สภานักเรียนกับโรงเรียนสิ่งมีชีวิตลี้ลับ - ตอนที่ 68 เศษเสี้ยวเรื่องราวที่สอง พี่ต้น (1)
- Home
- All Mangas
- สภานักเรียนกับโรงเรียนสิ่งมีชีวิตลี้ลับ
- ตอนที่ 68 เศษเสี้ยวเรื่องราวที่สอง พี่ต้น (1)
ลานกว้าง
อีกทั้งยังเป็นเขตค่อนข้างร้างผู้คน ภายในลานกว้างเต็มไปด้วยเศษเหล็กที่ไม่รู้ใครนำมาทิ้งไว้
มีเสียงโวยวายและเสียงก่นด่าสาปแช่ง
ผมปล่อยให้เสียงนั้นไหลผ่านหู ตั้งสมาธิกับศัตรูตรงหน้า ไม่สิ…แค่คู่อริมากกว่า
หมัดสุดท้ายของผมพุ่งเข้าใส่แก้มซ้ายเด็กหนุ่มคนนึง ถ้าว่ากันตามตรงแล้ว นี่นับว่าเป็นคู่อริที่มีฝีมือกว่าทุกที
ผมยกคอเสื้อเด็กหนุ่มขึ้นมา
“เหอะ…ไม่บินสักหน่อยหรือไง? คุณกระหัง?”
คำพูดกระแหนะกระแหน พร้อมกับดวงตาสีฟ้าอ่อนที่มีสีเหลืองอยู่เล็กน้อย
ผมตอบสายตาคู่นั้น
“…ไม่จำเป็น”
“เพราะต่อยกับมนุษย์ธรรมดาเลยออมมือหรือไง?”
“…เรื่องนั้นก็ใช่อยู่หรอก แต่นายไม่ใช่ไม่ใช่รึ?”
เด็กหนุ่มคนนี้ มีพลังวิญญาณ
ดูเหมือนฝั่งคู่อริก็เริ่มจะส่งภูตผีเข้ามาต่อกรกับผมบ้างเสียแล้ว แต่ก็แค่นั้น แม้จะตึงมือ…แต่ก็…แค่นั้น
ผมปล่อยเด็กหนุ่มจนเขาล้มลงพื้น
“ไม่คิดเลยว่าเจ้าพวกนี้จะเอาเด็กอย่างนายมาช่วย…”
ถึงจะเป็นภูตผี แต่ก็แค่เด็กมอสาม ต้องจนตรอกขนาดไหนถึงได้เอาเด็กอย่างนี้มาเกี่ยวด้วยกันนะ?
ขณะผมหันหลังและจะไปรวมกับกลุ่มเพื่อนที่สภาพก็สะบักสะบอมไม่แพ้คู่อริที่อยู่ตามพื้นนั่นเอง…
ก็สัมผัสได้ถึงอาคมจากด้านหลัง
ผมตอบสนองต่ออาคมนั้น พร้อมเตะไปที่เด็กหนุ่มเจ้าของอาคมเต็มแรง
ราวกับว่าท้องฟ้าเกิดแปรปรวน แต่ก็หยุดลงทันทีที่ผมเตะเด็กหนุ่มจนสลบ
เลือดไหลอาบใบหน้าเด็กหนุ่ม
…ทำเกินไปมั้ยนะ
ถึงจะคิดเช่นนั้น แต่นี่คือการต่อยตีระหว่างสองสถาบัน เพราะงั้นจะมีเรื่องเจ็บตัวก็ไม่แปลก
ผมคิด พร้อมพาเพื่อนๆที่ลุกไม่ไหวจากการต่อสู้กลับโรงเรียน
โดยไม่คิดเลยว่าเหตุการณ์นี้ จะทำให้ชีวิตช่วงชั้นมอห้าของผีกระหังของผม จะได้พบเจอกับอะไร…
…ณ ปัจจุบัน ผมศึกษาอยู่ที่อาคมจิตตวิทยาสาขาที่หนึ่ง ชั้นมอห้า
การตีกันระหว่างสถาบัน แม้ก่อนหน้านี้จะว่าแบบนั้น แต่ผมก็ไม่ได้ไปพร้อมกับเด็กในจิตตฯ กล่าวคือ ผมเป็นแค่กำลังเสริมที่ไปช่วยในการตีรันฟันแทงของสถาบันที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับจิตตฯก็เท่านั้น…
ซึ่งก็ทำแบบนี้มาได้สักพักแล้ว
ย้อนกลับไปเมื่อหลายเดือนก่อน ขณะกำลังกลับบ้าน ผมพบกับเด็กนักเรียนคนนึงโดนรุมกระทืบ ทั้งสองฝ่ายนั้นล้วนสลักป้ายชื่อโรงเรียนที่เป็นของโรงเรียนสำหรับมนุษย์ธรรมดา
ทีแรกก็นึกแปลกใจว่าทำไมถึงได้มาอยู่แถวนี้ รอบๆจิตตฯไม่มีโรงเรียนอื่น ที่อยู่ใกล้สุดก็อยู่ห่างไปไกล
แต่ไม่ว่าอย่างไร ผมที่เห็นว่าเด็กนักเรียนที่พยายามต่อสู้สุดชีวิตนั้นกำลังแย่ ผมก็ตัดสินใจเข้าไปช่วย
แน่นอนว่าผมเป็นเชื้อสายภูตผี ด้านพลังกำลังจึงสามารถต่อกรกับเด็กเกเรสี่ถึงห้าคนได้อย่างง่ายดาย
เมื่อไล่เด็กเกเรพวกนั้นไปจนหมด
เด็กนักเรียนที่เนื้อตัวบอบช้ำก็ทิ้งตัวลงกับพื้นพลางหัวเราะ
“ฮะฮะ! นึกว่าจะแย่ซะแล้วสิ ขอบใจที่ช่วยนะ”
“…อ่า”
“ชื่ออะไร?”
“ต้น”
“เห…ต้นสินะ ฉันชื่อโพธิ์ ยินดีที่ได้รู้จัก”
โพธิ์ยื่นมามือก่อนจะชักมือกลับพร้อมครางในลำคอว่า ‘เจ็บๆๆ’
และนั่นก็เป็นครั้งแรกที่ผมได้รู้จักกับโพธิ์
เมื่อโพธิ์ทราบว่าผมมาจากจิตตฯ อีกฝ่ายก็มาดักรอเจอผมทุกวันหลังเลิกเรียน ดูเหมือนจะเดาเส้นทางกลับบ้านของผม ผ่านทางสถานที่ที่เราเจอกันครั้งแรก
ทีแรกก็น่ารำคาญอยู่หรอก แต่พอนานๆเข้าก็เริ่มคุยถูกคอ
รู้ตัวอีกทีก็สนิทกันตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ
ผมได้มารู้ทีหลังว่าที่โพธิ์กำลังถูกรุมกระทืบตอนนั้น คู่กรณีมาจากอีกสถาบันและก็เป็นคู่อริมาอย่างยาวนาน
นั่นจึงทำให้ผมนึกตลกตัวเองที่เข้าไปช่วยเรื่องปัญหาวัยรุ่นตีกัน แถมยังไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับจิตตฯเลยแม้แต่น้อย
ใช่แล้ว โพธิ์ก็นับว่าเป็นเด็กเกเรเช่นกัน
“วันนั้นพอดีฉันไปส่งแฟนที่บ้านน่ะ ไม่นึกว่าจะเจอเจ้าพวกนั้น ถ้าไม่ได้นายคงแย่ อ๋อ ไม่ต้องห่วง ยัยนั่นอยากให้ฉันไปส่งทุกวัน แต่ถ้าทำงั้นจริง ไม่รู้จะมีวันพรุ่งนี้รึเปล่า เลยเลิกไปแล้วล่ะ”
เอาตัวรอดเป็นยอดดี แต่เป็นผมก็คงทำงั้นแหละ
ใครจะอยากเดินทางไปยังสถานที่ที่จะโดนดักทำร้ายทุกวันกันล่ะ?
ถึงกระนั้นโพธิ์ก็หน้าตาค่อนข้างดี จึงเปลี่ยนแฟนเป็นว่าเล่น ช่วงที่ผมรู้จัก เขาก็เปลี่ยนแฟนไปสามสี่คนแล้ว
ต่อให้อยู่คนละโรงเรียน ต่อให้ผมจะเป็นภูตผีแต่โพธิ์เป็นคนธรรมดา …ผมก็สนิทกับโพธิ์มากยิ่งกว่าเพื่อนๆที่รู้จักในจิตตฯ
และด้วยความที่เป็นแบบนั้นกระมัง? โพธิ์ถึงได้ลองถาม
“นายสนใจมาช่วยฉันจัดการเจ้าพวกนั้นมั้ย?”
หรือก็คือคำชวนให้ผมไปช่วยในการต่อยตีระหว่างสถาบัน
ซึ่งผมก็ปฎิเสธไปในทีแรก เพราะเป็นเรื่องระหว่างสถาบันที่ผมซึ่งอยู่จิตตฯไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง แถมยังเป็นของมนุษย์ธรรมดาอีกต่างหาก
แต่โดนตื้อหลายๆรอบเข้า ผมก็ตกปากรับคำไปเสียอย่างนั้น …บางทีความสนิทก็ทำให้คนเราใจอ่อนนี่นะ
…หลังจากนั้น ผมก็เข้าร่วมต่อยตีกับสถาบันของโพธิ์หลายครั้ง จนเพื่อนๆของโพธิ์เริ่มจะไว้เนื้อเชื่อใจ
บางทีก็นัดกันไปเที่ยวเป็นกลุ่ม แน่นอนว่ามีโพธิ์ และก็แน่นอนอีกว่าไม่จบแค่การไปเที่ยวธรรมดา ถ้าบังเอิญเจอคู่อริก็จะตีกันตรงนั้น
ผมมักจะออมมือไว้เสมอ เพราะอีกฝั่งเป็นแค่มนุษย์
อาจจะมีคำถามว่าทำไมถึงยอมไปด้วยแต่แรก? นั่นก็จริงอยู่ อย่างผมไม่ควรไปทำร้ายมนุษย์อยู่แล้ว ถ้าเป็นตามปกติอาจจะถึงขั้นขึ้นโรงพัก
แต่เพราะนี่คือการต่อยตี ฝั่งคู่อริก็ไม่มีปากเสียงหรือความกล้าพอจะไปแจ้งตำรวจ
ที่ทำได้ ก็คือหาผีสางมาช่วยเหมือนอย่างที่โพธิ์ทำ
จนเป็นเรื่องอย่างเมื่อวาน ที่ผมเจอเด็กที่มีพลังวิญญาณ
และในช่วงสุดท้าย ผมเผลอเตะเด็กหนุ่มคนนั้นเข้าไปเต็มแรง จนรู้สึกติดค้างในใจ หวังว่าจะไม่เป็นไรมากนะ…
กริ๊ง…!
เสียงออดเลิกเรียน
ผมหลุดจากภวังค์ ก่อนจะลุกขึ้นเก็บกระเป๋า
มีเพื่อนๆในห้องเข้ามาชวนคุย อารมณ์ประมาณว่าจะไปเที่ยวไหนกันสักที่ และจะชวนผมไปด้วย
ผมบอกปัดไป เพราะกลุ่มเพื่อนที่มาชวนมีแต่ผู้หญิง จนนึกสงสัยว่าจะมาชวนผู้ชายอย่างผมทำไม และต่อจากนี้ผมมีนัดกับโพธิ์อยู่แล้วด้วย
กระนั้น ก็โดนชวนคุยต่ออีก
กว่าจะออกจากห้องเรียนได้ก็เลยเวลาเลิกเรียนมาสักพัก
ระหว่างเดินผ่านระเบียง เมื่อลงมาถึงชั้นสองซึ่งเป็นชั้นเรียนของมอสี่ ผมก็ได้ยินเสียงที่ลอยเข้าหูมาได้อย่างไรก็ไม่ทราบ ทั้งๆที่รอบข้างเสียงดัง
เป็นเสียงที่คุ้นหู
“น้องคริส! ไปสภาพร้อมพี่นะ!”
ผมหันคอเหลือบมอง
เด็กสาวที่มีรูปร่างสมส่วน พร้อมด้วยความว่างเปล่าเหนือต้นคอขึ้นไป
ผีไร้หัว น้ำ …ผมรู้จักกับเธอตั้งแต่สมัยเด็ก แต่ในปัจจุบันไม่ได้คุยกัน
ดูเหมือนเธอกำลังคุยกับนักเรียนคนนึงอยู่
นักเรียนคนนั้นสวมชุดนักเรียนแปลกตา ชุดเบลเซอร์สีดำพร้อมด้วยเนคไทสีแดงสด ถ้าไม่ใช่เพราะส่วนสูงคงคิดว่าเป็นอาจารย์ไปแล้ว
อีกทั้งสีผมยังเป็นสีชมพูเด่นสะดุดตา พร้อมด้วยเขาบนศีรษะสีแดงเลือดที่สะดุดตายิ่งกว่า
แม้จิตตฯจะเป็นโรงเรียนสำหรับภูตผี แต่นักเรียนคนนั้นก็มีรูปลักษณ์ที่แปลกตาไม่น้อย
“เธอไม่ต้องมาหาฉันทุกเย็นก็ได้ ยังไงฉันก็เข้าสภาอยู่แล้ว”
“แหม ก็พี่อยากไปสภาพร้อมน้องคริสนี่!”
ท่าทางสนิทกันน่าดู
ผมเคยได้ข่าวลือจากเพื่อนร่วมชั้น ว่าน้ำจะมีคนมาขอคบค่อนข้างบ่อย และเธอจะปฎิเสธทุกครั้ง ดังนั้นจึงน่าแปลกใจที่ทำไมน้ำถึงได้มายืนคุยกับเด็กผู้ชายด้วยท่าทีสนุกสนานเช่นนั้น
ด้วยความสงสัยผมจึงเหลือบมองเด็กหนุ่ม ว่าหน้าตาเป็นยังไง…
“…!”
…สำหรับผมที่ต่อยตีมานักต่อนัก ถ้าให้พูดแบบโอ้อวด ก็คือไม่มีสิ่งใดเกรงกลัว ฝั่งคู่อริที่ผมต่อสู้ด้วยนั้น ล้วนมีแต่ความบ้าคลั่งและรุนแรง
แต่ว่า…สายตาของเด็กหนุ่มที่จู่ๆหันขวับมาทางผม…
ไม่ทันที่จะได้สบตา ผมกลับรู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาล ราวกับว่าถ้าเผลอจ้องจะเกิดเรื่องเลวร้าย
ผมหันหน้าหลบทันที
“เอ๊ะ? เป็นไรไปเหรอคะ? น้องคริส”
“เปล่า…รีบไปสภาเถอะ”
ผมไม่สนใจคำพูดเหล่านั้น เดินจ้ำออกไปและทิ้งพวกเขาไว้เบื้องหลัง…
“หา? มีเด็กที่เอาเรื่องขนาดนั้นด้วยเหรอ?”
ผมเล่าเรื่องเด็กหนุ่มให้โพธิ์ฟังอย่างไม่คิดอะไร โพธิ์ก็ลงความเห็นมาแบบนั้น
พวกผมอยู่หน้าร้านสะดวกซื้อ เลยจากเขตของจิตตฯ เกือบจะเข้าตัวเมือง ที่เลยไปอีกนิดก็จะเป็นโรงเรียนของโพธิ์ ผมยอมเดินทางมาไกลถึงนี่เพราะไม่อยากให้โพธิ์ไปที่ที่มีภูตผีพลุกพล่านอย่างเขตโรงเรียนของจิตตฯ
“ไม่รู้สิ ฉันอาจคิดมากไปเองก็ได้”
“เฮ้ยๆ นั่นเพื่อนสมัยเด็กนายไม่ใช่เหรอต้น? จะไปให้เด็กนั่นมันข่มแบบนี้หรือ?”
“จะข่มหรืออะไรก็ช่าง แล้วฉันก็ไม่ได้คุยกับยัยนั่นนานแล้วด้วย ไม่ได้หวงอะไรหรอก”
“เหรอๆ ว่าแต่สวยรึเปล่า?”
คำถามนั้นทำผมเผลอหัวเราะ
“ขำอะไรของนายเนี่ย? ตกลงสวยหรือไม่สวย”
“ผีไร้หัวน่ะ นายว่าสวยมั้ยล่ะ?”
“เห…ผีไร้หัวงั้นเหรอ งั้นคงใช้หน้าตาวัดไม่ได้ งั้น…หุ่นดีรึเปล่า?”
“นี่โพธิ์ ถึงเราจะเป็นเพื่อนกันก็เถอะ แต่ถ้านายจะไปจีบยัยนั่นฉันว่าอย่าดีกว่า”
โพธิ์ชี้หน้าผม
“นั่นไง! หวงอยู่ชัดๆ!”
“ไม่ใช่…ตอนนี้นายมีแฟนแล้วไม่ใช่เหรอ?”
“เออว่ะ ลืมไปว่าตอนนี้คบอยู่คนนึง ฮะฮะ! ขอบใจที่เตือน!”
บางทีก็เป็นคนบ้าๆบอๆเกินคาด
โพธิ์พูดเหมือนนึกขึ้นได้
“จริงสิ! เพื่อนของแฟนฉันฝากให้มาถามว่านายโสดอยู่รึเปล่า?”
“หือ?”
“ไม่ต้องแกล้งเซ่อเลยนะเฟ้ย”
“…ไม่”
“ไม่โสดหรือไม่สนใจ?”
“…ไม่ค่อยสนใจน่ะ นายไปบอกเพื่อนแฟนนายว่าฉันมีแฟนแล้วก็ได้”
“ห๊า? แฟนก็ไม่มีแท้ๆ โอกาสแบบนี้ถ้าเป็นฉันคงรีบคว้าไปแล้ว! นี่ๆ เดี๋ยวฉันเปิดรูปให้ดู น่ารักพอๆกับแฟนฉันเลยนะ!”
โพธิ์กอดคอผมพร้อมยื่นหน้าจอโทรศัพท์
ผมมองรูป ก็น่ารักอยู่หรอก…
ผมส่ายศีรษะ
“ฉันไม่อยากมีแฟน”
“พูดจาน่าหงุดหงิดชะมัด! ไหนลองว่าเหตุผลให้ฉันฟังหน่อยซิ! ถ้าบอกว่าต้องเอาเวลาไปเรียนหนังสือล่ะก็ ฉันชกจริงๆด้วย!”
ผลการเรียนผมไม่ได้แย่อยู่แล้ว อย่างน้อยก็ไม่เคยตกเลยสักวิชา
ที่ไม่อยากมีแฟน อาจจะเพราะอคติส่วนตัวที่ถ้าใครได้ยินคงประณาม…
ผมตอบออกไป
“…ผู้หญิง…เสียงดัง”
“อะไรวะนั่น? โคตรจะเหยียดเพศเลย ผู้ชายก็เสียงดังไม่ใช่เรอะ?”
“แค่ไม่ชอบอะไรที่เสียงดังๆน่ะ คงเพราะรู้จักแต่ผู้หญิงที่เสียงดังล่ะมั้ง? แล้วน้องสาวฉันก็เคยบอกว่าไม่อยากให้ฉันมีแฟนด้วย”
“เดี๋ยวๆ เริ่มจะแปลกๆล่ะ…”
“คิดอะไรอยู่เนี่ย?”
“อย่าบอกนะว่านายเป็นไอ้พวกนั่นน่ะ! แบบที่อยากแต่งงานกับน้องสาว!?”
โพธิ์ตาโต
ผมชกหัวไหล่อีกฝ่ายเบาๆ
“จะบ้าหรือไง? ของอย่างนั้นมีแต่ในการ์ตูนเท่านั้นแหละน่า แค่ความต้องการของฉันมันไปตรงกับที่น้องสาวต้องการก็แค่นั้น เรียกว่าใช้น้องสาวเป็นขออ้างก็คงได้”
“งี้นี่เองๆ ว่าแต่…น้องสาวนายน่ารักเปล่า?”
“ถ้าไม่หยุดพูดจะชกให้ตาเขียวเลย ไอ้บ้านี่”
“ก็เอาสิ! ฉันล่ะอยากวัดมาสักพักแล้วว่าใครเก่งกว่ากัน!”
พวกผมหยอกล้อกันก่อนจะจบด้วยเสียงหัวเราะ และผมคงไม่ต่อยไอ้บ้านี่หรอก เพื่อนสนิทเลยนี่นะ
ฟ้าเริ่มมืด
โพธิ์ที่เห็นดังนั้นก็ลุกขึ้น
“ฉันกลับบ้านก่อนดีกว่า ไว้เจอกันใหม่นะต้น”
“อ่า ฉันก็จะกลับเหมือนกัน”
“เออใช่ เกือบลืมเรื่องสำคัญ”
“…?”
ผมขมวดคิ้วให้คำพูดนั้น
“พรุ่งนี้ฝั่งโน้นมันอยากจัดการให้จบๆไปน่ะ มาเจอฉันที่เดิมหลังเลิกเรียนนะ”
“อ่า จะรีบไป”
ถึงจะเป็นการต่อยตีของวัยรุ่น แต่อย่างน้อยทั้งสองฝ่ายก็รู้จักขอบเขต ไม่ใช้ของมีคมหรืออาวุธปืน วัดกันด้วยกำปั้นและส้นเท้า
ก็นับว่าเป็นเรื่องดีในเรื่องแบบนี้ล่ะนะ …คงเพราะแบบนี้ผมจึงเอาด้วยมาตลอดรึเปล่า?
แต่ไอ้จัดการให้จบๆไปนั่น คงหมายถึงเป็นการตีกันครั้งใหญ่เลย
มีแววจะได้ตีกับภูตผีอีกแล้วกระมัง…
“งั้นก็ไว้เจอกันพรุ่งนี้ …แล้วฉันว่าจะบอกมาสักพักแล้ว ตอนสู้กันนายถอดจานบินออกก็ได้มั้ง? ไม่เกะกะหรือไง?”
“…เขาเรียกว่ากระด้งฝัดข้าวต่างหาก”
เริ่มจะสงสัยแล้วว่าโพธิ์มันรู้รึเปล่าว่าผมเป็นกระหัง…
เศษเสี้ยวเรื่องราวที่สอง พี่ต้น /มีต่อ