สภานักเรียนกับโรงเรียนสิ่งมีชีวิตลี้ลับ - ตอนที่ 66 เคสที่ 34 recruit (1)
เมื่อได้ยินเสียงออดเลิกเรียนคาบสุดท้าย ผมเก็บกระเป๋า เดินผ่านระเบียงทางเดินที่เต็มไปด้วยเด็กนักเรียนพุ่งพรวดออกมาจากห้องเรียนอย่างกับกระป๋องปลาโดนเปิด
เบียดเสียดกับผู้คนจนนึกหน่ายใจ แต่เป้าหมายของผมแจ่มชัด
ลงบันไดมาที่ชั้นสอง ซึ่งเป็นชั้นเรียนของมอสี่
…หมอนั่นบอกว่าอยู่ชมรมกลับบ้าน ถ้าไม่รีบมาตาม เดี๋ยวจะคลาดกันอีก
เมื่อมาถึง ผมเปิดประตูเข้าไปในห้องเรียน ห้องมอสี่ทับสี่
“โอ๊ะ? พี่คริสโตเฟิ่นนี่นา? มาทำไรนิ?”
สไปรท์ที่ไม่มีความคิดจะเข้าสภาอยู่แล้ว ก็แกร่วอยู่ในห้องเรียนตามที่คิดแม้จะเป็นหลังเลิกเรียน กลุ่มเพื่อนของเธอที่เห็นก็ยกมือไหว้
ผมพยักหน้าเบาๆให้
“เอ๊ะ เอ๊ะ เอ๊ะ ทำไมไม่สนใจหนูเลยอะ?”
สไปรท์เดินตามเมื่อเห็นว่าผมไม่ได้ทักทายกลับ
ใช่สิ ธุระที่มาที่นี่ไม่เกี่ยวกับเธอสักหน่อย
“นี่~ พี่คริสโตเฟอร์โกรธไรหนูเปล่าเนี่ย?”
“ฉันชินกับพฤติกรรมเธอสุดๆแล้วล่ะ ไม่เคยคิดเก็บมาใส่ใจสักหน่อย”
“แล้วทำไมเมินหนูเฉยเลยงะ? แล้วตกลงพี่คริสโตเฟอร์มาทำไรห้องหนู?”
“ทำธุระที่ไม่เกี่ยวกับเธอ”
“บู้วๆ ใจจืดใจดำจัง งั้นหนูไปคุยกับเพื่อนต่อละ เชิญตามที่พี่คริสโตเฟอร์สะดวกเล้ย”
สไปรท์ก็วกกลับไปหากลุ่มเพื่อน ขณะเดียวกันที่ผมมาถึงโต๊ะของเด็กนักชายคนหนึ่งที่อยู่ริมหน้าต่างแถวหลังสุด
“คร่อก…”
เสียงกรนลอยออกมาจากใบหน้าที่ฟุบกับโต๊ะ
ผมสะกิดไหล่
“คร่อก…ฮึ่ม…”
และก็โดนอีกฝ่ายสะบัดข้อมือราวกับเป็นปฎิกิริยาตอบสนองอัตโนมัติ
ผมจึงเปลี่ยนมาทุบโต๊ะเสียงดังปัง!
“วะ เหวอ!? ขอโทษครับจารย์! อะ อ้าว…ไม่ใช่นี่นา”
เด็กหนุ่มขยี้ตาหันมองรับข้าง เมื่อสายตาประจบก็ยืดหลังตรง
“ประธานมาทำไรครับเนี่ย?”
“มาหานายนี่แหละ เรย์”
เรย์ได้ยินดังนั้นก็เกาศีรษะด้วยความง่วง
“มีเรื่องให้ผมช่วยอีกแล้วเหรอครับ…?”
“ไม่เชิงนั้นหรอก แต่จำได้มั้ย? ล่าสุดที่เจอกันนายบอกว่าจะสมัครเข้าสภาไม่ใช่เรอะ?”
และนั่นก็คือเป้าหมายที่ผมดั้นด้นมาถึงชั้นมอสี่
เรย์รับปาก(?)กับผมว่าจะสมัครเข้าสภานักเรียน ซึ่งก็ผ่านไปหลายวันแต่ยังไม่เห็นหน้ามาที่สภาเลยสักครั้ง และก็ไม่รู้ทำไม ผมจึงคลาดกับเรย์ตลอด ไม่ว่าจะสอดส่องสายตาหาตอนช่วงพักเที่ยงหรือหลังเลิกเรียน
ลงท้ายก็เลยต้องมาหาด้วยตัวเอง
ที่จริงแอบคิดว่าหมอนี่จะกลับบ้านไปแล้ว นึกแปลกใจเหมือนกันที่ยังหลับอยู่ที่ห้อง แต่เอาเถอะ
เรย์บิดขี้เกียจ
“จำได้ครับจำได้”
“แล้ว?”
“นั่นสินะครับ…เหตุผลก็มีร้อยแปด แต่รู้สึกว่าพูดยากยังไงไม่รู้สิ”
“พูดยาก? หมายความว่าไง?”
“ก็บอกว่ามันพูดยากไงครับ”
“เออน่ะ พูดมาเถอะ”
ผมเร่ง แล้วเรย์ก็ส่งสายตาเหลือบมองไปยังกลุ่มนักเรียนหน้าห้อง กลุ่มของสไปรท์นั่นเอง
“จะบอกว่ายัยนั่นมีส่วนได้ส่วนเสียกับการที่นายจะเข้าสภานักเรียนด้วยเรอะ?”
ถ้าเป็นงั้นจริงเดี๋ยวผมจะไปจัดการให้เดี๋ยวนี้แหละ เรยคือเด็กที่ผมอยากได้เข้าสภาสุดๆ ไม่ยอมให้ยัยเสือสมิงขี้เกียจตัวเป็นขนแถมโดดงานสภาเป็นว่าเล่นทำเสียเรื่องหรอก
เรย์เกาแก้ม
“ที่จริงก็ไม่ได้เกี่ยวกับสไปรท์หรอกครับ แค่ผมรู้สึกเขินๆที่ตัวเองอยากเข้าเพราะสไปรท์อยู่สภาน่ะครับ…”
เป็นปัญหาที่ตัวเองสินะนั่น ถึงจะบอกว่าไม่เกี่ยวกับสไปรท์ก็เถอะ แต่ก็นะ…
“งั้นฉันไล่สไปรท์ออกให้เดี๋ยวนี้เลยเอามั้ย?”
“จะบ้าหรือไงครับ!?”
“งั้นไม่ไล่ก็ได้ เอ้า? ฉันหยิบใบสมัครมาด้วย รีบๆกรอกซะ”
ว่าแล้วผมก็หยิบใบสมัครเข้าสภา ซึ่งใช้เอกสารเดียวกับการสมัครเข้าชมรมให้เรย์
เรย์รับไว้ด้วยสีหน้าปั้นยาก
“จะดีเหรอครับ?”
“ดีสิ”
“แต่ผมอยากเข้าสภาเพราะเหตุผลไม่ซื่อนะครับ? อย่างประธานโอเคเหรอครับ?”
“เด็กสมัยนี้ยังมีเรียนต่อที่เดียวกับคนที่ชอบเลย อย่างนายแค่เข้าสภานักเรียน ฉันไม่คิดมากหรอก …ไม่งั้นตีซะว่าฉันบังคับนายเข้าก็ได้”
“ไม่คิดว่าประธานจะขี้ตื้อขนาดนี้นะครับเนี่ย…”
“ก็นายรับปากแล้วไม่ใช่เหรอ?”
“ที่จริงก็มีเหตุผลอื่นด้วย…แต่เข้าใจแล้วครับ ผมจะพยายามให้ดีที่สุดแล้วกันครับ”
จังหวะที่เรย์กำลังจะกรอกชื่อลงใบสมัครจนผมแสยะยิ้มนั่นเอง
สไปรท์ก็พุ่งพรวดเข้ามา
“โอ้ว!!! เลย์จะเข้าสภานักเรียนแล้วเหยอ!?”
“ฉันชื่อเรย์โว้ย! เรียกให้มันถูกๆหน่อยได้มั้ย! บอกไปหลายรอบแล้วนะ!”
“ก็รอเรือมันออกเสียงยากงะ”
…นั่นใช่คำพูดที่ควรออกมาจากปากเด็กมอสี่มั้ยเนี่ย
“ระ…ลอออ ดูจิ ลิ้นไม่กระดกเลยอะ”
สไปรท์อ้าปากชี้ลิ้นให้เรย์ดู
“เขาสอนตั้งแต่อนุบาลแล้วไม่ใช่เหรอ!?”
“วะฮะฮ่า ใครเค้าจะไปจำเรื่องในอดีตแบบนั้นก๊าน”
“จำหน่อยสิว้อยยย!”
ผมปล่อยทั้งสองคนเถียงกันถึงแค่นั้นพลางเอ่ย
“อย่าพึ่งขัดได้มั้ยสไปรท์ ฉันกำลังจะเอาเรย์เข้าสภาอยู่เนี่ย”
“ตู้วฮู้ว รอเรือชัดเจนฝุดๆ”
“ขอบใจ”
“แล้วคือไง? หนูมาขัดจังหวะเหยอ?”
“ก็นิดนึง…”
“งั้นก็ขออำภัย! เอ้าๆ รีบๆเขียนลงไปได้แล้วเลย์!”
ขออภัยต่างหาก…
เรย์ถอนหายใจเฮือกใหญ่
“รู้แล้วๆ… ไม่ต้องเร่งกันก็ได้…”
“เร็วๆจิ”
“ก็บอกว่าไม่ต้องเร่งไงเล่า!”
ระหว่างรอเรย์เขียนใบสมัคร ผมคุยกับสไปรท์
“แล้วไม่ไปหาเพื่อนเธอเรอะ?”
“กลับไปหมดแล้ว คืองี้นะ วันนี้หนูกะว่าจะเข้าสภาแหละ เลยให้พวกเธอกลับไปก่อน!”
“เห…”
“ทำไมพี่คริสโตเฟอร์ทำหน้าเหมือนไม่อยากจะเชื่อแบบนั้นอะ?”
“เธอก็น่าจะรู้เหตุผลไม่ใช่เหรอ?”
“ไม่รู้ คงไม่ใช่เรื่องที่ว่าปกติหนูไม่เข้าสภาชิปุ?”
ก็เรื่องนั้นแหละ
สไปรท์ยืดอก
“แล้วก็นะ! หนูที่เป็นสมาชิกมาตั้งแต่เข้าเรียน ก็ต้องอยู่รับคนเข้าใหม่ไม่ใช่เหรอ อารมณ์แบบ…การต้อนรับจากผู้อยู่มาก่อนไรเงี้ย?”
“อย่างน้อยถ้าจะทำแบบนั้นก็รบกวนปฎิบัติหน้าที่ให้สมเป็นสภานักเรียนหน่อยเถอะ”
“อ๋อ ใช่ๆ แล้วหนูก็สงสัยอีกอย่าง ถึงจะอยากให้สภามีเด็กรุ่นเดียวกับหนูก็เถอะ แต่คงไม่ใช่ว่าพี่คริสโตเฟอร์ได้เลย์มาช่วยงานแล้วจะไล่หนูออกใช่มะ?”
“……”
“ทำไมไม่ตอบหนูอะ!?”
แหม มันก็ตอบยากอะเนอะ แม้สภานักเรียนจะไม่มีกฎว่าห้ามมีสมาชิกเกินกี่คน แต่ว่า ในเมื่อผมจะปฎิรูปสภาให้สมเป็นสภาแล้ว…ก็ควรจะเขี่ยๆพวกไม่ทำงานออกไปสักหน่อยนี่นะ
ยิ่งถ้าเรย์ทำงานแข็งขันอย่างที่ผมคิดไว้ ก็ให้เรย์แทนตำแหน่งสไปรท์ก็ได้…
…ว่าแต่สไปรท์อยู่ตำแหน่งอะไรนะ?
ขณะกำลังสงสัยเช่นนั้น สไปรท์ที่เริ่มรู้ตัวก็ทุบโต๊ะเรย์
พร้อมพูดด้วยเสียงเคืองๆ
“เลย์ ฉันไม่อนุญาตให้นายเข้าสภา”
“หะ?”
เรย์งงเต้ก
ผมรีบแทรก
“เดี๋ยวๆ! เธอมีสิทธิ์ตัดสินใจที่ไหน! นั่นมันหน้าที่ฉันที่เป็นประธานต่างหาก!”
“ก็ถ้าเลย์เข้าสภา! หนูมีสิทธิ์โดนไล่ออกไม่ใช่หรือไง!?”
“ฉันยังไม่ได้พูดสักหน่อย! อีกอย่าง ถ้าเธอมั่นใจว่าทำงานดีก็ไม่เห็นต้องกลัวไม่ใช่เรอะ!?”
“แล้วคิดว่าหนูมั่นใจหรือไงฮึ? ไม่รู้ล่ะๆ วางปากกาเดี๋ยวนี้เลยเลย์!”
“หยุดสั่งลูกน้องในอนาคตของฉันได้แล้ว! ยัยเด็กชอบโดดงาน!”
ผมตะโกนพร้อมฉุดกระชากสไปรท์ที่พยายามจะเข้าไปห้ามเรย์เขียนใบสมัคร
“ปล่อยหนูนะ!”
“เธอสิปล่อย!”
เหอะ! แค่แรงเสือสมิงมันจะเท่าไหร่กันเชียว ตูเป็นซาตานเลยนะเฟ้ย!
…พอทะเลาะกันสักพัก เรย์ก็พ่นลมหายใจวางปากกา
“เรย์?”
“คิดๆดูแล้ว ผมคงไม่เหมาะกับสภานักเรียนจริงๆแหละครับ”
เฮ้ย? ทำไมด่วนสรุปแบบนั้นเล่า!
เรย์ลุกขึ้น
“ต้องขอโทษประธานด้วยนะครับ ผมขอตัว”
เรย์ทำเสียงเรียบๆ หยิบกระเป๋าและจากพวกผมไป
ทันทีที่เรย์ออกไปจากห้องเรียน
“สไปรท์! เพราะเธอคนเดียวเลย!”
“ห่วงหน้าที่การงานตัวเองมันผิดตรงไหนกัน!?”
“ห่วงจริงก็ช่วยทำงานหน่อยสิโว้ย!”
ให้ตายสิ เอาไงต่อดีล่ะเนี่ย …ถึงเรย์จะปฎิเสธก็เถอะ แต่เหตุผลที่จู่ๆแสดงท่าทีแบบนั้น ผมไม่เข้าใจแฮะ
คงไม่ใช่เพราะเรื่องสไปรท์ซะด้วย
“เฮ้อ…เดี๋ยวฉันตามไปดูสักหน่อยแล้วกัน เธอก็อย่ากลับบ้านช้านักล่ะ”
มีความรู้สึกว่าเหตุผลที่เรย์ไม่อยากเข้าสภาจะไม่ใช่เพราะสไปรท์นี่นะ
สไปรท์ยกมือ
“หนูไปด้วย!!!”
“ไม่ต้อง!”
“จะไปอะ!”
เถียงไปก็เปลืองน้ำลาย ลองยัยนี่ตัดสินใจอะไร จะห้ามก็ยาก
“…ก็ได้ๆ แต่ถ้าวุ่นวายอีกฉันใช้อาคมพาเธอกลับบ้านแน่”
“อาคมของพี่คริสโตเฟอร์เป็นแท็กซี่อ๋อ?”
“เฮ้อ…”
จากนั้นผมก็โทรหาพลอย บอกว่าวันนี้ผมไม่เข้าสภา ซึ่งก็ไม่น่ามีปัญหา เพราะตอนนี้คนที่ประจำการอยู่สภามีตั้งสามคน แถมหนึ่งในนั้นก็เป็นพี่ต้นซะด้วย
ผมกับสไปรท์สะกดรอยตามเรย์
เฝ้ามองแผ่นหลังนั้นด้วยความเงียบเชียบ…
“เลย์รีบกลับบ้านจังเลยเนอะ”
ไม่เงียบเท่าไหร่แฮะ…เพราะมีสไปรท์อยู่ด้วย
“นั่นสินะ หรือว่ามีเหตุผลอะไรที่ต้องกลับบ้านเร็วรึเปล่า?”
เห็นตอนแรกบอกว่าเหตุผลที่ไม่สะดวกใจเข้าสภา จะไม่ได้มีแค่เรื่องสไปรท์ด้วยสิ
“หรือว่า…! เลย์จะแอบทำธุรกิจดำมืดหลังเลิกเรียน!?”
สไปรท์มือป้องปากตาโตว่าแบบนั้น
“ไหนลองพูดไอ้ธุรกิจดำมืดที่ว่ามาซิ”
“อืม…? ขโมยข้อสอบไปขาย”
“ดำมืดสุดๆ แต่นั่นน่าจะเป็นพี่น้ำมากกว่า”
“พี่น้ำเคยทำแบบนั้นด้วยเอ๋อ?”
“พี่เขาไม่เคยบอกเรอะ?”
สไปรท์ส่ายหน้าแรงๆ
อย่างสไปรท์ที่สนิทกันขนาดนั้นยังไม่บอก ฝั่งพี่น้ำคงมีเหตุผลล่ะนะ ผมที่เป็นคนนอกจะถือวิสาสะพูดเองก็ไม่ได้
“อยากรู้ไว้ไปถามพี่น้ำเองแล้วกัน”
“อ๋อ ใช่ๆ หรือเลย์จะแอบทำงานพิเศษหลังเลิกเรียน?”
ดูทรงไม่ได้สนใจเรื่องพี่น้ำเลยนี่หว่า
ผมตอบไปว่า
“โรงเรียนเราไม่มีกฎห้ามสักหน่อย ต่อให้ทำก็ไม่เป็นไร แต่ว่า…ถ้าแบบนั้นก็บอกกันตรงๆก็ได้…”
กรณีที่เรย์มีงานพิเศษจริงๆ จะไม่สะดวกเข้าสภานักเรียนก็ไม่แปลก เวลาทำงานของสภานักเรียนอย่างเป็นทางการคือหลังเลิกเรียนจนถึงช่วงหมดเวลาชมรม คงไม่เหมาะที่จะเข้าสภา
“เลย์อายที่ต้องทำงานพิเศษ?”
“จะอายทำไม งานสุจริตนี่ ไม่เห็นน่าอายตรงไหน”
“หนูจะไปรู้มั้ยเล่า~ แค่คิดออกก็พูดเท่านั้นเอ็ง”
ขณะหารือที่ไม่มีสิ่งใดยืนยันว่าเป็นอย่างไรนั้น เรย์ก็เข้าไปในร้านสะดวกซื้อ
พวกผมจ้องที่หน้าประตูร้านสะดวกซื้อ รอสักพักเรย์ก็ออกมา
ในมือถือกล่องสี่เหลี่ยมเอาไว้ด้วย กล่องนั้นหุ้มด้วยพลาสติคใส
“บุหรี่?”
“หมากฝรั่งอ๋อ?”
หมากฝรั่งก็บ้าแล้วหล่อน เดี๋ยวนี้ใครเขาเข้าร้านสะดวกซื้อซื้อหมากฝรั่งเป็นกล่องกันบ้างหา? มีแต่ซื้อเป็นแผง
“พูดแล้วก็อยากกินขึ้นมาเลย ไปซื้อกันเถอะ! พี่คริสโตเฟิ่น!”
“ลืมแล้วใช่มั้ยว่าเรามาทำอะไรที่นี่น่ะ…”
สไปรท์จิ้มคาง
ก่อนจะพูดประโยคที่ยิ่งทำให้ดูง่าวกว่าเดิม
“เดินเล่นหลังเลิกเรียน?”
“ด้วยนามแห่งข้า…”
“ขอโทษค่ะ”
…การสะกดรอยยังดำเนินต่อ และแล้วเรย์ก็มาถึงที่หมาย
ด้านหน้าเป็นตึกแถวที่ตั้งอยู่เรียงราย ส่วนตึกที่เรย์เดินเข้าไปนั้น เป็นร้านขายซูชิ
“ละ ลูกเจ้าของร้านซูชิ!!!?”
“น่าตกใจขนาดนั้นเลยเหรอ?”
ผมหรี่ตามองสไปรท์ที่ตะโกนเสียงดัง
อืม…เรย์เคยบอกว่าเป็นลูกครึ่งญี่ปุ่นด้วยนี่นะ แต่ก็รู้สึกขัดใจกับความเข้าธีมนี่จังเลยแฮะ…
“ยังงี้เลย์ก็ได้กินซูชิทุกวันเลยน่ะสิ! น่าอิจฉาจัง!”
เรื่องนั้นเองหรอกเรอะ…
“ทำไมบ้านหนูไม่ขายของกินบ้างนะ อย่างร้านหมูกระทะไรงี้”
“ไปบอกพ่อบอกแม่เธอโน้น”
“พี่คริสโตเฟอร์ใช้อาคมสั่งพ่อกับแม่หนูให้เปิดร้านหมูกระทะให้หน่อยจิ”
“…ขอไม่ตอบนะ”
“ไม่ตอบแสดงว่ายอมรับ!”
ไปเอาแนวคิดแบบนั้นมาจากใครกันล่ะนั่น
“ไหนๆก็มาแล้ว เข้าไปอุดหนุนสักหน่อยแล้วกัน”
“ทำพูดปาย~ พี่คริสโตเฟอร์ก็แค่จะตื้อให้เลย์เข้าสภาชิมิล้า”
“รู้ดีจริ๊ง”
…ตอนนี้ก็พอเข้าใจคร่าวๆแล้ว ถ้าต้องมาช่วยงานที่บ้านหลังเลิกเรียน จะไม่สะดวกทำกิจกรรมชมรมก็ไม่ใช่เรื่องต้องตำหนิ
แต่ผมสงสัยเจ้าของที่เรย์ซื้อมาก่อนหน้านี้มากกว่า ถ้าเป็นบุหรี่จริงๆล่ะก็ คงต้องตักเตือนสถานหนักให้แล้วสิ
อายุยังไม่ถึงนี่นะ ยิ่งถ้าพ่อแม่ไม่ห้ามด้วยล่ะก็ จะถือโอกาสนี้สั่งสอนสักหน่อย
แล้วขอแถมให้อีกหน่อย ต่อให้จะอายุถึง แต่ไม่ต้องไปสูบหรอก ของทำร้ายร่างกายตัวเองแบบนั้นน่ะ
ผมหยุดอยู่หน้าร้าน
“เอาอะไร?”
สมแล้วที่เป็นร้านธรรมดา วิธีพูดแบบขวานผ่าซากของพ่อค้าแบบนี้ ผมก็ไม่ได้เกลียดหรอกนะ แต่เอาจริงๆก็คิดว่าจะได้ยินคำทักทายเป็นภาษาญี่ปุ่นซะอีก
สไปรท์ยกมือ
“คนนิจิวะค่า!”
ชายหนุ่มเจ้าของร้านได้ยินดังนั้นก็ตาโต
“หนูพูดญี่ปุ่นได้เหรอ?”
ด้วยเสียงที่ฟังยากนิดหน่อย ดูเหมือนจะไม่ใช่คนไทยแท้แฮะ
“พี่คริสโตเฟอร์ อันนี้หนูแปลไม่ออกอะ”
“แล้วจะแปลหาอะไร? เมื่อกี้เขาพูดภาษาไทย…”
“เอ้า งั้นหรอกเหรอ? สำเนียงฟังยากจัง ขนาดเลย์ยังพูดชัดเลย”
ไปบ่นเรื่องสำเนียงคนอื่นแบบหน้าไม่อายได้อีกนะยัยนี่ รู้จักคำว่ามารยาทมั้ยเนี่ย?
“หืม? พวกเธอรู้จักเรย์ด้วยรึ?”
“เป็นคู่แข่งที่จะทำให้หนูตกงานค่ะ!”
ไม่ต้องพูดเรื่องนั้นก็ได้มั้ง…
“เอ่อ…คุณเป็นพ่อของเรย์ใช่มั้ยล่ะครับ?”
“ตามนั้นแหละ”
เจ้าของร้านตอบก่อนตะโกนไปหลังร้าน
“เรย์! เพื่อนแกมาหา! …รอแป๊บนะ คงกำลังอาบน้ำ เข้ามานั่งก่อนสิ อยากกินอะไรล่ะ?”
พอเห็นว่าเป็นเพื่อนลูกชายก็ท่าทีอ่อนลง อืมๆ แต่กรณีแบบนี้ ส่วนใหญ่ผู้ใหญ่จะชอบให้กินฟรีเพราะเห็นว่าเป็นคนรู้จักลูกตัวเอง…
ซึ่งผมตั้งใจมาอุดหนุน เพราะงั้น…
“ขอเมนูที่แพงที่สุดในร้านครับ”
“โห…ไร้ความเกรงใจสุดๆ”
สไปรท์กะพริบตาพึมพำ
เจ้าของร้านก็เช่นกัน
“เอ่อ…ไม่ได้จะให้กินแพงขนาดนั้น…”
“เปล่าครับ เดี๋ยวผมจ่ายเอง ผมไม่ได้มีเจตนามากินฟรีครับ หลักๆก็เรื่องงาน เพราะงั้นเลยอยากช่วยอุดหนุนด้วยเหตุผลที่ว่ามารบกวนลูกชายน่ะครับ”
“จะจ่ายจริงๆรึ?”
“ครับ”
“แพงนะ”
“ถึงแสนรึเปล่าครับ?”
“ก็ไม่ขนาดนั้น…”
“งั้นผมจ่ายไหวครับ เดี๋ยวผมรอที่โต๊ะนะครับ คิดซะว่าพวกผมเป็นลูกค้าก็ได้”
และพวกผมก็เข้ามานั่งในร้าน ถึงคนอื่นจะมองว่าผมเป็นเด็กอวดดีเงินเหลือก็เถอะ แต่ในมุมผมคิดว่าการมากินข้าวฟรีบ้านคนรู้จักที่เขาทำมาค้าขายน่ะ อวดดีกว่าซะอีก
ดังนั้น ถ้าไม่ลำบากก็อุดหนุนเขาสักหน่อยเถอะ
“หนูไม่ช่วยจ่ายนะ”
“กินๆไปเถอะ เดี๋ยวฉันจ่ายเอง”
“เย่~”
เคสที่ 34 recruit /มีต่อ