยในฝ่ามือ จนกระทั่งคริสโตเฟอร์ว่า…
“แกน่ะ…”
“อย่างน้อยก็เรียกต้นว่านายได้มั้ยคะ? ต้นอายุมากกว่าน้องคริสนะคะ”
คริสโตเฟอร์เดาะลิ้นใส่น้ำ ก่อนจะแก้คำพูด
“นายน่ะ มาเข้าสภานักเรียนของฉันซะ กำลังขาดคนอยู่พอดี…ชกต่อยเก่งอยู่แล้วไม่ใช่เรอะ?”
แบบนั้น
ผมถามกลับ
“นั่นคือบทลงโทษเหรอ?”
“ใช่ นายต้องมาเป็นลูกน้องฉัน และฉันไม่ให้อภัยคนอู้งาน เตรียมใจไว้ซะ”
“ไม่เห็นเกี่ยวกับเรื่องชกต่อยเก่งเลย…”
“ปีหน้าฉันต้องขึ้นเป็นประธาน ได้ยินมาว่าต้องมี ‘ฝ่ายควบคุมความประพฤติ’ อะไรนั่นด้วย นายได้ที่นั่งตำแหน่งนั้นล่วงหน้า เพราะงั้นก็น่าจะได้ชกต่อยอีกนั่นแหละ แค่ต้องเคลื่อนไหวตามคำสั่งฉัน”
“คือจะลามคอฉันไว้เหรอ?”
“รับไม่ได้หรือไง?”
ไม่คิดเลยว่าจะเจอคนอายุน้อยกว่าที่อวดดีถึงขั้นนี้
แต่ผมกลับรู้สึกว่าน่าสนใจ
ผมจับมือคริสโตเฟอร์
“อ่า เข้าก็ได้ ยังไงฉันก็หนีบทลงโทษไม่ได้อยู่แล้วใช่มั้ย?”
“ตามนั้น งั้นก็ขอต้อนรับเข้าสภา กระหังต้น”
“น้องคริส! พี่พึ่งพูดไปหยกๆว่าห้ามต้นชกต่อยน่ะ! แบบนี้มันแย้งกันเองนะคะ!!!”
“เงียบเถอะน่าผีไร้หัว! ลืมแล้วหรือไงว่าฉันเป็นหัวหน้าเธอน่ะหา!?”
สองคนนั้นเถียงกันจนทำผมหัวเราะ
ดูเหมือน ต่อจากนี้จะยุ่งขึ้นซะแล้วสิ…
และนั่นก็คือเหตุการณ์ก่อนที่ผมจะเข้าสภานักเรียน ถ้านึกย้อนกลับไป ต้นเหตุมันอาจจะมาจากที่ผมไม่โตพอจะปฎิเสธคำขอของโพธิ์ตั้งแต่แรก…
…ถึงอย่างนั้น คริสโตเฟอร์ก็บอกกับผมว่า ‘นายเป็นวัยรุ่นไม่ใช่เรอะ? จะหลงผิดแบบนั้นไปก็ไม่ใช่เรื่องแปลก อีกอย่าง เรื่องชกต่อยในมนุษย์เพศชายของประเทศนี้มันก็เป็นของคู่กันอยู่แล้ว’
ก็…ประมาณนั้นแหละ
+ +
พักเที่ยง
ผมกำลังซื้อน้ำจากร้านขายน้ำ ทันใดนั้นเองที่ได้ยินเสียงทักจากด้านข้างจนผมสะดุ้งเล็กน้อย
“พี่ต้น?”
น้องประธานเดินมาพร้อมถุงส้มตำในมือ สงสัยวันนี้น้องเขาก็จะไปกินข้าวที่ห้องสภาอีกแล้ว
ผมยิ้มให้ น้องประธานมอง
“ซื้อน้ำหรอครับ? ว่าแต่เมื่อกี้พี่ต้นตกใจอะไรน่ะครับ?”
“เปล่า…แค่นึกถึงเรื่องปีที่แล้วนิดหน่อย”
“เรื่องอะไรล่ะครับนั่น?”
“…ก็ เรื่องน้องประธานนั่นแหละ”
“???”
ณ ปัจจุบัน ผมก็ทำงานสภาต่อแม้จะขึ้นมอหกแล้ว ซึ่งก็ชินกับการทำงานเรียบร้อย ที่บางทีจะยังเกือบไม่ค่อยชินก็…
น้องประธานยิ้มกว้าง
“ไหนๆก็เจอพอดี! พี่ต้นไปสภากับผมมั้ยครับ! ผมจะไปกินข้าวพอดี!”
ก็คือท่าทีร่าเริงของน้องประธานที่ต่างจากปีที่แล้วหน้ามือเป็นหลังมือล่ะนะ
แต่ว่า…ผมก็ชอบน้องประธานที่เป็นแบบนี้มากกว่า
ผมพยักหน้า
“ได้สิ น้องประธานคงเหงาที่กินข้าวคนเดียวทุกวันสินะ?”
“ไม่ได้เหงาสักนิดครับ”
“อืมๆ”
“พี่ต้น! ท่าทีแบบนั้นคือไม่เชื่อใช่มั้ยครับ!!!”
“ฮะฮะ”
“ขำอะไรเนี่ย!?”
ผมไม่รู้หรอกนะว่าน้องประธานเหงาจริงหรือไม่ แต่ตอนนี้สภาก็มีคนเยอะกว่าเมื่อก่อนแล้ว ต่อให้ผมจะยุ่งจนไม่ได้เข้าสภา แต่ก็ยังมีคนคอยช่วยงานน้องประธานอยู่ดี
ถึงส่วนใหญ่ผมจะเข้าสภาทุกเย็น จะไม่ได้เข้าช่วงกลางวัน แต่วันนี้ไปด้วยสักหน่อยแล้วกัน
น้องประธานยกถุงส้มตำในมือที่สีแดงจนผิดปกติ
“หว๋าย…สงสัยจะเผ็ดอีกแล้วสิเนี่ย”
“ซาตานน่าจะกินเผ็ดได้ไม่ใช่เหรอ?”
“ไม่เกี่ยวกับเป็นซาตานหรือเปล่าสักหน่อย! คนประเทศนี้มันบ้าที่ชอบกินเผ็ดกันต่างหากครับ!”
“ระ เหรอ…”
จู่ๆก็โดนด่าว่าบ้าซะอย่างนั้น น้องประธานคงไม่รู้แหละว่าผมชอบกินเผ็ด…
น้องประธานพูด
“เออ ใช่ เดี๋ยววันนี้จะมีสมาชิกเข้าใหม่นะครับ เด็กมอสี่ห้องเดียวกับสไปรท์”
มอสี่งั้นเหรอ…
“ถ้ายังไงเย็นนี้พี่ต้นเข้าสภาด้วยนะครับ แบบว่า…ต้อนรับสมาชิกใหม่?”
“ได้สิ ว่าแต่น้องประธานเป็นคนชวนเข้ามาเองเลยเหรอ?”
“ประมาณนั้นครับ พอดีค่อนข้างติดใจเลยล่ะ…”
เป็นเด็กแบบไหนกันนะ ที่ทำให้น้องประธานติดใจได้เนี่ย หวังว่าจะไม่ใช่คนแปลกๆก็ดีนะ …น่าจะมีอยู่ไม่กี่คนหรอก
เมื่อถึงห้องสภา เมื่อน้องประธานเปิดประตู
“น้องประธาน”
“ครับ?”
ผมก้มหน้าเล็กน้อย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นและพูดออกไป
“ขอบคุณนะ”
น้องประธานงงเต๊ก
“หมายถึงที่เปิดประตูให้เหรอครับ?”
“ฮะฮะ ใช่ๆ”
“วันนี้พี่ต้นแปลกๆนะครับเนี่ย…”
ไม่หรอก ก็แค่พอนึกย้อนกลับไป คนที่ช่วยผมให้กลับมาเข้าลู่เข้าทางได้ก็คือน้องประธาน และผมยังติดค้างคำขอบคุณอยู่
ถึงเขาจะไม่รู้ว่านั่นหมายถึงผมขอบคุณเรื่องอะไร แต่ไว้มีโอกาสค่อยขอบคุณอีกครั้งก็ได้
อืม…ที่จริงกับยัยน้ำก็ต้องขอบคุณด้วยสินะ แต่รายนั้นไว้ทีหลังแล้วกัน…
เศษเสี้ยวเรื่องราวที่สอง พี่ต้น /จบ