สภานักเรียนกับโรงเรียนสิ่งมีชีวิตลี้ลับ - ตอนที่ 60 เคสที่ 31 หาย (1)
“ถามจริงนะประธาน ทำไมจู่ๆ ถึงให้ผมมาช่วยงานครับเนี่ย?”
“ที่จริงเคสนี้ต้องใช้เด็กมอสี่น่ะ แล้วก็อย่างที่นายรู้ว่าสไปรท์ไม่ทำงาน ฉันเลยต้องมารบกวนนายแทนนี่แหละ”
“ถึงงั้นก็เถอะ แต่ผมใช่สภานักเรียนที่ไหนกัน?”
เรย์ทำหน้าหน่ายใจ แต่ก็เห็นตามมาด้วยกันง่ายๆ เพราะงั้นอยากบ่นอะไรก็บ่นไปเถอะ ถือว่าผมให้ก็แล้วกัน
งานสภากลับมาเริ่มเดินอีกครั้ง เหล่านักเรียนที่พบปัญหาก็แวะเวียนมาขอให้สภานักเรียนช่วย ช่วงที่ผ่านเรียกว่าทำให้ผมรู้สึกว่าสภากลับมาเป็นสภาอีกครั้ง
และตอนนี้ก็กำลังอยู่ในการทำเคสเคสหนึ่ง…
“ถึงนายจะไม่ใช่สภานักเรียน แต่ฉันค่อนข้างถูกใจนายเลยล่ะ แย่หน่อยนะ มาต้องตาต้องใจซาตานซะได้”
“อืม…บอกไว้ก่อนว่าผมสนับสนุนLGBTQ+นะครับ แต่คำพูดของประธานเมื่อกี้เหมือนเกย์ยังไงชอบกล?”
“เรื่องเพศฉันยังไงก็ได้ ก็เป็นซาตานนี่นะ”
จะด้านไหนก็นับว่าเป็นกิเลสทั้งหมดนั่นแหละ
“…ที่ฉันจะพูดคือ แค่ดีใจที่นายยอมมาช่วยเคสเท่านั้นเอง”
“ขอบคุณครับ ว่าแต่…ถูกใจผมตรงไหน?”
“ตรงที่เรียกฉันว่าประธาน”
“หะ? คนอื่นไม่เรียกประธานว่าประธานเหรอ?”
“มีแค่พลอย ส่วนพี่ต้นอยู่เกณฑ์ที่เข้าใจได้เพราะเป็นรุ่นพี่ แต่คนอื่นนี่สิ…”
ผมนึกหน้าพร้อมเสียงของสมาชิกสภาอีกสามหน่อที่เหลือ
“พรี่คริสโตเฟิ่น!”
“…คริสโตเฟอร์”
“น้องคริส~”
นึกแล้วหน่ายใจยิ่งนัก
เรย์กุมคาง
“อืมๆ เป็นปัญหาด้านการแบ่งระดับชนชั้นในสภาสินะครับ อารมณ์เหมือน…ลูกน้องเรียกหัวหน้าห้วนๆ?”
“คงประมาณนั้น? ฉันก็ไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกัน”
“งั้นผมก็ขอโทษล่วงหน้า คือตอนนี้ผมแค่ยังไม่สนิทกับประธานเท่าไหร่ ไว้อีกสักพักก็คงเรียกประธานเหมือนที่สไปรท์เรียกนั่นแหละครับ”
“นายจะเรียกฉันด้วยเสียงเหมือนคนปัญญานิ่มแบบนั้นจริงดิ?”
“…หมายถึง…พี่คริสโตเฟอร์เฉยๆน่ะครับ”
“อ้อ แต่นายจะเรียกแบบไหน ฉันก็ไม่อะไรหรอก ยังไงก็ไม่ใช่สมาชิกสภาอยู่แล้ว”
“รู้แบบนั้นยังจะเอาผมมาช่วยงานอีกนะครับ…”
“คนไม่พอนี่นะ ถ้านายอยากยื่นใบสมัครเข้าสภาเมื่อไหร่ก็มาได้เลย ฉันยินดีต้อนรับ”
“ไม่ล่ะ ผมอยู่ชมรมกลับบ้านครับ”
“ชมรมกลับบ้าน? อ๋อ มีชมรมอยู่แล้วนี่เอง”
พอผมพยักหน้าเข้าใจพลางคิดว่า ‘ทำไมถึงมีชมรมเส็งเคร็งเยอะจัง’ แถมยังคิดอีกว่าถ้าไปยุบชมรมบ้านั่น เรย์จะยอมเข้าสภานักเรียนมั้ยนะ?
เรย์จ้องหน้าผม
“เอ่อ…มันเป็นคำพูดเล่นๆของเด็กนักเรียนที่กลับบ้านเร็วและไม่มีชมรมต่างหากครับ”
“อ๋อเรอะ”
เรย์ถอนหายใจเฮือกใหญ่
เรย์ เด็กหนุ่มพลังวิญญาณสูง อยู่ชั้นมอสี่ห้องเดียวกับสไปรท์ อีกทั้งผมยังเคยแจกผลสอบให้ด้วย พอมานึกดูแล้ว ผลสอบของหมอนี่เข้าขั้นเรียนเก่งเลยนี่นะ
อยากได้เข้าสภาจัง น่าจะช่วยงานผมได้เยอะ
แต่ตอนนี้ก็กำลังช่วยอยู่นี่นะ
เรย์เอ่ย
“ผมไม่ได้อยู่ตอนประธานรับงาน เอาจริงๆก็เหมือนโดนลากให้มาช่วยงานแบบมัดมือชกเลยล่ะครับ”
“แล้ว?”
“แล้วประธานจะไม่อธิบายหน่อยเหรอว่าให้ผมช่วยอะไร? ที่ผมรู้ก็แค่เป็นงานที่ต้องใช้เด็กมอสี่แต่สไปรท์ไม่อยู่เอง”
เออแฮะ เมื่อกี้ก็หลุดปากไปอย่างนั้น งานที่ต้องใช้เด็กมอสี่สิเนอะ…
…แต่จริงๆแล้ว จะใครช่วยก็ได้เหมือนกันนั่นแหละไม่ต้องมอสี่หรอก แค่พูดไปเรื่อยเพราะคิดว่าเรย์จะเข้าใจแบบนั้นง่ายกว่า
ผมเลยตามน้ำไป
“อ่า ต้องใช้เด็กมอสี่”
“อ่าครับ?”
“ช่วงนี้มีของหายน่ะ”
“หา?”
“ได้รับแจ้งมาหลายเคสแล้ว ตอนแรกฉันก็ถามไถ่ไปตามปกติ …จำได้มั้ยว่าหายที่ไหน …ของที่หายคืออะไร แต่ก็นะ คนทำของหายมันจะไปจำได้ได้ยังไงกัน? ลงท้ายก็เลยคว้าน้ำเหลวและทางฝั่งเจ้าของเคสก็เข้าใจ”
เรย์ฟังด้วยความตั้งใจ
“พอได้รับเคสแบบเดียวกันเรื่อยๆ แถมลูกเคสก็เป็นเด็กมอสี่ซะทั้งหมด ฉันเลยคิดว่าต้นเหตุของเรื่องน่าจะอยู่ที่นี่”
“ที่นี่…หมายถึงชั้นเรียนมอสี่สินะครับ”
“อืม”
ตอนนี้ผมกับเรย์อยู่ที่ชั้นสอง ซึ่งชั้นหนึ่งและชั้นสองของตึกเรียนหลักจะเป็นของเด็กมอสี่ ของหายที่เด็กมอสี่ก็ต้องมาหาต้นตอที่นี่ล่ะนะ
“ที่ต้องรีบจัดการ…ก็เพราะลูกเคสคนล่าสุด ที่เมื่อกี้มาขอให้ช่วย”
“คนล่าสุดเขาว่าไงเหรอครับ?”
“เพื่อนหายน่ะ”
“หะ หา!?”
“เมื่อวานหลังพักกลางวัน เพื่อนของลูกเคสคนที่ว่าไม่มาเข้าเรียน แถมลูกเคสยังโทรไปถามที่บ้านแล้วแต่ก็พบว่ายังไม่กลับบ้าน”
ผมอธิบายเคสที่พึ่งรับมาก่อนหน้าที่จะพาเรย์มาที่นี่ให้เรย์ฟังคร่าวๆ
“เรื่องใหญ่สุดๆเลยนี่ครับ!?”
“ตอนนี้ทางอาจารย์ปิดเรื่องไว้กลัวโรงเรียนจะวุ่นวาย ฉันที่เป็นสภานักเรียนเลยต้องรีบแก้ปัญหา หาสาเหตุ และที่สำคัญคือพาคนที่หายไปกลับมา”
เรย์ทำหน้าไม่เข้าใจ
“คดีคนหายนี่ครับ? แบบนั้นมันควรต้องแจ้งตำรวจมากกว่าให้สภานักเรียนจัดการรึเปล่าครับ?”
ตามปกติก็ควร จิตตฯที่มีครูสมศักดิ์เป็นครูใหญ่ ไม่มีนโยบายปิดข่าวอยู่แล้ว ต่อให้จะเป็นเรื่องเสื่อมเสียแค่ไหน ถ้าเป็นเรื่องจริงก็จะยอมรับซึ่งๆหน้า
แต่ว่า…เคสนี้น่ะ
“ไม่หรอก ที่นี่คือจิตตฯ โรงเรียนสำหรับสิ่งมีชีวิตลี้ลับใช่มั้ยล่ะ?”
“คะ ครับ”
“ไม่มีใครรู้หรอกว่าการที่เป็นโรงเรียนแบบนั้น จะดึงดูดสิ่งมีชีวิตแบบไหนเข้ามาบ้าง ที่จริงปีก่อนก็เคยมีกรณีแบบนั้นอยู่… …ช่างเรื่องนั้นเถอะ เอาเป็นว่าเคสนี้…ทั้งต้นเหตุที่ของหายและคนหาย อาจจะเป็นเพราะวิญญาณบางตัว”
“วิญญาณที่ทำคนหายได้ทั้งคนเนี่ยนะ? มันจะน่ากลัวไปหน่อยมั้ย!? ประธานลากผมมาเจออะไรอยู่ครับเนี่ย!?”
ผมไม่สนใจเรย์ที่ทำหน้าตื่นพลางพูดต่อ
“ถ้าเป็นตอนยังไม่เลิกเรียน ต่อให้การสัมผัสพลังวิญญาณของฉันจะดีแค่ไหน ก็ไม่สามารถทำได้ เพราะงั้นเป็นเวลาเลิกเรียนอย่างตอนนี้จึงเหมาะที่สุด”
ถ้ามาตอนช่วงยังไม่เลิกเรียน พลังวิญญาณของนักเรียนคนอื่นๆจะตีกันมั่วเกินไป
เป็นเหตุที่หลังจากผมรับเคสคนหายจากลูกเคสคนล่าสุด และพอไปปรึกษาครูใหญ่ก็เริ่มทำเคสทันที จนมาเจอเรย์ระหว่างทางก็เลยลากมาด้วยนี่แหละ
เรย์ก้าวถอยหลังช้าๆระหว่างผมพูด
ผมเผยวงเวทริมฝีปาก
“อย่าหนี ฉันไม่อยากใช้อาคมกับนาย”
“ใช่เรื่องต้องขู่มั้ยเนี่ย!? หา!? ปล่อยผมกลับบ้านเถอะ! ไหว้ล่ะ! ถึงวันนี้ผมจะว่างพอดีก็เถอะ!”
ผมดึงไหล่เรย์ที่พยายามถอยและพูดเสียงเรียบๆใส่
“นายลองคิดดูนะ มีคนหายไปทั้งคนเลยนะ?”
“…ไม่ใช่คนรู้จักผมสักหน่อย งานสภานี่ครับ ประธานก็ทำคนเดียวสิ”
“เหตุเกิดกับเด็กมอสี่ทั้งนั้นเลยนะ? สมมุติวันนึงคนที่ตกเป็นเหยื่อ เป็นคนรู้จักของนายขึ้นมาล่ะ?”
“…หมายถึงสไปรท์เหรอครับ”
ติดกับแล้ว
ผมยิ้มเยาะในใจโดยไม่แสดงสีหน้า
“ใช่ สไปรท์ยิ่งเอ๋อๆอยู่ไม่ใช่เรอะ? ไม่รู้หรอกนะว่าต้นเหตุของเรื่องนี้คืออะไร แต่ที่สไปรท์รอดมาได้ถึงตอนนี้อาจจะเรียกว่าปาฏิหาริย์เลยก็ว่าได้ และถ้าปาฏิหาริย์นั่นหายไป แล้วสไปรท์หายตัวไปขึ้นมาล่ะ?”
“…..”
“ไม่ต้องพูดถึงพ่อแม่ของยัยนั่น เอาแค่นายก็พอ คนที่ชอบไม่ใช่เหรอ? ยังไงก็ต้องช่วยให้ได้ใช่มั้ยล่ะ? เพราะงั้นนะ ในตอนที่เรื่องยังไม่เกิดกับคนใกล้ตัว และพวกเรามีความสามารถและหน้าที่พอจะแก้ไขเรื่องนั้นได้ ก็ต้องพยายามให้ถึงที่สุดไม่ใช่เหรอ?”
ผมกำหมัด
คำหวานเคลือบยาพิษ
โดนแบบนี้เข้าไป ไม่ว่าจะใครหน้าไหนก็ต้องคล้อยตามแน่นอน
เรย์พยักหน้า
“…เข้าใจแล้วครับ ผมจะช่วยด้วย”
“ดีมาก”
ขณะผมปล่อยมือ เรย์ก็จับข้อมือผมแน่น
“แต่ประธานบอกว่าต้องใช้เด็กมอสี่ช่วยสินะครับ?”
เออ…ก็แค่พูดไปอย่างนั้นเองน่ะนะ แต่เอาเถอะ
“อืม ต้องใช้เด็กมอสี่”
“แล้วประธานบอกว่าสไปรท์ไม่ทำงาน…แล้ววันนี้ ประธานเจอสไปรท์รึยังครับ?”
“ตอนแรกก็ว่าจะไปตามตัวให้มาช่วยอยู่หรอก แต่ยัยนั่นน่าจะกลับบ้านไปแล้ว”
ผมมาที่ชั้นเรียนมอสี่และได้เจอเรย์ แต่ทั้งอย่างนั้นกลับไม่พบตัวสไปรท์ ซึ่งผมคาดไปเองว่าสไปรท์กลับบ้านหรือไปแกร่วอยู่ที่ไหนสักที่จึงไม่ได้ใส่ใจ
เรย์กำข้อมือผมแน่น
“ประธาน…”
น้ำเสียงกังวล
ผมถาม
“ว่าไง? เรย์?”
“คือว่า…หลังพักเที่ยง ผมยังไม่เห็นสไปรท์กลับมาที่ห้องเลยครับ”
…ดูเหมือน เรื่องราวจะวุ่นวายกว่าที่คาดไว้เยอะเลย…
เจ้าของเคสคนที่มาแจ้งว่าเพื่อนตัวเองหายไป บอกว่าเรื่องเกิดเมื่อวาน และหลังจากสอบถามกับทางครอบครัวคนที่หายไป พอรู้ว่าเพื่อนยังไม่กลับบ้าน ช่วงเย็นวันนี้เลยมาหาสภานักเรียนและผมก็เป็นคนรับเรื่อง
เนื่องจากได้รับเคสแนวๆนี้มาหลายครั้งในช่วงหลายวัน แต่ทีแรกก็เป็นแค่ของหาย ทว่า…ตอนนี้กลับมีเรื่องคนหายทั้งคนเข้ามา และผมก็สันนิษฐานว่าสองอย่างนี้น่าจะเกี่ยวข้องกัน
หลังรับเคส ผมได้ปรึกษากับครูใหญ่สมศักดิ์ และสุดท้ายผมก็เลยเริ่มทำเคสด้วยตัวเอง
ต้องเป็นต้นเหตุจากวิญญาณหรือตัวบ้าอะไรสักตัวแน่นอน
ระหว่างมาที่ชั้นเรียนของมอสี่ ผมก็เจอกับเรย์เข้า จึงลากให้เรย์มาช่วยงานด้วย ถึงจะเป็นเหตุจากความพิศวาสส่วนตัว แต่ก็นับว่าโชคดี…
…เพราะได้รู้ว่าสไปรท์ก็หายตัวไปเช่นกัน
“ขอยืนยันอีกรอบ หลังพักเที่ยง สไปรท์ไม่ได้กลับไปที่ห้องเรียนเลยสินะ?”
“ใช่ครับ และเมื่อกี้ประธานโทรหาที่บ้านสไปรท์ พวกเขาก็บอกว่าสไปรท์ยังไม่กลับบ้านสินะครับ?”
“อ่า ฉันโกหกไปว่าสไปรท์ติดงานสภาเลยจะไปค้างคืนที่บ้านพลอยน่ะ”
คำโกหกเพื่อไม่ให้ที่บ้านสไปรท์กังวลใจนั่น คงใช้ได้ไม่นาน ดีที่สุดคือจบเคสให้เร็ว วันนี้ได้ยิ่งดี
ผมกับเรย์อยู่ในห้องเรียนของเรย์ หรือก็คือห้องของสไปรท์ด้วย
ยืนอยู่คนละฝั่งโดยขั้นกลางด้วยโต๊ะเรียนของสไปรท์
ผมวางสมุดโน๊ตประจำตัวไว้บนโต๊ะ เริ่มเขียนบางอย่าง
“ถ้าไม่นับของหาย ตอนนี้ที่สำคัญคือมีคนหายไปสองคนแล้ว คนแรกคือเพื่อนของเจ้าของเคส ส่วนอีกคนคือสไปรท์…”
“น่ากังวลสุดๆเลยนะครับ เรียกสภาคนอื่นมาช่วยไม่ดีกว่าเหรอ?”
“เพราะงั้นแหละ พวกเรายังหาต้นตอไม่ได้ จะให้มีคนมาเสี่ยงเพิ่มก็โง่ไปหน่อย”
“ครับ”
เรย์พยักหน้า ผมนึกว่าจะโดนตะโกนกลับมาแบบ ‘แล้วเอาผมที่ไม่ใช่สภามาเสี่ยงทำไมครับเนี่ย!?’ เสียอีก
แต่ดูท่าจะเป็นห่วงสไปรท์หนักข้อจนเข้าโหมดจริงจังสุดๆไปแล้ว
“สองคนเป็นจำนวนที่เหมาะกับการทำเคสประมาณนี้อยู่แล้วล่ะนะ อืม…จุดร่วมของคนหายคือหลังพักเที่ยงทั้งสองคนเลยแฮะ”
ทั้งเพื่อนเจ้าของเคสและสไปรท์ ล้วนหายไปหลังจากพักเที่ยงทั้งนั้น กล่าวคือคนที่หายไปจะไม่กลับมาที่ห้องเรียนหลังจากหมดพักเที่ยง
…หายไปวันละหนึ่งคนงั้นเรอะ…
แย่ล่ะสิ ไม่รู้จำนวนจะทบขึ้นอีกหรือไม่ ไม่สิ…แค่ปล่อยเรื่องนี้ไปถึงวันพรุ่งนี้ยังเสี่ยงโคตรๆเลยด้วย
ผมเก็บสมุดโน๊ต
“คงต้องเริ่มจากสำรวจชั้นมอสี่ทั้งหมดก่อนล่ะนะ หาร่องรอยของวิญญาณ”
“งั้นผมจะลงไปชั้นหนึ่งนะครับ”
“เออ ใช่…ถึงจะต้องรีบทำก็เถอะ แต่ฉันมีเรื่องจะถาม”
“อะ ครับ?”
“นายเป็นผีอะไร?”
คำถามนั้นทำเรย์เอียงคอ
“ผมไม่มีลักษณะเชื้อสายที่เด่นชัดน่ะครับ นักเรียนในจิตตฯส่วนใหญ่ก็ประมาณนั้นนี่ครับ?”
“เรื่องนั้นฉันรู้”
จิตตฯคือโรงเรียนสำหรับสิ่งมีชีวิตลี้ลับ ภูตผี วิญญาณ ปีศาจ เป็นสิ่งมีชีวิตประเภทที่มีพลังวิญญาณในตัว จะเรียกว่าเป็น ‘คนที่มีลักษณะของร่างกายเป็นผี’ ก็ไม่ผิด
ในกรณีของผม …อืม เอาเป็นในกรณีพี่ต้นแล้วกัน ความเข้มข้นของเชื้อสายเด่นชัดจนแสดงออกมา อีกทั้งยังมีความสามารถของเชื้อสายติดตัวมาตั้งแต่เกิดอีกด้วย
แต่สำหรับคนแบบเรย์หรือนักเรียนส่วนใหญ่ในจิตตฯนั้น เป็นลูกหลานของวิญญาณ ที่พอมารุ่นปัจจุบัน เชื้อสายกลับอ่อนเสียจนกลายเป็นคนที่เพียงพลังวิญญาณเท่านั้น
แม้มนุษย์ทั่วๆไปจะสามารถมองคนจำพวกเรย์ว่าเป็นภูตผีได้ แต่ความจริงก็คือมีแค่พลังวิญญาณ แต่ลักษณะเชื้อสายที่เด่นชัดไม่มี
ตีง่ายๆว่าถ้าเป็นคนที่มีพลังวิญญาณก็พอ ต่อให้ไม่มีลักษณะเด่นชัดเหมือนพี่ต้น แต่ก็อยู่ในเกณฑ์ที่ต้องมาเรียนในจิตตฯก็น่าจะเข้าใจได้ล่ะนะ
และในจิตตฯก็มีนักเรียนแบบนั้นซะเยอะเลยด้วย แน่นอนว่าเมื่อเชื้อสายไม่เด่นชัด จึงไม่รู้ว่าเป็นลูกหลานของภูตผีตัวอะไรกันแน่
เหลือแค่พลังวิญญาณเท่านั้นที่ยังคงสืบทอดจนนับว่าเป็นภูตผี
ผมชี้นิ้ว
“ถึงนายจะบอกว่าเป็นแค่คนที่มีพลังวิญญาณเหมือนเด็กคนอื่นในจิตตฯก็เถอะ แต่ฉันเห็นนะ สายฟ้าพวกนั้น”
“เห็นด้วยเหรอครับ?”
“พลังวิญญาณนายสูงอยู่แล้วด้วย แต่สายฟ้าน่ะ…ฉันว่ามันน่าจะเป็นเชื้อสายของอะไรสักอย่าง”
อีกทั้งกลิ่นอายยังคุ้นอย่างมาก
เรย์ส่ายศีรษะ
“ไม่รู้หรอกครับ พ่อแม่ผมหรือปู่ย่าตายายก็ไม่เห็นใครมีแบบนี้เลยสักคน สำหรับผมคือแปลกกว่าคนในบ้านน่ะครับ สายฟ้าพวกนี้มาจากเชื้อสายของอะไร ไม่มีใครรู้เลยครับ”
เพราะรุ่นพ่อหรือรุ่นปู่ไม่มีใครมีความสามารถนี้ ไม่แปลกที่เรย์จะไม่รู้ต้นตอคืออะไร
เรย์พูดเหมือนล้อเล่น
“คิดว่าบรรพบุรุษผมคงมีวิญญาณโดนไฟช็อตหรือฟ้าฝ่าตายล่ะมั้งครับ? แล้วคงบังเอิญอาคมสายฟ้ามาโผล่ในตัวผมพอดี ฮะฮะ ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน”
“จะใช่แบบนั้นแน่เร้อ…”
ผมพึมพำ
เรย์ปัดมือ
“ช่างเถอะครับ ว่าแต่ถามทำไมเหรอ?”
“สงสัยน่ะ…อยากรู้ว่าเชื้อสายนายพอจะป้องกันตัวเองได้รึเปล่า”
อย่างผมไม่มีปัญหาหรอก ต่อให้เจอวิญญาณแบบไหน แต่กับเรย์นี่ไม่แน่ใจ…
อืม ไม่รู้เชื้อสาย…แต่มีสายฟ้าของอะไรสักอย่าง จะไหวมั้ยเนี่ย?
คงได้แหละมั้ง?
ขณะไม่ได้แน่ใจ เรย์ชกกำปั้น
“ไว้ใจได้เลยครับ ถึงญาติๆผมจะไม่มี แต่ผมก็ใช้อาคมของตัวเองป้องกันตัวได้นะครับ!”
“งั้นฉันก็สบายใจไปเปลาะนึง …นายไปสำรวจชั้นหนึ่ง เสร็จแล้วก็ขึ้นมาหาฉันตรงนี้นะ”
“ได้ครับ”
“เอาล่ะ เริ่มเคสเลย”
เรย์ลงบันไดไปชั้นหนึ่ง ส่วนผมก็เริ่มสำรวจชั้นสองเพื่อหาร่องรอยของอะไรสักอย่าง
เคสที่ 31 หาย /มีต่อ