สภานักเรียนกับโรงเรียนสิ่งมีชีวิตลี้ลับ - ตอนที่ 57 เคสที่ 29 ปวดหลัง (2)
พวกผมมาถึงอาคารเรียนหลัก เนื่องจากเลิกเรียนไปสักพักแล้ว จึงเห็นผู้คนบางตา นับว่าเป็นเรื่องดี เพราะไม่อย่างนั้นคงต้องทนรับสายตามากมายหลายคู่จากนักเรียนที่ไม่รู้ว่ามองผมหรือพลอยกันแน่
“ห้องนั้นค่ะ”
พลอยชี้ไปยังห้องของชั้นมอสี่ที่เป็นห้องของสไปรท์กับเรย์
ผมเปิดประตูเข้าไป และก็เป็นอย่างที่คาด
“ไม่อยู่แฮะ”
“ป่านนี้แล้วนี่คะ อาจจะกลับบ้านไปแล้วก็ได้”
“ลองไปหาที่ห้องพักครูก่อนแล้วกัน”
มีความเป็นไปได้ว่ากลุ่มคุณครูอาจจับกลุ่มพูดคุยกันหลังเลิกเรียน ก็ขอภาวนาให้เจ้าชัยเดชนั่นอยู่ด้วยล่ะนะ
ระหว่างทาง…
“โอ้? คริสโตเฟอร์กับแม่หนูนางรำไม่ใช่เหรอนั่น?”
เสียงเรียกที่เพียงแค่ได้ยินก็ต้องเผลอกำหมัดก็ดังมาแบบนั้น
ไม่ได้เดินผ่านศาลแท้ๆ ไหงถึงเจอได้ล่ะเนี่ย…
พลอยยกมือไหว้เจ้าของเสียง
“สวัสดีค่ะ พี่ขุนทอง”
กุมารทองหนึ่งเดียวประจำจิตตฯก็ยกมือ
“หวัดดีๆ มาทำไรกันล่ะเนี่ย? ไม่ใช่ว่าเป็นเวลาชมรมหรอกรึ?”
“นี่ก็งานชมรม แล้วแกชอบเดินเล่นตอนตึกเรียนไม่มีคนอยู่เรอะ? คงไม่ได้จะขโมยของหรืออะไรใช่มั้ย?”
ขุนทองโบกนิ้วใส่ผมรัวๆ
“ไม่ใช่สักหน่อย เราเป็นเทพเลยนา? ต่อให้ไม่ต้องขโมย อยากได้อะไรก็มีคนมาถวายให้ตลอด”
“อ๋อเรอะ”
“สรุปมาทำไรกัน? เราว่างๆอยู่พอดี ถ้าคุกเข่าขอร้องจะยอมช่วยให้ก็ได้”
ขี้เกียจเสวนาด้วยไงชอบกล เดี๋ยวอนาคตอันใกล้ต้องไปเดินเรื่องทุบศาลเจ้าทิ้ง เหตุที่หลอกหลวงอิทธิฤทธิ์กับผมเมื่อเทอมก่อน
ดูท่าหมอนี่จะลืมไปแล้วด้วยซ้ำ ถึงได้ทักพวกผมหน้าตาเฉย
“มาหาจารย์ชัยเดช”
“ชัยเดช? อ๋อ คนที่ใส่แว่นแล้วเก็กๆหน่อยใช่ปะ?”
“เออ”
“ขอเรานึกแป๊บ”
ขุนทองจิ้มนิ้วชี้ใส่ข้างศีรษะ คิดว่าตัวเองเป็นอิคคิวซังหรือไงฮึ?
แล้วผมยังไม่ได้คุกเข่าเลยด้วย สงสัยหมอนี่จะว่างจริงๆ
“น่าจะอยู่ห้องพักครูนะ เห็นผ่านๆ”
“นั่นพวกฉันก็กำลังจะไปอยู่แล้ว”
“ว่าแต่เคสรอบนี้เป็นไงอะ? บอกเราหน่อยได้ปะ?”
“เฮ้ย ว่างมากก็ไปซดน้ำแดงโน่น พวกฉันยุ่งอยู่ ไม่ว่างเล่นกับแกหรอก”
พลอยตำหนิทันที
“ประธาน พูดกับพี่ขุนทองดีๆหน่อยสิคะ”
ขุนทองหัวเราะร่า
“แหมๆ ไม่เป็นไรหรอกแม่หนูนางรำ เรากับคริสโตเฟอร์สนิทกันสุดๆ อารมณ์เหมือนเราเล่นกับเด็กเลยล่ะ เทพอย่างเราจะไปถือสาคำพูดของเด็กได้ไง?”
ตูต่างหากที่มองเอ็งเป็นเด็ก
ไม่บอกให้จบๆ หมอนี่ได้ลอยตามไปถึงห้องพักครูแน่
ผมกลั้นใจ
“…มีลูกเคสมาขอให้ช่วย ครูชัยเดชออกกฎให้เด็กในห้องต้องขนหนังสือกลับบ้านทุกวัน”
“ลำบากแย่เลยนะนั่น? หนังสือหนังหาก็ไม่ใช่เบาๆ”
“อ่า ฉันเลยจะไปคุยกับครูเขาให้ถอนกฎออก ถึงไม่รู้จะได้ผลรึเปล่าก็เถอะ”
จารย์ชัยเดชสินะ…แค่คู่กรณีเป็นเขา โอกาสที่ผมจะคุยแล้วจบด้วยดีก็ยากแสนยาก
ขุนทองป้ายนิ้ว
“คริสโตเฟอร์ดูลำบากใจจัง …เราลองไปคุยให้แทนเอาปะ?”
“ว่างขนาดนั้นเลย?”
“ว่างก็ส่วนนึง แต่คริสโตเฟอร์คิดดูสิ ลองมีกุมารทองมาพูดด้วยตัวต่อตัว เราว่าน่าจะขอได้ไม่ยากนะ?”
อืม…จะดีรึเปล่านะ
ไม่สิ หมอนี่มีคนนับถือเยอะนี่นา อาจจะจริงอย่างที่เจ้าตัวว่าก็ได้
แถมถือเป็นการที่ผมใช้งานกุมารทองไปคุยแทน …นับที่ปลายทางแล้ว ผมก็ไม่ได้หนีหน้า แค่ส่งตัวแทนไปพูดคุยเท่านั้น
อืมๆ แบบนี้ก็ไม่ถือว่าเราแพ้ล่ะนะ
ผมพยักหน้า
“เออ งั้นขอรบกวนหน่อยแล้วกัน”
“ได้เล้ย! อย่าลืมซื้อน้ำแดงมาฝากเราด้วยน้า!”
“เอาเป็น…ฉันจะเลื่อนกำหนดการออกไปให้อีกหน่อยแล้วกัน”
“พูดถึงอะไรน่ะ?”
“เปล่า เรื่องของทางนี้น่ะ”
จากนั้นขุนทองก็ลอยเอื่อยๆหายไปจากสายตา
…พวกผมยืนรออยู่ที่เดิม ผ่านไปราวสิบนาทีก็เห็นร่างโปร่งๆลอยกลับมาทางระเบียงทางเดิน
ขุนทองหยุดนิ่ง ผมเห็นว่าสีหน้ามันดูเหนื่อยๆ
“คริสโตเฟอร์ แม่หนูนางรำ เราพยายามสุดๆแล้วนะ…”
“อธิบายซิ”
ขุนทองนั่งขัดสมาธิกลางอากาศเล่า
“เราก็พูดไปอย่างที่คริสโตเฟอร์บอกนั่นแหละ ทีแรกชัยเดชก็ทำท่าจะยอมถอนกฎให้อยู่หรอก แต่คุยไปคุยมา จู่ๆก็ดื้อขึ้นมาซะงั้น”
“หมายความว่าไง?”
“ก็…พอเราบอกว่า ‘แบบนี้คริสโตเฟอร์ต้องดีใจแน่!’ ท่าทีก็เปลี่ยนไปเลยล่ะ”
“…”
“ชัยเดชถามเรา ‘คริสโตเฟอร์ฝากท่านมาบอกเหรอ?’ เราก็บอกว่าใช่ …คริสโตเฟอร์เป็นประธานนักเรียนไม่ใช่รึ? งั้นก็น่าจะยอมช่วยเพราะเห็นว่าเป็นเรื่องของสภานักเรียนนี่?”
““…””
“เราไม่ได้ยอมแพ้ง่ายๆหรอกนะ แต่ตื้ออยู่สักพักชัยเดชก็เมินเราไปเลย ท่าทีก็ดูไม่ได้โกรธอะไรเราเลยนะ มันเพราะอะไรกันเนี่ย…”
พลอยสะกิด
“ประธานบอกพี่ขุนทองไปเถอะค่ะ”
“นั่นสินะ…”
ผมที่ได้คำแนะนำจากพลอยก็
“ขุนทอง”
“ฮับ…”
จากร่างกายที่โปร่งอยู่แล้วยิ่งโปร่งกว่าเดิม สภาพจิตใจมันมีผลต่อการรักษารูปร่างหรือไง?
“คือ…ฉันไม่ค่อยถูกกับจารย์ชัยเดชน่ะ”
“หือ?”
“เขาเกลียดขี้หน้าฉัน ไม่แปลกหรอกที่ถ้ายกชื่อฉันขึ้นมาแล้วจะเปลี่ยนท่าที”
“แล้วทำไมไม่บอกเราแต่แรกเนี่ย!?”
ขุนทองตะโกนลั่นระเบียง
“อย่าเสียงดังสิ”
“ไม่ให้ดังได้ไงเล่า! ถ้าบอกเราแต่แรก เราจะได้ไม่พูดไง!”
“นึกแปลกใจเหมือนกันที่แกมีใจอยากช่วยขนาดนั้น แต่แค่นี้ก็ขอบใจมากแล้ว เดี๋ยวฉันจัดการต่อเอง”
ผมปัดมือและเดินจากขุนทองมา
ขุนทองพึมพำ
“…การเป็นของเล่นฆ่าเวลามันรู้สึกแบบนี้เองรึ…”
ไม่รู้ไม่ชี้เฟ้ย
พลอยเดินตามพลางหันมองขุนทองด้วยความเป็นห่วง ก่อนจะตัดใจไว้แค่นั้น
“งะ งั้นหนูลานะคะ พี่ขุนทอง”
“อือ…”
ผมกวักมือเรียกพลอย
ไปเอาอะไรกับเด็กนั่นมากกัน เด็กน่ะโกรธง่ายหายเร็ว ปล่อยทิ้งไว้สักพัก อีกหน่อยก็เข้ามาทักหน้าตายเฉยอยู่ดีนั่นแหละ
เอ…หรือเราใจร้ายไปหน่อยรึเปล่าหว่า ช่างเถอะ อีกฝั่งเป็นแค่กุมารทองเองนี่เนอะ
ผมที่ตัดสินใจแบบนั้นก็เดินไปทางห้องพักครูที่จารย์ชัยเดชอยู่
เมื่อมาถึง ผมเปิดประตูห้องพักครูเสียงดังครืด
จารย์ชัยเดชเหลือบมอง
และก็หันหน้าหนีไปทางอื่น
“เฮ้ย…”
ชายหนุ่มดันแว่นพลางจ้องมาทางผม
“คริสโตเฟอร์เฮ้ยกับใครหรอ? คงไม่ใช่กับครูใช่มั้ย? อ้าว? ปภัสสรก็มาด้วย? มีธุระอะไรที่ห้องพักครูเหรอ? ไม่ดีเลยนะ ถึงจะเป็นสภานักเรียน แต่มาเข้าๆออกๆตึกเรียนเวลานี้ได้ที่ไหน”
ดูมั๊นดูมัน ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เต็มประตูเลยนะนั่น
พลอยยิ้มแห้งและยกมือไหว้
ผมพูด
“เมื่อกี้มีกุมารทองมาหาครูสินะครับ?”
“กุมารทอง? อ๋อ…ใช่ๆ ทำไมเหรอ? เกี่ยวกับคริสโตเฟอร์ด้วยเหรอ?”
ทนไว้ ถ้าลั่นอาคมออกไปตอนนี้ก็แย่กันพอดี
อีกอย่าง กับอีแค่ครูเวรนี่ ไม่ต้องถึงกับใช้อาคมหรอก
ผมสูดลมหายใจลึกๆ…
“ไม่อยากรับคาบอนไดออกไซด์ที่ซาตานปล่อยออกมาเลยแฮะ”
“เมื่อกี้ครูว่าไงนะครับ?”
“เปล่านี่? สรุปมีธุระอะไรกัน? ถ้าไม่มีก็กลับไปตึกชมรมไม่ก็กลับบ้านไปได้แล้ว”
พร้อมปัดมือไล่
“…ผมได้ข่าวมาว่าทางครูออกกฎให้เด็กในห้องขนหนังสือกลับบ้านทุกวันสินะครับ?”
“ทำไมเรื่องที่เธอจะพูด ถึงได้เหมือนกับที่กุมารทองมาพูดกับครูเมื่อกี้เลยล่ะ?”
ทนไว้…ทนไว้… หมอนี่แค่แกล้งตีมึนให้ผมโมโห จังหวะนี้เพียงระงับอารมณ์และใช้เหตุผลพูดคุยอย่างที่คนมีอารยะเขาทำกันก็พอ
“ผมฝากกุมารทองมาบอกครูเองครับ”
“หืม? แล้วทำไมคริสโตเฟอร์ไม่มาคุยกับครูแต่แรกล่ะ? อย่าบอกนะว่ากลัวครู ฮะฮะฮะ”
ผมเม้มปากและก้าวถอยหลังไปหาพลอย
“…ฉันเริ่มจะไม่ไหวแล้วนะ เธอคุยแทนให้หน่อยสิ ขอร้องล่ะ”
“แล้วไอ้ที่พูดตอนอยู่สภาล่ะคะ?”
“หมายถึงศักดิ์ศรีค้ำคอนั่นสินะ…ขอสารภาพว่าตอนแรกก็อย่างนั้นแหละ แต่ตอนนี้ขอแค่จบเคสเร็วๆและฉันไม่ต้องคุยกับไอ้ครูบ้านี่ก็พอ”
อาคมมันสั่นระริกจนแทบทนไม่ไหว ท่าทีน่าหงุดหงิดโคตร!
ขนาดตอนนี้ยังกระดกกาแฟพลางหัวเราะหึหึในลำคอใส่ผมอีกต่างหาก
พลอยไหล่ตก
“ก็ได้ค่ะ ก็ได้”
พลอยมองจารย์ชัยเดช
“อาจารย์คะ…”
“เดี๋ยวก่อน!”
ไม่ทันจะได้พูด อีกฝ่ายก็ยกมือขึ้นมาจนพลอยต้องปิดปาก
“พวกเธอเป็นประธานกับรองประธานสินะ? ครูไม่ยอมให้คนที่เป็นหัวหน้าหนีไปข้างหลังและให้ลูกน้องพูดแทนหรอกนะ ถือซะว่าครูสอนเรื่องความเป็นผู้นำและการแบ่งหน้าที่ให้พวกเธอก็แล้วกัน”
“จะมากไปแล้วนะว้อย! ด้วยนามแห่งข้า…”
“ประท๊านนน!!!”
…เนื่องจากพลอยห้ามไว้ได้ทัน จึงไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ผมลากเก้าอี้มานั่งข้างจารย์ชัยเดช ส่วนพลอยก็ยืนรออยู่ริมประตู
“เอ้า จะพูดอะไรก็พูดมา ครูต้องตรวจงานต่ออีก”
จะว่าไปแล้ว…ห้องพักครูก็เหลือแค่จารย์ชัยเดชคนเดียวซะงั้น ทั้งที่ตอนแรกคิดว่าเหล่าครูจะจับกลุ่มกันเสียอีก แสดงว่าคนอื่นๆกลับไปหมดแล้ว แต่หมอนี่ยังก้มหน้าก้มตาตรวจงานนักเรียนอยู่คนเดียว…
…เริ่มจะรู้สึกผิดที่มากวนไงไม่รู้สิ มีด้านที่เป็นครูเหมือนกันนี่นา
“ผมจะรีบๆพูดแล้วกันครับ จะได้ไม่รบกวนเวลา …งั้นพักเรื่องความบาดหมางที่ผ่านๆมาและคุยกันด้วยเหตุผลดีมั้ยครับ?”
จะได้ไม่อ้อมโลกไปไกลไม่ได้เข้าเรื่องสักที อย่างนี้จะจบเร็วกว่าด้วย
จารย์ชัยเดชเอียงคอ
“บาดหมาง? จะบ้าเหรอ ครูจะไปมีเรื่องแบบนั้นกับเธอที่เป็นนักเรียนได้ไง?”
“เอาจริงดิ…”
“ครูน่ะนะ ถึงจะไม่ชอบขี้หน้าเธอเพราะสอบได้คะแนนดีก็เถอะ แต่ที่เธอมาหาครูวันนี้เพราะเป็นเรื่องสำคัญใช่มั้ยล่ะ? อย่างน้อยครูก็มองเธอเป็นนักเรียน มีนักเรียนมาขอปรึกษาหรือพูดคุย ครูโยนความบาดหมางอะไรนั่นทิ้งไปตั้งแต่เธอเดินเข้าประตูมาแล้วล่ะ”
เล่นเอาเคลิ้ม…แต่มันจะใช่อย่างนั้นแน่เรอะ? ผมไม่เห็นจะรู้สึกแบบที่พี่แกว่าเลยสักนิด
แต่เอาก็เอา ถ้าพูดถึงขนาดนั้นล่ะก็
“อย่างที่ผมพูดไป เรื่องกฎที่ให้เอาหนังสือกลับบ้านน่ะครับ”
จารย์ชัยเดชถอนหายใจพร้อมวางปากกา
“คริสโตเฟอร์ เธอคิดว่านักเรียนคืออะไร?”
อยากให้ตอบลึกขนาดไหนกันนะ…เอาแค่พอประมาณเหมือนเด็กนักเรียนตอบคำถามครูก็แล้วกัน
“หมายถึงคนที่เรียนหนังสือครับ”
“คำตอบง่าวดีจัง”
“เฮ้ย…”
“แต่ที่เธอพูดก็ถูก นักเรียนก็คือเด็กที่เรียนหนังสือ แต่ว่านะ…มันจะมีเด็กบางคนที่หนังสือหนังหาไม่รู้จักเอามา แถมเวลาเข้าเรียนมาสายไม่พอ ยังไม่ยอมพกกระเป๋ามาโรงเรียนอีก เธอที่เป็นประธานคงเข้าใจใช่มั้ย? ว่านั่นมันส่งผลกระทบต่อโรงเรียนขนาดไหน?”
“พอเข้าใจ…แต่ก็น่าจะแค่ส่วนน้อยนี่ครับ? อย่างครูก็ออกกฎพิเศษแค่ในห้อง แสดงว่ามีแค่ไม่กี่คนที่เป็นแบบที่ครูว่า”
“อืม เด็กห้องครูกลุ่มนึงเท่านั้นน่ะ เด็กที่เฮี้ยวหน่อยๆ …บอกไปก็ไม่รู้ฟัง ครูเลยต้องทำโทษทั้งชั้นเรียนไปเลย”
สรุปจารย์แกมองว่าเป็นการทำโทษมากกว่าเป็นการออกกฎสินะ
จารย์ชัยเดชพูดต่อ
“ไม่ใช่ว่าครูใจไม้ไส้ระกำหรอกนะ ครูรู้ว่าหนังสือมันหนักแค่ไหน ตอนเด็กๆครูก็นึกโกรธครูคนที่เคยทำแบบนี้กับครูเหมือนกัน …อ๊ะๆ อย่าเข้าใจผิด ไม่ใช่ว่าครูแค้นฝังหุ่นเลยเอามาลงกับนักเรียนตัวเองหรอกนะ”
“รู้แล้วครับ รู้แล้ว”
“นี่ก็น่าจะทำให้เด็กกลุ่มนั้นเข็ดกันแล้วล่ะ ที่จริงครูขอแค่พกกระเป๋ามาเรียนก็พอใจแล้ว …ครูว่าจะยกเลิกการทำโทษอาทิตย์หน้า ที่จริงเธอไม่ต้องมาหาครูก็ได้ แต่ทำไงได้ล่ะเนอะ คงมีเด็กในห้องครูสักคนไปฟ้องเธอสิท่า?”
“ตามนั้นครับ เด็กที่ชื่อเรย์น่ะครับ”
“เรย์?”
จารย์ชัยเดชขมวดคิ้วถามย้อน
“ครับ ที่มีแผลเป็นตรง…”
“ไม่ต้องย้ำหรอก ครูจำได้ เด็กห้องครูเองนี่ …แค่สงสัยนิดหน่อย”
“ทำไมเหรอครับ?”
จารย์ชัยเดชนึกไปสักพักราวกับว่าไม่แน่ใจว่าตัวเองเข้าใจถูกหรือไม่ แต่สุดท้ายก็พูดออกมา
“ก่อนครูจะเริ่มทำโทษ ครูจำได้ว่าเรย์ก็ขนหนังสือไปกลับทุกวันอยู่แล้ว”
“หา?”
“อืมๆ ไม่น่าผิดคนหรอก หรือว่าเด็กคนนั้นไปฟ้องสภานักเรียนแทนเพื่อนในห้อง?”
“ไม่น่าใช่มั้งครับ? ตอนมาหาผม เห็นบอกว่าหลังจะงอเป็นกุ้งหรืออะไรสักอย่างนี่แหละ”
“เด็กคนนั้นตลกนี่นะ …แต่ก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ เธอลองคิดดูสิ ต่อให้ครูจะทำโทษหรือไม่ เรย์จะมีส่วนได้ส่วนเสียตรงไหนกัน?”
เพราะเรย์ขนหนังสือไปกลับทุกวัน ดังนั้นต่อให้จารย์ชัยเดชจะทำโทษหรือไม่ ก็ไม่มีผลกับเรย์อยู่ดี
ในเมื่อเป็นแบบนั้น เรย์จะมาขอให้สภาช่วยทำไมกัน?
…คิดไปก็ไม่ได้อะไร คงต้องไปถามเจ้าตัวเอาเองนั่นล่ะ ต่อให้สุดท้ายจะเป็นเพราะมาฟ้องแทนเพื่อนในห้องก็ไม่เป็นไร ผมแค่อยากรู้ให้ชัดๆ
ผมยกมือไหว้จารย์ชัยเดช
“ขอบคุณนะครับ ผมขอตัวก่อน สวัสดีครับ”
“แค่นี้เนอะ? ทีหลังอย่ามากวนครูบาอาจารย์ช่วงเย็นล่ะ ไม่ใช่จะใจดียอมเสียเวลาให้เธอแบบครูกันทุกคนหรอกนะ”
“ขอบคุณมากนะครับ…”
“อืมๆ โชคดีล่ะ สอบครั้งหน้าก็พยายามเข้า ครูหาวิธีแกล้งเธอไว้เต็มเลย”
“เมื่อกี้ว่าไงนะครับ?”
“เปล๊า~”
ดูเหมือนผมก็ต้องกลับไปคิดหาวิธีรับมือเจ้าครูบ้านี่ตอนสอบครั้งหน้าด้วยสินะ…
และวันนี้ ผมก็ได้รู้ว่าจารย์ชัยเดชก็มีส่วนที่ดีอยู่บ้าง เรียกว่าเปลี่ยนมุมมองของผมที่มีต่อเขาไปเยอะ …จะมองว่าเป็นคนดีขึ้นสักสิบห้าเปอร์เซ็นต์แล้วกัน
ผมกับพลอยกลับมาที่ห้องสภา เมื่อเข้ามาด้านในก็พบว่าในห้องเหลืออยู่แค่คนเดียว
เด็กหนุ่มเห็นพวกผมก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่
“กว่าจะกลับมานะครับ…”
“โทษที ใช้เวลามากไปหน่อย แต่เรียบร้อยแล้วล่ะ”
สไปรท์ไม่อยู่ ในห้องสภาเหลือแค่เรย์
เรย์พิงหลังกับโซฟา
ผมนั่งลงพร้อมถาม
“สไปรท์ล่ะ?”
“กลับบ้านไปแล้วครับ เห็นบอกว่าจะไปหาพี่น้ำหรืออะไรสักอย่างนี่แหละ แต่พูดเร็วไปเร็วจนจับใจความไม่ค่อยได้”
“สมเป็นยัยนั่นล่ะนะ…”
“กลายเป็นผมต้องเฝ้าห้องคนเดียวซะงั้น โชคดีที่ไม่มีคนมา ผมไม่อยากรับงานสภาหรอกนะครับ”
ปากบอกไม่อยากรับ แต่ก็อยู่จนพวกผมกลับมา นับเรื่องนิสัยแล้วก็เป็นเด็กดีน่าดู
จะกลับบ้านไปเลยผมก็ไม่มีสิทธิ์ตำหนิ อีกฝ่ายไม่ใช่สมาชิกสภา คนที่ผมควรตำหนิคือสไปรท์ต่างหาก เล่นทิ้งห้องสภาให้ลูกเคสดูแลเนี่ยนะ?
“แล้ว…เป็นไงบ้างครับ?”
พลอยตอบเรย์ไปว่า
“เรียบร้อยดีค่ะ เดี๋ยวอาทิตย์หน้าอาจารย์จะยกเลิกการทำโทษค่ะ”
“ทำโทษ? นี่คือห้องผมโดนทำโทษอยู่เหรอ?”
“จะไม่รู้ก็ไม่แปลกหรอก จารย์เขาไม่ได้บอกตรงๆนี่นะ แต่ที่ฉันสงสัยนะเรย์”
“ครับ? ประธาน”
ผมถามเสียงเรียบๆว่า
“นายขนหนังสือกลับบ้านทุกวันอยู่แล้วไม่ใช่เรอะ? แล้วนึกไงถึงได้เอาเรื่องมาหาสภา?”
“จารย์ชัยเขาบอกเหรอครับ อืม…ไม่ใช่เรื่องสำคัญหรอกครับ ผมแค่เห็นใจคนในห้องเท่านั้นเอง”
คำตอบมันก็หล่ออยู่หรอก…
ผมหรี่ตามอง
“อะ อะไรครับ…?”
“บอกความจริงมา ฉันไม่อยากใช้อาคม”
“ก็บอกไปแล้วนี่!”
“มันก็…เป็นเหตุผลที่ดี แต่มีอะไรมากกว่านั้นใช่มั้ย?”
ผมจี้ไปแบบนั้น
เรย์ข่มอารมณ์สักพักก่อนจะถอนหายใจออกมา
“เฮ้อ ก็ได้ครับ …ห่วงคนในห้องก็ส่วนนึงแหละครับ …แต่คือ…เมื่อวานผมเจอสไปรท์ตอนเธอมาโรงเรียนพอดี…”
หืม?
“ถึงเธอจะทำเหมือนสบายๆก็เถอะ แต่ผมเห็นเธอหกล้มด้วยน่ะครับ คงเพราะหนังสือหนักล่ะมั้ง…”
เอ่อ…สไปรท์มันก็ซุ่มซ่ามอยู่แล้วด้วยสิ อาจจะไม่ใช่เพราะหนังสือหนักก็ได้
แล้วคือหมอนี่เป็นห่วงสไปรท์ขนาดนั้นเลย?
เรย์บิดขี้เกียจด้วยหน้าเขินๆ
“เหตุผลก็ประมาณนั้นแหละครับ อาทิตย์หน้าสินะ…หวังว่าหลังจะไม่เคล็ดก่อนก็ดี”
“หมายถึงหลังนายหรือสไปรท์ล่ะ?”
“ต้องสไปรท์สิครับ …เป็นห่วงคนที่ชอบมันผิดตรงไหนล่ะครับ?”
“พูดตรงดีนะ ไม่ตีมึนแบบก่อนหน้านี้แล้วเหรอ?”
เรย์หัวเราะ
“ไม่จำเป็นแล้วล่ะครับ นี่ผมพูดกับประธานแล้วก็รองสภานักเรียนอยู่ …คิดว่าคงไม่เอาไปป่าวประกาศที่ไหนใช่มั้ยล่ะครับ?”
“อ่า เรื่องที่สภาก็จบที่สภา”
ปัญหาส่วนตัวลูกเคส ผมไม่เอาไปพูดกับคนอื่นหรอก พลอยก็เช่นกัน
ผมพ่นลมหายใจ
“แต่นายนี่ก็นะ…ไปชอบคนที่จำชื่อตัวเองยังไม่ได้นี่มันน่าสงสารไปแล้ว”
“ขอบคุณที่เป็นห่วงครับ แต่ความรักวัยเรียนก็งี้แหละ”
เรย์ยักไหล่ตอบ ก่อนจะกลั้วหัวเราะยกมือไหว้
“ยังไงก็ขอบคุณมากครับ ผมขอตัวกลับบ้านก่อนนะครับ”
“อืม ไว้เจอกัน”
“ไว้เจอกันค่ะ …เอ๊ะ?”
พลอยสงสัยเล็กน้อย แต่สุดท้ายเรย์ก็กลับไป
ห้องสภาสงบอีกครั้ง ภายในห้องเหลือแค่ผมกับพลอยเช่นเดิม พร้อมด้วยแสงอาทิตย์อ่อนๆที่สาดเข้ามาจากหน้าต่าง
พลอยถามขึ้นมา
“ทำไมประธานพูดเหมือนอยากเจอน้องเขาอีกล่ะคะ? ไม่ใช่ถือคติไม่ติดต่อกับลูกเคสนอกเวลางานเหรอคะ?”
“ก็แค่…รู้สึกว่าจะใช้งานได้น่ะ”
“อย่าพูดเหมือนคนอื่นเป็นสิ่งของได้มั้ยคะ…”
ไม่นานก็ถึงเวลาเลิกชมรม พวกผมแยกย้ายกันกลับบ้าน
…ไม่แน่ใจว่าเรย์รู้ตัวหรือไม่ อีกทั้งลักษณะเฉพาะของเชื้อสายไม่เด่นชัด ผมจึงไม่แน่ใจว่าเรย์เป็นภูตผีประเภทไหน
ทว่า…แม้จะไม่เด่นชัด แต่พลังวิญญาณกลับสูงน่าดู
และยังมี ‘สายฟ้า’ ที่โผล่ออกมาเล็กน้อยจนมองแทบไม่เห็นทุกครั้งที่ขยับตัวนั่นอีก
…อีกทั้ง…กลิ่นอายของสายฟ้ามันคุ้นๆชอบกล เหมือนเคยสัมผัสมาก่อน
ช่างเถอะ ไว้เจออีกรอบค่อยถามแล้วกัน เจ้าเรย์นั่น…
เคสที่ 29 ปวดหลัง /จบ